ใบงานคณิตศาสตร์ ม.3 หลักสูตรใหม่

ใบงาน

รายวิชาคณิคต2ศ3า1ส0ต1 ร์พื้นฐาน

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

เอกสารประกอบการเรียน
วชิ าคณติ ศาสตร์พื้นฐาน 5 ค23101

ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564

อสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว

สอนโดย

คสุณครู...........................................................................................

ชื่อ………………………………………………………………นามสกุล………….............................……………
ชัน้ …………....……เลขที่………………..

กลมุ่ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์
โรงเรยี นชัยภมู ิภกั ดชี มุ พล

คณิตศาสตรพ์ นื้ ฐาน ค23101 1 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 บทท่ี 1 อสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว

บทที่ 1

เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดยี ว
1. แนะนำอสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดยี ว

ในชวี ิตประจำวนั เราจะพบเห็นป้ายท่ีเก่ียวข้องกับ “การไมเ่ ทา่ กัน” อย่บู อ่ ยๆ เช่นคำว่า “ตำ่ กวา่ ” “ไมเ่ กิน”
“ขึ้นไป” “นอ้ ยกว่า” และ “มากกวา่ ” เปน็ คำทเ่ี ก่ียวข้องกับความสมั พันธข์ องการไมเ่ ท่ากัน และใช้บ่งบอกปริมาณท้งั หมด
ที่สอดคล้องกบั เงื่อนไข เช่น

ปา้ ยจราจรท่ีจำกดั ความเร็ว 120 กโิ ลเมตรตอ่ ช่ัวโมง หมายความวา่ ผู้ขบั ขส่ี ามารถขับรถดว้ ยอัตราเรว็ เท่าใดกไ็ ด้
เช่น 80, 100 หรือ 120 กโิ ลเมตรตอ่ ชั่วโมง แต่ตอ้ งไม่มากกวา่ 120 กิโลเมตรตอ่ ช่ัวโมง เนื่องจากผิดกฎจราจรและอาจ
เกดิ อบุ ัติเหตุร้ายแรงจนนำไปส่กู ารสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สนิ

ตอ่ ไปนีเ้ ป็นตัวอย่างของการอ่านและความหมายของสญั ลกั ษณ์ท่ีใช้แสดงความสมั พันธข์ องจำนวน

สัญลกั ษณ์ คำอ่าน ความหมาย
x 2 x น้อยกว่า 2 x มคี า่ น้อยกวา่ 2
x มคี ่าไมถ่ งึ 2
x 2 x มากกวา่ 2 x มีคา่ มากกวา่ 2

x 2 x ไม่เทา่ กบั 2 x มีคา่ เกิน 2
x 2 x นอ้ ยกวา่ หรอื เทา่ กับ 2 จำนวนทุกจำนวนยกเว้น 2

x 2 x มากกว่าหรอื เทา่ กับ 2 x 2 หรอื x = 2
x มคี ่าไม่เกิน 2
2x4 2 น้อยกวา่ x และ x นอ้ ยกว่า 4
2x4 x มากกว่า 2 และ x น้อยกว่า 4 x มคี ่าไม่มากกวา่ 2
x มากกว่า 2 แตน่ ้อยกวา่ 4 x มีค่าอยา่ งมาก 2
2 น้อยกวา่ หรอื เทา่ กบั x และ x นอ้ ยกว่าหรือเท่ากับ 4 x 2 หรอื x = 2
x มากกวา่ หรอื เท่ากับ 2 และ x นอ้ ยกว่าหรือเทา่ กับ 4 x มีคา่ ไมน่ ้อยกวา่ 2
x มากกวา่ หรอื เท่ากับ 2 แต่น้อยกวา่ หรอื เท่ากบั 4 x มคี ่าอยา่ งน้อย 2
x มคี า่ ตง้ั แต่ 2 ข้นึ ไป
x 2 และ x 4
x อยู่ระหว่าง 2 และ 4

x 2 และ x 4
x มีค่าต้งั แต่ 2 ถึง 4
x มคี ่าตงั้ แต่ 2 แตไ่ มเ่ กนิ 4

1

คณิตศาสตรพ์ ื้นฐาน ค23101 1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 บทท่ี 1 อสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว

อสมการ (inequality) เป็นประโยคทแ่ี สดงถงึ ความสมั พันธ์ของจำนวนโดยใช้
สญั ลกั ษณ์ , , , หรือ แสดงความสัมพนั ธ์

ในอสมการอาจมีตัวแปรหรือไมม่ ีตวั แปรก็ได้ ถา้ อสมการมีตัวแปร ตัวแปรนนั้ จะแทนจำนวน ในกรณีทีไ่ ม่ระบุ
เงอ่ื นไขของตัวแปร ให้ถือว่าตัวแปรนัน้ แทนจำนวนจรงิ ใดๆ

อสมการท่ีมตี วั แปรเดยี วจะเรียกวา่ อสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว (linear inequality with one variable)
ตวั อย่างท่ี 1 จงเขยี นข้อความเหล่านน้ั เป็นประโยคสัญลักษณท์ างคณิตศาสตร์ เมื่อ x แทนจำนวนจำนวนหน่ึง

ขอ้ ความ อสมการ

1) ผลบวกของจำนวนหนง่ึ กบั แปดน้อยกวา่ สิบสอง x + 8 12
2) จำนวนจำนวนหน่งึ มากกว่าสบิ หา้
3) ห้าเท่าของจำนวนจำนวนหนง่ึ น้อยกว่าเกา้ x 15
4) ผลบวกของจำนวนจำนวนหนง่ึ กบั สามไม่นอ้ ยกวา่ สบิ
5x 19
5) เศษสี่สว่ นหา้ ของผลบวกของจำนวนจำนวนหน่ึงกบั แปดไม่เทา่ กับสอง
6) สองเท่าของผลตา่ งของจำนวนจำนวนหนึ่งกบั ส่ไี ม่เกิดหก x + 3 10

4 ( x + 8) 2
5

2(x −4) 6

แบบฝกึ หัดท่ี 1

1. จงเขยี นประโยคท่ใี ช้สัญลักษณ์ทางคณติ ศาสตรแ์ ทนแต่ละขอ้ ความต่อไปน้ี (ให้ x แทนจำนวนจำนวนหนึง่ )

ข้อความ อสมการ

1) สามเท่าของจำนวนจำนวนหน่งึ ไม่เกนิ 18
2) ผลบวกของจำนวนจำนวนหน่งึ กบั 7 ไม่ถึง 25
3) ผลบวกของสามเท่าของจำนวนจำนวนหนึ่งกบั 6 ไม่น้อยกวา่ 20
4) เศษเจด็ ส่วนสบิ ห้าของจำนวนจำนวนหน่งึ ไม่เท่ากับ 105
5) เศษสามส่วนส่ีของผลตา่ งของจำนวนจำนวนหนงึ่ กบั 2 มากกวา่ 20
6) ห้าเท่าของผลบวกของจำนวนจำนวนหน่งึ กบั 6 นอ้ ยกว่า 30
7) ผลบวกของสามในส่ขี องจำนวนจำนวนหนงึ่ กบั 8 ไมเ่ กิน 15
8) สองเท่าของผลตา่ งของจำนวนจำนวนหน่งึ กับ 4 น้อยกวา่ ห้าเทา่ ของ

ผลบวกของจำนวนจำนวนนนั้ กับ 8

2

คณิตศาสตร์พื้นฐาน ค23101 1 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 บทที่ 1 อสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดียว

2. คำตอบของอสมการเชิงเส้นตวั แปรเดยี ว
เนอ่ื งจากอสมการอาจมตี วั แปรหรือไม่มตี วั แปรก็ได้ สำหรับอสมการทไ่ี ม่มตี ัวแปร เราสามารถบอกได้วา่ อสมการ

นัน้ เป็นอสมการที่เปน็ จรงิ หรือไม่เปน็ จรงิ
เชน่ 2 5 เปน็ อสมการท่เี ปน็ จรงิ
7 10 เป็นอสมการท่ไี ม่เปน็ จริง
ส่วนอสมการทมี่ ีตัวแปรนน้ั เรายังไมส่ ามารถบอกไดเ้ สมอไปวา่ เป็นจรงิ หรอื ไมเ่ ปน็ จริง เช่น อสมการ x − 2 5

เรายังบอกไม่ไดว้ า่ อสมการนเี้ ปน็ อสมการทเ่ี ป็นจริงหรอื ไมจ่ ริง เพราะขึ้นอยู่กับคา่ ของ x

คำตอบของอสมการ (solution of an inequality) คือ จำนวนท่ีแทนตวั แปร
ในอสมการ แล้วทำให้ได้อสมการทเ่ี ปน็ จรงิ

ตวั อยา่ งที่ 2 จงหาคำตอบของอสมการ x −3
วธิ ที ำ เนอ่ื งจาก เมอ่ื แทน x ดว้ ยจำนวนจริงทกุ จำนวนทีม่ ากกว่าหรือเทา่ กับ − 3 ในอสมการ x 3

แลว้ จะทำให้ได้อสมการทเี่ ป็นจริง
ดังนนั้ คำตอบของอสมการ x −3 คือ จำนวนจรงิ ทกุ จำนวนท่มี ากกวา่ หรอื เท่ากับ − 3
ตัวอยา่ งที่ 3 จงหาคำตอบของอสมการ a 25
วิธีทำ เนอ่ื งจาก เมื่อแทน a ดว้ ยจำนวนจริงใดๆ ทไี่ มเ่ ทา่ กบั 25 ในอสมการ a 25
แล้วจะทำใหไ้ ด้อสมการทเ่ี ป็นจรงิ
ดังนั้น คำตอบของอสมการ a 25 คือ จำนวนจริงทกุ จำนวนยกเวน้ 25
ตวั อยา่ งท่ี 4 จงหาคำตอบของอสมการ m +1 m + 2
วิธที ำ เนอื่ งจาก เมื่อแทน m ด้วยจำนวนจริงใดๆ ในอสมการ m +1 m + 2
แล้วจะทำใหไ้ ด้อสมการทเี่ ป็นจริงเสมอ
ดงั นน้ั คำตอบของอสมการ m +1 m + 2 คอื จำนวนจริงทกุ จำนวน

ตวั อยา่ งที่ 5 จงเขยี นกราฟแสดงคำตอบของอสมการต่อไปน้ี

1) x 20 2) y 1
2

3

คณติ ศาสตร์พืน้ ฐาน ค23101 1 ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3 บทที่ 1 อสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดยี ว

ตัวอยา่ งท่ี 6 จงหาว่ากราฟแสดงคำตอบในแตล่ ะข้อต่อไปนแ้ี สดงจำนวนใดบา้ ง
1)

ตอบ จำนวนจริงทุกจำนวนที่น้อยกว่า 40
2)

ตอบ จำนวนจริงทกุ จำนวนที่มมี ากกวา่ หรอื เท่ากับ −5
3)

ตอบ จำนวนจริงทกุ จำนวนท่ีมากกว่าหรือเทา่ กับ −60 แตน่ ้อยกกวา่ 20

แบบฝกึ หดั ที่ 2
1. จงเขียนกราฟแสดงคำตอบของอสมการในแต่ละข้อตอ่ ไปนี้

1) x 18

2) a −3

3) n 12

4) x 20

5) − 9 x 9

6) 18 x 24

2.จงหาวา่ กราฟแสดงคำตอบในแตล่ ะข้อต่อไปน้ีแสดงจำนวนใดบ้าง
1)

4

คณิตศาสตรพ์ ้ืนฐาน ค23101 1 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 บทที่ 1 อสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว

ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………
2)

ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………
3)

ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………
4)

ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………
5)

ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………

6)
ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………

7)

ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………

8)

ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………

3.การแก้อสมการเชิงเส้นตวั แปรเดยี ว
การแก้อสมการคือ การหาคำตอบท้ังหมดของอสมการ เพอื่ ความรวดเร็วในการแกอ้ สมการ เราจะใช้สมบัตขิ อง

การไมเ่ ทา่ กนั (properties of inequality) ในการหาคำตอบ เช่น สมบัติการบวกของการไม่เท่ากัน และสมบัติการคูณ
ของการไมเ่ ท่ากนั

สมบตั ิการบวกของการไมเ่ ท่ากัน สมบตั ิการบวกของการไมเ่ ทา่ กนั 5
ให้ a, b และ c แทนจำนวนจริงใดๆ ให้ a, b และ c แทนจำนวนจรงิ ใดๆ

1) ถา้ a b แล้ว a + c b + c 1) ถ้า a b แล้ว a + c b + c
2) ถ้า a b แล้ว a + c b + c 2) ถ้า a b แลว้ a + c b + c

คณิตศาสตรพ์ ้ืนฐาน ค23101 1 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 บทท่ี 1 อสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดียว

ตัวอยา่ งท่ี 7 จงแกส้ มการ x −14 2 และเขียนกราฟแสดงคำตอบ

วธิ ีทำ จาก x −14 2

จะได้ x −14 +14 2 +14

ดงั น้ัน x 16

น่นั คอื คำตอบของอสมการ x −14 2 คือ จำนวนจรงิ ทกุ จำนวนท่มี ากกวา่ 16

และเขยี นกราฟแสดงคำตอบได้ดังนี้

ตัวอย่างที่ 8 จงแกส้ มการ 7 + x 20 และเขียนกราฟแสดงคำตอบ
วิธที ำ จาก 7 + x 20

จะได้ x 20 − 7
ดังนน้ั x 13
น่นั คอื คำตอบของอสมการ 7 + x 20 คอื จำนวนจริงทกุ จำนวนทน่ี ้อยกวา่ หรอื เท่ากับ 13
และเขยี นกราฟแสดงคำตอบไดด้ งั นี้

สมบัติการคณู ของการไม่เท่ากนั

ให้ a, b และ c แทนจำนวนจรงิ ใดๆ
1. ถา้ a b และ c เปน็ จำนวนจรงิ บวก แล้ว ac bc
2. ถา้ a b และ c เป็นจำนวนจริงบวก แลว้ ac bc
3. ถา้ a b และ c เปน็ จำนวนจริงลบ แล้ว ac bc
4. ถา้ a b และ c เปน็ จำนวนจริงลบ แลว้ ac bc

สมบัติการคณู ของการไม่เทา่ กนั

ให้ a, b และ c แทนจำนวนจรงิ ใดๆ
1. ถ้า a b และ c เปน็ จำนวนจริงบวก แลว้ ac bc
2. ถา้ a b และ c เปน็ จำนวนจรงิ บวก แล้ว ac bc
3. ถา้ a b และ c เป็นจำนวนจริงลบ แลว้ ac bc
4. ถ้า a b และ c เปน็ จำนวนจริงลบ แล้ว ac bc

6

คณติ ศาสตรพ์ ้ืนฐาน ค23101 1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 บทท่ี 1 อสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว

ตวั อยา่ งที่ 9 จงแก้อสมการ 3x − 6 −18 และเขยี นกราฟแสดงคำตอบ

วธิ ที ำ จาก 3x − 6 −18

จะได้ 3x − 6 + 6 −18 + 6

ดังน้นั 3x −12

จะได้ 1 (3x) 1 ( −12 )
3 3

ดงั น้ัน x −4

น่นั คอื คำตอบของอสมการ 3x − 6 −18 คอื จำนวนจริงทกุ จำนวนท่ี −4

และเขียนกราฟแสดงคำตอบไดด้ งั น้ี

ตัวอย่างท่ี 10 จงแกอ้ สมการ 7 − 3x 3x + 37 และเขยี นกราฟแสดงคำตอบ

วิธีทำ จาก 7 − 3x 3x + 37

จะได้ −3x 3x + 30

−6x 30
x −5

นนั่ คอื คำตอบของอสมการ 7 − 3x 3x + 37 คอื จำนวนจรงิ ทุกจำนวนทีน่ ้อยกว่า −5
และเขียนกราฟแสดงคำตอบได้ดงั น้ี

ตัวอย่างท่ี 11 จงแกอ้ สมการ 5(x + 4) 6(2x − 6) และเขยี นกราฟแสดงคำตอบ

วิธที ำ จาก 5(x + 4) 6(2x − 6)

จะได้ 5x + 20 12x − 36

5x 12x − 56

−7x −56

x8

นนั่ คือ คำตอบของอสมการ 5(x + 4) 6(2x − 6) คือ จำนวนจรงิ ทกุ จำนวนที่มากกว่าหรือเท่ากับ 8

7

คณติ ศาสตรพ์ น้ื ฐาน ค23101 1 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 บทที่ 1 อสมการเชงิ เส้นตัวแปรเดยี ว

ตวั อย่างที่ 12 จงแก้อสมการ x +15 36 และเขยี นกราฟแสดงคำตอบ

วธิ ที ำ พิจารณา x +15 = 36

จะได้ x = 21

ดงั นัน้ 21 เปน็ คำตอบของสมการ x +15 = 36

นนั่ คือ คำตอบของอสมการ x +15 36 คอื จำนวนจริงทกุ จำนวนยกเว้น 21

และเขยี นกราฟแสดงคำตอบไดด้ งั นี้

แบบฝึกหัดท่ี 3

1.จงแกส้ มการตอ่ ไปน้ี และเขียนกราฟแสดงคำตอบ

1) x + 5 12 2 ) 10 − a 8
วธิ ีทำ……………………………………………………………………….. วธิ ที ำ ………………………………………………………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..…………………………. …………………………………………………..………………………….
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..

3) c −1 5 4) − x + 2 −3
2 3

วิธีทำ……………………………………………………………………….. วธิ ีทำ………………………………………………………………………..

…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..

…………………………………………………..…………………………. …………………………………………………..………………………….

…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..

…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..

8

คณิตศาสตร์พืน้ ฐาน ค23101 1 ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 บทที่ 1 อสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดยี ว

5) x + 2 3 6) 3(m −1) 18
4 วิธีทำ………………………………………………………………………..
…………………………………………………..…………………………..
วธิ ีทำ……………………………………………………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..………………………….
…………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..…………………………. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..…………………………..

…………………………………………………..…………………………..

…………………………………………………..…………………………..

…………………………………………………..…………………………..

7) x +1 7 8) x +1 14
2 8

วธิ ที ำ……………………………………………………………………….. วิธีทำ………………………………………………………………………..
…………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..

…………………………………………………..…………………………. …………………………………………………..………………………….
…………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..

…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..

9

คณติ ศาสตรพ์ ืน้ ฐาน ค23101 1 ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 บทที่ 1 อสมการเชงิ เส้นตัวแปรเดยี ว

9) b + 4 2b −1 10) 0.7a 0.3a + 2
วิธที ำ……………………………………………………………………….. วิธที ำ………………………………………………………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..…………………………. …………………………………………………..………………………….
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..

11) 4x − 3 6x + 6 12) 5n − 3 1 n + 2
วธิ ีทำ……………………………………………………………………….. 3
…………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. วธิ ีทำ………………………………………………………………………..
…………………………………………………..………………………….
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..………………………….

…………………………………………………..…………………………..

…………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….

…………………………………………………..…………………………..

2. จงแก้สมการต่อไปนี้ 2 ) − 2x −10 5x + 4
วธิ ที ำ………………………………………………………………………..
1) 2x − 7 45
วธิ ีทำ……………………………………………………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..………………………….
…………………………………………………..…………………………. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..…………………………..

10

คณติ ศาสตรพ์ ้ืนฐาน ค23101 1 ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 บทที่ 1 อสมการเชงิ เส้นตวั แปรเดียว

3) 24x − 4.5 15(x + 0.3) 4) 2(x −15) −(3x + 5)
วธิ ีทำ……………………………………………………………………….. วิธีทำ………………………………………………………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..…………………………. …………………………………………………..………………………….
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..
…………………………………………………..………………………….. …………………………………………………..…………………………..

4.โจทยป์ ัญหาเก่ียวกบั อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดยี ว

นักเรยี นเคยแก้โจทย์ปัญหาเก่ียวกับสมการเชิงเส้นตวั แปรเดียวมาแล้ว ในการแก้โจทยป์ ญั หาเกีย่ วกับอสมการเชิง
เสน้ ตัวแปรเดียวก็สามารถทำไดใ้ นทำนองเดยี วกนั โดยมขี น้ั ตอนดังนี้

ข้ันที่ 1 วิเคราะห์โจทย์เพื่อหาวา่ โจทยก์ ำหนดอะไรมาใหแ้ ละใหอ้ ะไร
ข้นั ท่ี 2 กำหนดตวั แปรแทนส่ิงท่โี จทย์ให้หาหรือแทนส่งิ ท่เี ก่ียวข้องกับส่ิงท่ีโจทยใ์ ห้หา
ขั้นท่ี 3 เขียนอสมการตามเง่ือนไขในโจทย์
ขั้นที่ 4 แก้อสมการเพอ่ื หาคำตอบทีโ่ จทยต์ ้องการ
ขน้ั ท่ี 5 ตรวจสอบคำตอบท่ีได้กับเง่ือนไขในโจทย์

ตวั อย่างท่ี 13 เพนนีมีเงินสะสมอยจู่ ำนวนหนึ่ง วันหนง่ึ พอ่ ใหเ้ งินเพนนเี ปน็ พิเศษ 600 บาท วนั รุ่งขน้ึ เพนนซี ื้ออาหารให้

แมวและนกที่เลี้ยงไวเ้ ปน็ เงนิ 420 บาท เพนนรี วู้ ่ายังเหลอื เงินอยู่ไม่น้อยกว่าครงึ่ หนงึ่ ของเงินของเพนนีและเงนิ ท่ีพ่อให้

รวมกนั จงหาวา่ เดิมเพนนีมีเงินสะสมอยู่อย่างน้อยกี่บาท

วิธที ำ ให้เดมิ เพนนีมเี งินสะสมอยู่ x บาท

พอ่ ใหเ้ งนิ เพนนี 600 บาท เพนนีจึงมีเงินรวมท้ังสิ้น x + 600 บาท

หลงั จากเพนนีซื้ออาหารให้แมวและนก 420 บาท จะเหลือเงิน (x + 600) − 420 บาท

เน่ืองจาก เพนนีเหลือเงนิ อยู่ไม่นอ้ ยกว่าครึ่งหน่งึ ของ x + 600 จะได้อสมการเปน็

( x + 600) − 420 1 ( x + 600)
2
x +180
1x 1 x + 300
2 2
x
240

240

11

คณิตศาสตรพ์ ้ืนฐาน ค23101 1 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 บทที่ 1 อสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดียว

ดังน้นั เดิมเพนนีมีเงินสะสมอยูอ่ ยา่ งน้อย 240 บาท

ตัวอย่างที่ 14 สามเทา่ ของจำนวนเต็มบวกจำนวนหน่ึงมากกวา่ 15 อยู่ไมเ่ กิน 9 จำนวนเตม็ บวกนนั้ เป็นจำนวนใดบา้ ง
วธิ ที ำ ให้ x แทนจำนวนเต็มบวกนัน้

สามเทา่ ของจำนวนเตม็ บวกน้ันคือ 3x
เน่อื งจาก สามเท่าของจำนวนเต็มบวกน้นั มากกวา่ 15 อยู่ไมเ่ กิน 9
จะได้อสมการเป็น 3x −15 9

3x 24
x8

และเนอ่ื งจากโจทยก์ ำหนดให้ สามเท่าของจำนวนเตม็ บวกน้ันมากกวา่ 15
จึงได้อีกอสมการหนึง่ เป็น 3x 15

x5

จาก x 8 และ x 5 อาจเขียนไดเ้ ปน็ 5 x 8
ดังน้ัน จำนวนเต็มบวกเหล่านั้นคือ 6,7 และ 8

แบบฝึกหดั ที่ 4

1. มาวนิ อ่านหนงั สอื เล่มหนงึ่ วนั แรกอา่ นได้ 2 ของเลม่ วันต่อมาอา่ นได้อีก 25 หน้า รวมสองวนั อ่านไดม้ ากกวา่ ครงึ่ เลม่
5

จงหาวา่ หนงั สอื เลม่ นีม้ ีจำนวนหนา้ อยา่ งมากกหี่ น้า

วิธีทำ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

12

คณิตศาสตรพ์ ้ืนฐาน ค23101 1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 บทที่ 1 อสมการเชงิ เส้นตัวแปรเดยี ว

2. ปญั ญามเี หรียญบาทและเหรียญหา้ บาทอยู่ในกระป๋องออมสนิ จำนวนหนงึ่ เมือ่ เหรยี ญเตม็ กระป๋อง เขาเทออกมานับ
พบว่ามีเหรียญบาทมากกวา่ เหรยี ญหา้ บาทอยู่ 12 เหรยี ญ และนับเปน็ เงนิ ได้ไมน่ ้อยกวา่ 300 บาท จงหาว่ามเี หรยี ญหา้
บาทอยู่อย่างน้อยกเี่ หรียญ
วิธีทำ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

3. ถ้าสองเทา่ ของจำนวนเตม็ บวกจำนวนหนึ่งมากกวา่ 20 อยู่ 6 จำนวนดังกล่าวเป็นจำนวนใดได้บา้ ง
วิธที ำ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

13

คณติ ศาสตร์พน้ื ฐาน ค23101 1 ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 บทที่ 1 อสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว

4.รูปสเ่ี หล่ยี มผืนผ้ารูปหนึ่งมอี ัตราส่วนของความกวา้ งต่อความยาวเป็น 3: 5 และมีความยาวรอบรูปไมน่ ้อยกว่า 48

เซนตเิ มตร รูปส่ีเหล่ียมผืนผา้ รูปน้มี พี นื้ ที่อยา่ งน้อยเทา่ ไร
วธิ ีทำ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

5. จำนวนจำนวนหน่ึงรวมกับ 1 ของผลบวกของจำนวนน้ันกับ 5 แลว้ ยงั น้อยกว่า 7 จงหาวา่ จำนวนดังกล่าวเป็นจำนวน
3

ใดได้บา้ ง ถา้

1) จำนวนน้นั เปน็ จำนวนนับ

2) จำนวนนน้ั เป็นจำนวนเตม็

วิธที ำ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

14

คณติ ศาสตร์พน้ื ฐาน ค23101 1 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 บทท่ี 1 อสมการเชงิ เส้นตวั แปรเดียว

6.อาทติ ย์สอบได้คะแนนวชิ าวิทยาศาสตรค์ รั้งท่ี 1 ครง้ั ที่ 2 และครงั้ ท่ี 3 เป็น 69,75 และ 72 คะแนนตามลำดบั
จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน จงหาวา่ อาทิตย์จะต้องได้คะแนนสอบคร้ังที่ 4 อยา่ งน้อยเท่าไรจากคะแนนเต็ม
100 คะแนน จึงจะทำให้คะแนนเฉลี่ยของการสอบทง้ั ส่คี รั้งเปน็ 75 คะแนนข้นึ ไป
วธิ ีทำ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

7.แมค่ า้ ต้องการบรรจมุ ะมว่ งใส่ลงั ไม้ ซงึ่ ลงั เปล่าแตล่ ะใบหนัก 2.5 กิโลกรมั มะมว่ งแต่ละผลมีขนาดใกล้เคียงกัน หนัก
ผลละ 0.3 กโิ ลกรัม เพ่ือเปน็ การประหยัดค่าใชจ้ ่ายในการขนส่งจงึ ตอ้ ง บรรจุมะม่วงให้ได้มากท่ีสุด แตต่ ้องไมห่ นักเกินไป
จนเปน็ ปญั หา ในการเคลอ่ื นย้าย จากประสบการณ์แมค่ ้าพบวา่ ถา้ จะใหค้ ุ้ม คา่ ขนส่งโดยมะม่วงไม่เสยี หาย ต้องบรรจุ
มะม่วงให้แตล่ ะลงั มี น้ำหนักของมะมว่ งรวมกับน้ำหนักของลังแล้วไมน่ ้อยกวา่ 19 กโิ ลกรมั แต่ไม่เกนิ 25 กิโลกรมั
จงหาว่าแม่คา้ ควรบรรจุมะม่วง ใส่ลงั อย่างน้อยลงั ละก่ีผล และอย่างมากลงั ละก่ีผล
วธิ ที ำ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

15

เอก ารประกอบการเรียน
ิชา คณิต า ตรพ์ ้ืนฐาน 5 ค23101

ชน้ั มธั ยม กึ าปที ่ี 3 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการ ึก า 2564

เร่อื ง
มการกำลัง องตั แปรเดยี

ax2 + bx + c = 0

อนโดย
คุณครู

ช่ือ นาม กุล
ชั้น ม.3/ เลขที่

กลุ่ม าระการเรียนรู้คณิต า ตร์
โรงเรยี นชยั ภมู ิภักดีชุมพล

บทที่ 3
มการกำลัง องตั แปรเดยี

แนะนำ มการกำลัง องตั แปรเดีย

นกั เรยี นเคยทราบมาแล้ววา่ พ ุนาม เช่น 4x2, x2 – 5, 3x2 + x และ x2 – 4x + 1 เปน็ พ นุ ามดีกรี องที่
มตี วั แปรตวั เดียว คอื x พ ุนามดงั กล่าวมีรูปทว่ั ไปเป็น ax2 + bx + c เมอื่ a, b และ c เป็นคา่ คงตัว โดย a ≠ 0
เราจะได้เ ็นการนำพ นุ ามดังกลา่ วมาใช้ใน มการกำลัง องตวั แปรเดยี ว

ตอ่ ไปนเ้ี ป็นตัวอย่างของ มการกำลัง องตวั แปรเดียว
1. 5x2 = 0
2. -3x2 = 4
3. y2 + 2y = 0
4. 3x2 + x – 2 = 0
5. 1.5m2 – 0.5m + 2 = -4m

มการกำลัง องตั แปรเดยี (one-variable quadratic equation) มรี ูปทัว่ ไปเป็น ax2 + bx + c = 0
เม่อื x เปน็ ตวั แปร a, b และ c เป็นค่าคงตัว โดย a ≠ 0

ในบางคร้งั เราอาจพบ มการกำลัง องตวั แปรเดยี วที่ไมไ่ ดเ้ ขยี นอยู่ในรูปทว่ั ไป แต่เรา ามารถเขียน มการเ ลา่ นั้น

ใ ้อยใู่ นรูปทั่วไปได้ ดังตัวอย่างตอ่ ไปน้ี

1. x2 + 5 = 2x

x2 + 5 + (-2x) = 2x + (-2x)

x2 – 2x + 5 =0

2. -y(4y + 7) = -8

-4y2 – 7y = -8

-4y2 – 7y + 8 = 0

3. 2m2 – 10 = -3m2 + 4

2m2 – 10 + 3m2 – 4 = 0

5m2 – 14 =0

แบบฝึก ดั 3.1

1. มการท่กี ำ นดใ ้ต่อไปน้ี เป็น มการกำลัง องตวั แปรเดยี ว รือไม่ จงเขียน ลงในชอ่ งท่ีเป็นคำตอบที่

ถกู ต้อง

ข้อท่ี มการ มการกำลัง องตั แปรเดีย
เป็น ไมเ่ ปน็

1 -z2 + 15 – 4z = 0

2 0 = 6t2 – 5

3 4 – 3x = 0

4 - 21u + 7 - 34u2 = 0
5 0 = s(s – 9)

6 m2 + 2n – 1 = 0

7 0 = x + 2x

8 12y2 = 0

9 3w2 + 8w – 5 – 3w2 = 0

10 0 = 11v – 12v2 + 13

2. จงเขียน มการกำลัง องตัวแปรเดียวต่อไปนี้ใ ้อยู่ในรูปทั่วไป ax2 + bx + c = 0 เมื่อ x เป็นตัวแปร

a, b และ c เปน็ คา่ คงตัว โดย a ≠ 0 พร้อมท้ังบอกคา่ a, b และ c ในแตล่ ะ มการ\

ขอ้ มการ มการรปู ท่ั ไป คา่
abc

1 x2 – 3x = 8

2 2m2 – 7 = m

3 z2 = -4

4 0.8x – 1 = 1.5x2

5 (k – 1)2 = 0

6 3z(1.2 – z) = 2.4

7 y2 + 6y = 2 – 3y2

8 (n + 4)2 = 1 + 8n

9 (m – 9)(m + 9) = 9 – m2

10 2 – 5k = k2
3

การแก้ มการกำลัง องตั แปรเดีย

นกั เรยี นเคยทราบมาแลว้ ว่า คำตอบของ มการ คอื จำนวนจรงิ ที่แทนตวั แปรใน มการแล้วทำใ ไ้ ด้ มการ

ทเี่ ปน็ จริง

ใ ้นักเรียนพิจารณาการ าคำตอบของ มการกำลัง องตัวแปรเดียว โดยวิธีลองแทนค่าตัวแปรใน มการ

ดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี

1. x2 – 4x = 0

เมื่อแทน x ด้วย 0 ใน มการ x2 – 4x = 0

จะได้ (0)2 – 4(0) = 0

0 = 0 ซ่งึ เป็น มการทีเ่ ป็นจริง

ดังน้นั 0 เป็นคำตอบของ มการ x2 – 4x = 0

และเมื่อแทน x ดว้ ย 4 ใน มการ x2 – 4x = 0

จะได้ (4)2 – 4(4) = 0

0 = 0 ซงึ่ เป็น มการทเี่ ปน็ จริง

ดังนั้น 4 เปน็ คำตอบของ มการ x2 – 4x = 0

และเมอ่ื แทน x ดว้ ยจำนวนจริงอน่ื ๆ ท่ไี มใ่ ช่ 0 และ 4 ใน มการ x2 – 4x = 0 แล้วจะได้ มการท่ีไม่เป็นจรงิ

ดงั น้ัน คำตอบของ มการ x2 – 4x = 0 มี 2 คำตอบ คือ 0 และ 4

2. y2 + 6y + 9 = 0

เมอ่ื แทน y ด้วย -3 ใน มการ y2 + 6y + 9 = 0

จะได้ (-3)2 + 6(3) + 9 = 0

0 = 0 ซง่ึ เป็น มการทเ่ี ปน็ จรงิ

ดงั นัน้ -3 เป็นคำตอบของ มการ y2 + 6y + 9 = 0

และเม่อื แทน y ด้วยจำนวนจรงิ อ่ืน ๆ ท่ีไมใ่ ช่ -3 ใน มการ y2 + 6y + 9 = 0 แล้วจะได้ มการทีไ่ ม่เป็นจริง

ดังน้ัน คำตอบของ มการ y2 + 6y + 9 = 0 มี 1 คำตอบ คอื -3

3. z2 + 8 = 0

จาก มการ z2 + 8 = 0

z2 = -8

เน่อื งจาก จำนวนจรงิ ใด ๆ ยกกำลัง องแลว้ จะต้องเป็นจำนวนจรงิ บวก รือศูนย์

ดังนั้น ไมม่ ีจำนวนจริงใดยกกำลัง องแลว้ ไดผ้ ลลัพธเ์ ป็น -8

น่นั คอื ไมม่ ีจำนวนจริงใดเปน็ คำตอบของ มการ z2 + 8 = 0

จากตัวอยา่ งทั้ง ามข้างต้น แ ดงใ เ้ ็นว่า มการกำลงั องตัวแปรเดียวอาจมี 2 คำตอบ รือ 1 คำตอบ

รืออาจไม่มีจำนวนจริงใดเปน็ คำตอบก็ได้ ในทางคณิตศา ตร์ มการกำลัง องตัวแปรเดียวมีคำตอบไดไ้ ม่เกิน 2

คำตอบ

แบบฝึก ดั 3.2ก

1. จงตรวจ อบว่า จำนวนท่ีกำ นดใ ้ในช่องท้ายข้อ แต่ละจำนวนเปน็ คำตอบของ มการในแต่ละข้อ รอื ไม่
1) x2 – 5x – 14 = 0 (7 กับ -2)

2) n2 – 6n + 9 = 0 (3 กบั 0)

3) 2x2 – 7 x = 0 (7 กับ 0)

4) 2y2 = 15 + 7y (5 กับ - 23)

5) 0 = 25 + x2 (5 กบั -5)

6) 4z + 4z2 = -1 (- 1 กบั -1)
2

7) m2 – 6 = m (-2 กบั -3)

8) y2 = 10y - 25 (5 กบั 2)

2. จง าคำตอบของ มการตอ่ ไปน้ี 2) y2 – 5y = 0
1) x2 – 16 = 0

3) z2 + 3 = 0 4) x2 – 1 = 0

5) k2 + k – 2 = 0 6) u2 – 8u + 16 = 0

การแก้ มการกำลัง องตั แปรเดยี โดย ิธแี ยกตั ประกอบ

การแก้ มการกำลัง องตัวแปรเดียวเป็นการ าคำตอบทง้ั มดของ มการนน้ั ๆ ำ รับการแก้ มการ

กำลงั องตวั แปรเดียวที่อย่ใู นรปู ax2 + bx + c = 0 เม่อื x เป็นตัวแปร a, b และ c เป็นคา่ คงตวั โดยท่ี a ≠ 0 ดว้ ย

ลองแทนค่าตัวแปรน้ัน ในทางปฏิบตั ิ อาจทำไม่ได้ รอื อาจไม่ ะดวกและตอ้ งใชเ้ วลามาก

ในกรณีท่ีเรา ามารถแยกตัวประกอบ ax2 + bx + c = 0 ใ อ้ ยู่ในรปู การณค์ ูณกนั ของพ ุนามดีกรี นึ่ง 2

พ นุ าม และเนอื่ งจากในทน่ี ี้พ นุ ามแทนจำนวน เราจึงใช้ มบัตขิ องจำนวนจรงิ ที่ว่า ถ้า m และ n เป็นจำนวนจริง

และ mn = 0 แล้ว m = 0 รือ n = 0 มาใช้ในการแก้ มการด้วย ก็จะทำใ ้แก้ มการกำลัง องตัวแปรเดียวได้

ะดวกขน้ึ

ตั อย่างที่ 1 จงแก้ มการ x2 – 10x + 25 = 0 ตร จ อบ
ธิ ีทำ x2 – 10x + 25 = 0 เม่ือแทน x ดว้ ย 5 ใน มการ x2 – 10x + 25 = 0
จะได้ 52 – 10(5) + 25 = 0
(x – 5)(x – 5) = 0
ดงั นนั้ x – 5 = 0 0 = 0 ซึ่งเปน็ มการที่เป็นจรงิ
จะได้ x = 5

ดงั นั้น คำตอบของ มการ คือ 5 ตร จ อบ
เมอื่ แทน x ดว้ ย -9 ใน มการ x2 – 81 = 0
ตั อยา่ งท่ี 2 จงแก้ มการ x2 – 81 = 0 จะได้ (-9)2 – 81 = 0

ิธีทำ x2 – 81 =0 0 = 0 ซึง่ เปน็ มการท่เี ปน็ จรงิ
เมื่อแทน x ด้วย 9 ใน มการ x2 – 81 = 0
(x + 9)(x – 9) = 0 จะได้ 92 – 81 = 0

ดงั นน้ั x + 9 = 0 รือ x – 9 = 0 0 = 0 ซ่งึ เป็น มการทเ่ี ป็นจรงิ

จะได้ x = -9 รือ x = 9

ดังนั้น คำตอบของ มการ คอื -9 และ 9

ตั อย่างท่ี 3 จงแก้ มการ x2 = 3x ตร จ อบ
เมื่อแทน x ดว้ ย 0 ใน มการ x2 = 3x
ิธที ำ x2 = 3x จะได้ 02 = 3(0)

x2 – 3x =0 0 = 0 ซึง่ เป็น มการทเ่ี ปน็ จริง
เม่อื แทน x ดว้ ย 3 ใน มการ x2 = 3x
x(x – 3) = 0 จะได้ 32 = 3(3)

ดังน้ัน x = 0 รือ x – 3 = 0 0 = 0 ซึง่ เปน็ มการทีเ่ ปน็ จริง

จะได้ x = 0 รอื x = 3

ดงั น้ัน คำตอบของ มการ คือ 0 และ 3

1. จงแก้ มการตอ่ ไปน้ี แบบฝกึ ัด 3.2 ข
1) x2 – 225 = 0 2) (m + 12)2 = 0

3) z2 + 4z = -4 4) y2 + 5y + 6 = 0

5) -n2 = 3 – 4n 6) 14 – 5m = m2

7) p2 – 7p + 12 = 0 8) w2 = -6w

9) z2 + z = 30 10) p2 = -8p – 16

ตั อย่างท่ี 4 จงแก้ มการ 2x2 – x – 10 = 0 ตร จ อบ

ธิ ีทำ 2x2 – x – 10 = 0 เมื่อแทน x ดว้ ย -2 ใน มการ 2x2 – x – 10 = 0

(x + 2)2(x – 5) = 0 จะได้ 2(-2)2 – (-2) – 10 = 0

ดังน้นั x + 2 = 0 รือ 2x – 5 = 0 0 = 0 ซง่ึ เป็น มการท่ีเป็นจรงิ

จะได้ x = -2 รือ x= 5 เมื่อแทน x ด–้ว(ย25)52–ใน10 มการ 2x2 – x – 10 = 0
ดังนั้น คำตอบของ คอื -2 2 จะได้ 2(52)2 =0
มการ และ 5
2 0 = 0 ซ่งึ เป็น มการทเ่ี ป็นจริง

ตั อย่างท่ี 5 จงแก้ มการ y2 = 61y + 2 ตร จ อบ
ิธีทำ y2 = 61y
+ 2 เม่ือแทน y ดว้ ย 2-3((34ใ-32นใ)34น419)92ม6=2มก===กา1649รา61(19รซ6y(32ึง่2)yซ-เ2=ปงึ่43+เ)=น็ ป61y2น็61+มy+ก2ม+า2กร2าทรีเ่ ทป่ีเ็นปจ็นรจิงริง
จะได้ y ดว้ ย
นำ 6 มาคูณทง้ั องข้างของ มการ
เมื่อแทน
6y2 = y + 12 จะได้

6y2 – y – 12 = 0

(2y – 3)(3y + 4) = 0

ดังนั้น 2y – 3 = 0 รอื 3y + 4 = 0

จะได้ y = 3 รือ y =-34
ดังน้นั 2 -43
3
คำตอบของ มการ คือ 2 และ

ตั อย่างที่ 6 จงแก้ มการ -0.5z2 + z – 0.5 = 0 ตร จ อบ
ิธที ำ -0.5z2 + z – 0.5 = 0 เมอ่ื แทน z ด้วย 1 ใน มการ -0.5z2 + z – 0.5 = 0
จะได้ -0.5(1)2 + 1 – 0.5 = 0
นำ -2 มาคณู ทั้ง องขา้ งของ มการ
z2 – 2z + 1 = 0 0 = 0 ซงึ่ เปน็ มการทเ่ี ป็นจริง
(z – 1)(z – 1) = 0

ดังนั้น z – 1 = 0

จะได้ z = 1

ดงั นนั้ คำตอบของ มการ คอื 1

แบบฝกึ ัด 3.2 ข

2. จงแก้ มการต่อไปน้ี

1) 3m2 + 2m – 8 = 0 2) 2x2 + 7x – 4 = 0

3) 3r2 – 5r + 2 = 0 4) 4s2 = 10 – 3s

5) 3w2 = 8 – 2 w 6) (t + 12)t = -32

7) 1.4z2 + 3.1z = 1 8) 1 y2 = 7y – 12
9) (4n – 3)2 = 49 2

10) (2m – 3)2 – (m + 2)2 = 0

ตั อย่างที่ 7 ใ ้ผลคณู ของจำนวนเตม็ จำนวน นึ่งกับจำนวนเต็มท่อี ยู่ติดกนั เท่ากับ 156 จง าจำนวนเต็มทงั้ องน้ัน

ธิ ีทำ ใ ้ x แทนจำนวนเตม็ จำนวน นงึ่ ท่ีมากกว่า

จะได้ว่า จำนวนเต็มทีน่ อ้ ยกวา่ และอยู่ตดิ กัน คือ x – 1

เนื่องจากผลคณู ของ องจำนวนน้เี ทา่ กบั 156

เขยี น มการได้เป็น x(x – 1) = 156

x2 – x – 156 = 0

(x + 12)(x – 13) = 0

ดังน้นั x + 12 = 0 รือ x – 13 = 0

จะได้ x = -12 รอื x = 13

เนื่องจาก x แทนจำนวนเตม็ ดังนัน้ x จงึ เป็นได้ทง้ั จำนวนเตม็ ลบและจำนวนเตม็ บวก

ถ้าจำนวนทม่ี ากกว่า คอื -12 จำนวนเตม็ ทน่ี อ้ ยกว่าและอย่ตู ดิ กนั คอื -13
ถา้ จำนวนทีม่ ากกวา่ คือ 13 จำนวนเตม็ ทน่ี ้อยกว่าและอยู่ตดิ กนั คอื 12
ดังน้ัน จำนวนเตม็ ทัง้ องนัน้ มี 2 ชุด คือ -12 กบั -13 และ 13 กับ 12

แบบฝกึ ดั 3.2 ข
3. ใ ผ้ ลคูณของจำนวนเต็ม องจำนวนท่ีอย่ตู ิดกนั เท่ากับ 210 จง าจำนวนเตม็ ท้งั องน้นั

4. ใ ้ผลคูณของจำนวนคู่จำนวน นึ่งกับจำนวนคู่อีกจำนวน นึ่งที่อยู่ถัดไปเท่ากับ 840 จง าจำนวนคู่ อง
จำนวนน้นั

5. ใ ผ้ ลคูณของจำนวนคี่บวกจำนวน น่ึงกับจำนวนคีบ่ วกอีกจำนวน นงึ่ ที่อยู่ถัดไปเปน็ 675 จง าจำนวนคี่
บวก องจำนวนน้นั

6. ใ ้ผลคูณของจำนวนจำนวน นึ่งกับจำนวนทีน่ ้อยกว่า 2 เท่าของจำนวนน้ันอยู่ 1 เท่ากับ 3 จง าจำนวน
ท้งั องนั้น

7. ถ้าจำนวนจำนวน นึ่งกับอีกจำนวน นึ่งซึ่งน้อยกว่าจำนวนแรกอยู่ 13 คูณกับ แล้วผลคูณเท่ากับ -40
จง าจำนวนทั้ง องน้ัน

การแก้ มการกำลงั องตั แปรเดยี โดยการใช้ ตู ร
ในการ าคำตอบของ มการ ax2 + bx + c = 0 เม่ือ x เป็นตวั แปร a, b และ c เป็นคา่ คงตวั โดย

ที่ a ≠ 0 นั้น บางคร้งั ไม่ ามารถแยกตัวประกอบของพ นุ าม ax2 + bx + c ไดโ้ ดยง่าย ในกรณเี ช่นน้ี เรา
อาจใช้ความรูเ้ รือ่ งกำลัง อง มบรู ณ์และผลต่างของกำลัง องมาช่วยในการแยกตัวประกอบของพ นุ ามนั้น
ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปนี้

แบบฝกึ ดั 3.2 ค

1. จงแก้ มการตอ่ ไปน้ี โดยใช้ความรู้เรือ่ งกำลัง อง มบูรณ์และผลตา่ งของกำลัง อง

1. x2 + 26x + 165 = 0 2. y2 – 98y + 2,376 = 0

3. z2 + 756 = 60z 4. 400 + 50x = x2

5. 4y2 – 3 = 8y + 9 6. 9z2 + 6z – 8 = 0

2. จงแก้ มการกำลงั องตวั แปรเดียวตอ่ ไปน้ี โดยการใช้ ูตร

1. x2 – 12x + 11 = 0 2. z2 + 4z + 1 = 0

3. 2x2 = 3x + 14 4. 14y = 1 + 49y2

5. (2z+ 21) z = z 6. 2x2 – 8x + 3 = 0

7. 4y2 – 4y – 35 = 0 8. 21z2 + 9z + 100 = 0

9. 21(2x – 5)2 = 2(10 – x) 10. 2y + (y – 2)2 = 1

โจทยป์ ญั าเกีย่ กบั มการกำลงั องตั แปรเดยี
มการกำลัง องตัวแปรเดียวมีประโยชนใ์ นการ าคำตอบของโจทยป์ ัญ าตา่ ง ๆ ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี

แบบฝึก ัด 3.3
1. รูป ี่เ ลี่ยมมุมฉากรูป นึ่ง มีด้านยาวยาวกว่า 3 เท่าของด้านกว้างอยู่ 5 นิ้ว และมีพื้นที่ 138 ตารางนวิ้

จง าความยาวของด้านแตล่ ะด้านของรปู เ่ี ลยี่ มมมุ ฉากนี้

2. ∆RST มพี ืน้ ที่ 52 ตารางเซนตเิ มตร มีความ ูงนอ้ ยกว่า องเท่าของความยาวของฐาน ST อยู่ 3 เซนตเิ มตร
จง าความยาวของฐาน ST

3. กำ นดรปู ามเ ลยี่ ม ABC ทีม่ ี AB̂C เปน็ มุมฉาก A̅B ยาวกว่า B̅C อยู่ 7 เซนตเิ มตร และ A̅C ยาวกว่า A̅B
อยู่ 1 เซนติเมตร จง าความยาวของ A̅B, B̅C และ A̅C

4. รปู เี่ ลี่ยมจัตรุ ั ABCD และรปู เ่ี ลีย่ มมุมฉาก PQRS มพี ืน้ ทเี่ ทา่ กันและมีขนาด ดังรูป จง าขนาดของ
รูป ่ีเ ลยี่ มแตล่ ะรูป

5. ถังนำ้ ทรง เ่ี ล่ียมมุมฉากใบ นึง่ มพี ื้นท่ีก้นถังเป็น 120 ตารางนวิ้ ความยาวรอบปากถังภายในยาว 46 น้ิว
ถา้ ถังใบนจ้ี ุนำ้ ได้ 720 ลกู บาศก์นว้ิ จง าขนาดภายในของถังใบนี้

6. กรอบรูปไม้ ัก ำ รับใ ่รูปขนาด 24 × 30 ตารางนิ้ว มีพื้นที่โดยรอบของ ่วนที่เป็นไม้ ักด้าน น้าของ
กรอบรปู เท่ากบั 496 ตารางนว้ิ จง าว่าไม้ท่ที ำกรอบรูปกว้างเทา่ ไร

7. พรกิ อมตอ้ งการ ร้างกรงกระต่ายใ ้มเี น้ือที่ 55 ตารางเมตร ติดกนั ร้ัวบา้ น ดงั รูป ถ้าความยาวของด้านท้ัง
ามของกรงกระตา่ ยรวมกนั เป็น 21 เมตร จง าความกวา้ งและความยาวของกรงกระต่ายนี้

8. กำนนั ชายปลูกต้นมะยงชิดเรียงเป็นแถวไว้ใน วน 2,000 ต้น โดยทีแ่ ต่ละแถวมีจำนวนต้นมะยงชิดเท่ากัน
ถา้ จำนวนต้นมะยงชดิ ในแตล่ ะแถวมีจำนวนตน้ มะยงชดิ เท่ากัน ถ้าจำนวนตน้ มะยงชิดในแตล่ ะแถวนอ้ ยกว่า
จำนวนแถวอยู่ 10 จง าวา่ กำนันชายปลูกต้นมะยงชิดไว้กแ่ี ถวและแถวละก่ตี น้

เอกสารประกอบการเรียน
วิชา คณติ ศาสตรพ์ น้ื ฐาน 5 ค23101

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

เร่อื ง
ความคลา้ ย

สอนโดย
คณุ ครู
ช่ือ นามสกุล

ชน้ั ม.3/ เลขที่

กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์
โรงเรยี นชยั ภมู ิภักดชี ุมพล

1. รูปเราขาคณิตท่ีคลา้ ยกนั

เมือ่ พิจารณารปู รา่ งของส่งิ ต่าง ๆ รอบตวั เรา ก็จะพบวา่ มสี ิง่ ของเคร่อื งใชต้ ่าง ๆ หลายอยา่ งท่มี รี ปู ร่าง
เหมอื นกันแตอ่ าจมีขนาดแตกต่างกัน เรากล่าววา่ สง่ิ ของเคร่ืองใชเ้ หล่านนั้ มีรูปร่างท่คี ลา้ ยกัน เชน่ หนา้ จอทีวี
กระถางต้นไม้ แก้วกาแฟขนาดต่าง ๆ กล่องอาหารชุด หม้อชุด ฯลฯ

ให้นกั เรียนพิจารณารูปเรขาคณิตสองมติ ติ อ่ ไปน้ี

จะเหน็ ว่า รปู ก และรปู ง เป็นรูปที่คล้ายกัน เพราะมรี ปู ร่างเหมอื นกัน แตม่ ขี นาดแตกต่างกัน
รูป ข และรูป ค เป็นรูปที่คล้ายกนั เพราะมีรูปร่างเหมือนกัน และมขี นาดเท่ากนั

นนั่ คอื รปู เรขาคณิตสองรปู เปน็ รปู ท่คี ลา้ ยกนั เมอื่ รูปเรขาคณติ ทั้งสองนัน้ มีรปู ร่างเหมอื นกัน รูป
เรขาคณิตที่คลา้ ยกันอาจมีขนาดเท่ากนั หรือแตกต่างกันกไ็ ด้

เม่อื รปู เรขาคณติ A และรูปเรขาคณติ B เป็นรูปท่ีคล้ายกัน จะเขยี นว่า รูปเรขาคณิต A ~ รูป
เรขาคณิต B อ่านว่ารูปเรขาคณิต A คล้ายกบั รปู เรขาคณติ B

สมบตั ขิ องความคล้าย

1. สมบตั ิสะทอ้ น : รปู เรขาคณติ A ~ รูปเรขาคณติ A
2. สมบัติสมมาตร : ถ้ารูปเรขาคณิต A ~ รปู เรขาคณิต B แลว้ รูปเรขาคณิต B ~ รูปเรขาคณิต A
3. สมบตั ถิ ่ายทอด : ถ้ารูปเรขาคณิต A ~ รปู เรขาคณิต B และรปู เรขาคณิต B ~ รูปเรขาคณิต C

แล้วรูปเรขาคณิต A ~ รูปเรขาคณิต C

บทนิยาม รปู หลายเหลีย่ มสองรปู คลา้ ยกนั กต็ อ่ เม่ือ รปู หลายเหลยี่ มสองรูปนั้นมี
1. ขนาดของมุมเท่ากนั เปน็ คู่ ๆ ทุกคู่
2. อัตราส่วนของความยาวของดา้ นคู่ที่สมนัยกันทกุ ค่เู ป็นอตั ราสว่ นทเ่ี ท่ากัน

เม่อื กล่าวถึงรูปหลายเหลยี่ มสองรูปที่คล้ายกัน เราจะเขยี นจุดยอดท่ีสมนัยกันให้อยู่ในลำดับเดียวกัน
เช่น รปู หา้ เหล่ยี มรูป 1 คล้ายกบั รปู ห้าเหล่ียม รูป 2 ดังรูป

เราจะเขยี นว่า รปู ABCDE ~ รปู PQRST ซ่ึงหมายถงึ
1. มุมคู่ทีส่ มนยั กันมีขนาดเท่ากนั เปน็ คู่ ๆ ทกุ คู่ตามลำดบั คอื

Â=P̂, B̂=Q̂, Ĉ=R̂, D̂=Ŝ และ Ê=T̂

2. อตั ราสว่ นของความยาวของด้านคทู่ ่ีสมนัยกันทกุ ค่เู ป็นอัตราสว่ นท่เี ท่ากนั คือ

AB = BC = CD = DE = EA
PQ QR RS ST TP

การเขียนวา่ รูป ABCDE ~ รปู PQRST เป็นการแสดงการจบั ครู่ ะหว่างมุมและดา้ นคู่ทสี่ มนัยกนั ดงั น้ี

 สมนยั กับ P̂, B̂ สมนยั กบั Q̂, Ĉ สมนยั กบั R̂, D̂ สมนัยกบั Ŝ และ Ê สมนยั กับ T̂

A̅B สมนัยกบั P̅Q, B̅C สมนยั กบั Q̅R, C̅D สมนยั กบั R̅S, D̅E สมนยั กบั S̅T และ E̅Aสมนัยกนั T̅P
จากตัวอยา่ งรปู ห้าเหลยี่ ม รูป 1 ท่คี ล้ายกับรปู ห้าเหล่ยี ม รูป 2 ขา้ งต้น ถา้ มกี ารเขยี นเป็นอยา่ งอื่น เชน่
รปู ABCDE ~ รปู QRSTP อาจทำให้เกิดการสับสนในการจบั ค่มู มุ คู่ที่สมนัยกนั และด้านคู่ทีส่ มนัยกัน

ตัวอย่างที่ 1 จากรูป จงแสดงว่ารูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน DUCK และรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน FISH เป็นรูป
สี่เหล่ยี มทค่ี ลา้ ยกัน

ดังนน้ั สามารถจบั คู่จุดยอดทที่ ำให้ได้

1. มุมคทู่ ่ีสมนยั กนั มขี นาดเท่ากนั เป็นคู่ ๆ ทุกคู่ คือ D̂=F̂, Û=I,̂ Ĉ=Ŝ และ K̂=Ĥ

2. อตั ราสว่ นของความยาวของดา้ นคทู่ ี่สมนยั กันทกุ คู่สมนยั กันทุกคเู่ ป็นอัตราสว่ นท่เี ทา่ กนั คือ

DU = CK = 6 = 2 , UC = KD = 4 = 2 หรือ DU = UC = CK = KD
FI SH 9 3 IS HF 6 3 FI IS SH HF

น้ันคอื DUCK ~ FISH
ตัวอยา่ งที่ 2 จากรปู กำหนดให้รูป BROWN คล้ายกบั รูป FLASH จงหาขนาดของ R̂, Ŵ, N̂, F̂, Â และ Ĥ

ตวั อย่างท่ี 3 จากรปู กำหนดใหร้ ูปส่ีเหลีย่ ม ABCD คล้ายกบั รปู สี่เหลี่ยม KLMN จงหา

แบบฝกึ หัด 1
1. รปู ส่เี หล่ียมในแต่ละข้อต่อไปน้ีเป็นรูปที่คลา้ ยกันหรอื ไม่ เพราะเหตุใด

1.

2.

2. รปู สามเหลยี่ มดา้ นเท่าสองรปู ใด ๆ เป็นรปู ที่คล้ายกันหรือไม่ เพราะเหตใุ ด

3. รูปสามเหลี่ยมหนา้ จั่วสองรปู ใด ๆ เป็นรูปที่คล้ายกนั หรือไม่ เพราะเหตุใด
4. รูปสเี่ หลย่ี มจตั ุรัสสองรปู ใด ๆ เปน็ รูปทีค่ ล้ายกนั หรือไม่ เพราะเหตุใด
5. รูปสี่เหลีย่ มขนมเปียกปนู สองรูปใด ๆ เปน็ รูปที่คล้ายกนั หรือไม่ เพราะเหตุใด
6. รูปหกเหลย่ี มดา้ นเทา่ สองรูปใด ๆ เปน็ รปู ทค่ี ล้ายกันหรือไม่ เพราะเหตใุ ด
7. รูปหกเหล่ียมด้านเทา่ มมุ เท่าสองรปู ใด ๆ เป็นรูปท่ีคลา้ ยกนั หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด
8. รูปสี่เหลย่ี มสองรูปท่มี ีความยาวของเสน้ รอบรปู เท่ากนั เป็นรูปท่ีคล้ายกนั หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด
9. รูปสามเหลี่ยมสองรูปใด ๆ ทมี่ พี ้นื ทเี่ ทา่ กัน เป็นรูปทค่ี ลา้ ยกันหรือไม่ เพราะเหตใุ ด
10. จากรปู กำหนดใด้ RICH ~ BANK จงหาขนาดของมุมทกุ มมุ ทไ่ี มไ่ ดร้ ะบไุ วใ้ นรูป

11. จากรูป กำหนดให้ COLD ~ WARM จงหา

1) ขนาดของ Ĉ และ Â
2) ความยาวของดา้ น LD และความยาวของ

ดา้ น MW
3) อัตราส่วนของความยาวรอบรปู ของรปู

สเ่ี หล่ยี มทงั้ สองรูป

12. จากรปู รปู สี่เหล่ยี มคางหมทู ุกรูปเป็นรูปท่ีคล้ายกัน จงหา
1. ขนาดของมมุ แต่ละมุมของรปู สี่เหลี่ยมคางหมู ABCD
2. ถ้า A̅B ยาว x หน่วย แล้ว C̅D ยาวกหี่ นว่ ย

2. รูปสามเหล่ยี มที่คลา้ ยกัน

สิ่งก่อสร้างหลายอย่างรอบ ๆ ตัวเรามีส่วนประกอบที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมที่คล้ายกัน เช่น
หน้าจั่วบ้าน โครงสร้างหลังคา ในหัวข้อที่ผ่านมานักเรียนได้ศึกษาเกี่ยวกับบทนิยามของรูปหลายเหล่ียมที่
คลา้ ยกนั เราสามารถนำบทนิยามมากำหนดเป็นเง่ือนไขเพื่อพิจารณาความคลา้ ยกนั ของรปู สามเหลย่ี ม ดงั นี้

บทนยิ าม รปู สามเหลย่ี มสองรูปคล้ายกัน กต็ อ่ เม่ือ รปู สามเหลย่ี มสองรูปน้ัน มีขนาดของมุมเทา่ กันเปน็ คู่ ๆ สามคู่

ตวั อยา่ งท่ี 1 จากรูป จงหาคา่ ท่ี x และ y

ตวั อยา่ งที่ 2 จากรูป จงหาคา่ x และ y

แบบฝกึ หัด 2 ก
1. รูปสามเหลย่ี มแต่ละคตู่ อ่ ไปนค้ี ลา้ ยกนั หรือไม่ เพราะเหตใุ ด

1)
2)

3)

4)

5)

6)

2. จากรูป จงหาคา่ x และ y
1)