รัชกาลที่ 1 ทรงแต่งตั้งกษัตริย์ของอาณาจักรใดต่อไปนี้

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๗ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันพุธที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ต่อมาในพ.ศ. ๒๔๔๘ พระบรมชนกนาถโปรดเกล้าฯสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา เมื่อทรงพระเยาว์ทรงได้รับการศึกษาเบื้องต้นอันสมควรแก่ขัตติยบรมราชกุมารแล้ว เมื่อพระชนมายุ ๑๒ พรรษาหลังจากโสกันต์แล้วได้ทรงเสด็จไปศึกษาวิชาการ ณ ประเทศอังกฤษ ที่วิทยาลัยอีตัน และต่อมาในพ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาทหารปืนใหญ่ม้าจากโรงเรียนนายร้อยเมืองวูลิช ประเทศอังกฤษ แล้วเสด็จไปประจำกรมทหารปืนใหญ่ม้าอังกฤษ ณ เมืองออลเดอชอต เพื่อทรงศึกษาหน้าที่นายทหาร แต่เนื่องจากภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๕๗ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ จึงโปรดเกล้าฯให้เสด็จนิวัตประเทศไทย

        พศ. ๒๔๕๘ โปรดเกล้าฯให้ทรงรับราชการตำแหน่งนายทหารคนสนิทของจอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบกและทรงเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการตามลำดับ

       พ.ศ. ๒๔๖๐ ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเสด็จไปประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศเป็นเวลา ๑ พรรษา

       พ.ศ. ๒๔๖๑ พระองค์ทรงขอพระราชทานพระบรมราชาอนุญาตอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์

และในระหว่างปีพ.ศ. ๒๔๖๓-๒๔๖๗ ได้เสด็จไปศึกษาวิชาทหารบกที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกของประเทศฝรั่งเศส ต่อมาในปี๒๔๖๘ ทรงได้รับการสถาปนาเลื่อนพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชาได้ไม่ถึงเดือน พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่และเหล่าเสนาบดีพร้อมกันกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติสืบราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๗ พระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

          ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์ อดุลยเดชวิกรมบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 ณ เมืองไฮเดลเบอร์ก ประเทศเยอรมนี พระองค์ไม่เพียงแต่ทรงพระราชสมภพในต่างประเทศ เท่านั้น หากยังทรงต้องประทับอยู่ต่อมา พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนก และพระราชชนนี เนื่องจากสมเด็จพระบรมราชชนก ประทับทรงศึกษาวิชาแพทย์อยู่ในขณะนั้น ทรงศึกษาวิชาเบื้องต้นในประเทศไทย แล้วเสด็จไปทรงศึกษา ต่อ ณ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ทรงขึ้นครองราชยสมบัติ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละราชสมบัติ ในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 นั้น คณะรัฐบาลด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร จึงอัญเชิญพระองค์ขึ้นครองราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 8 แห่งราชจักรีวงศ์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อดุลยเดชวิมลรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์สยามินทราธิราช ขณะทรงมีพระชนมายุ 9 พรรษา โดยมี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

พระราชกรณียกิจ
           ระหว่างประทับทรงศึกษาอยู่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันท มหิดลได้เสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทย 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2481 และปี พ.ศ. 2488 ถึงแม้จะทรง เป็นยุวกษัตริย์ แต่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยได้อย่างดียิ่ง ทรงโปรดที่จะ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเสด็จพระราชดำเนินสำเพ็ง เพื่อทรง เยี่ยมประชาชนชาวจีนและอินเดียในบริเวณนั้น เป็นผลให้ความแตกแยกระหว่างประชาชนชาวไทยและจีน ซึ่งมีขึ้นก่อนหน้านั้นระงับไปได้ด้วยพระปรีชาอันสามารถ

สวรรคต
           ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลประทับอยู่ในพระนคร เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทยครั้งที่ 2 นั้น โดยมิได้คาดฝันพระองค์เสด็จสวรรคต เพราะถูกพระแสงปืน ณ พระแท่นบรรทมในพระที่นั่งบรมพิมาน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 หลังจากเสวยราชสมบัติอยู่เป็น เวลา 12 ปีเท่านั้น

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระปฐมบรม กษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ทรงสถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์ พระนาม เดิมว่า ด้วง หรือ ทองด้วง พระราชบิดาคือ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระนามเดิมว่า ทองดี รับราชการเป็นเสมียนตรากรมมหาดไทยใน กรุงศรีอยุธยา มีบรรดาศักดิ์เป็นพระพินิจอักษร ส่วนพระราชมารดา พระนามเดิมว่า หยก หรือ ดาวเรือง เสด็จพระบรมราชสมภพ เมื่อวันพุธ เดือน ๔ แรม ๕ คํ่า ปีมะโรงอัฐศก จ.ศ. ๑๐๙๘ ตรงกับวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๙ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.๒๒๗๕ - ๒๓๐๑) มีสมเด็จพระเชษฐภคินี พระเชษฐา และสมเด็จพระอนุชาธิราชร่วม พระชนกชนนี รวม ๕ พระองค์ คือ ๑. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี ๒. พระเจ้ารามณรงค์ ๓. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ๔. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ๕. สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เมื่อทรงเจริญวัยขึ้น ได้ทรงถวายตัวเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก ในสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต ครั้นพระชนมายุได้ ๒๑ พรรษา ทรงผนวชที่วัดมหาทลาย เป็นเวลา ๑ พรรษา หลังจากทรงลาสิกขาแล้ว ทรงกลับเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงอีกครั้ง และเจริญก้าวหน้า ในหน้าที่ราชการตามลำดับ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๔ เวลานั้นพระชนมายุ ๒๕ พรรษา ทรงรับราชการ ตำ แหน่งหลวงยกกระบัตร อยู่ที่เมืองราชบุรี และต่อมาได้ทรงเสกสมรส กับธิดาคหบดี ผู้มีภูมิลำ เนาอยู่ที่ตำ บลอัมพวา แขวงเมืองสมุทรสงคราม ชื่อ นาก กาลต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นดำ รงตำแหน่ง สมเด็จพระบรมราชินีพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (ถึงรัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ สถาปนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นกรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ และในสมัยรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเฉลิมพระเกียรติเป็นสมเด็จพระอมรินทรา บรมราชินี) ครั้งนั้น พระองค์ได้ประทับอยู่ที่เมืองราชบุรี จนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ใน พ.ศ.๒๓๑๐ ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราช และสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ จึงเสด็จเข้ามารับราชการใน กรุงธนบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๑ รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ที่พระราชวรินทร์ ในกรมพระตำ รวจหลวง ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้โดยเสด็จ ในราชการสงคราม เพื่อรวบรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นหลายครั้ง ในการนี้ โปรดเกล้าฯ พระราชทานบำ เหน็จความชอบเลื่อนบรรดาศักดิ์สูงขึ้น โดยลำดับ คือ เป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางกรมพระดำรง พระยายมราช ว่าที่สมุหนายก เจ้าพระยาจักรี ที่สมุหนายก และสมเด็จเจ้าพระยา มหากษัตริย์ศึก ได้รับพระราชทานเครื่องยศอย่างเจ้าต่างกรม ต่อมา พ.ศ. ๒๓๒๔ เกิดเหตุจลาจลขึ้นในกรุงธนบุรี เหตุการณ์ ดังกล่าวทำ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ซึ่งยกทัพไปปราบจลาจลที่ เมืองเขมรต้องยกทัพกลับกรุงธนบุรีทันที ภายหลังจากที่ปราบปรามการ จลาจลให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้ว มุขอำ มาตย์ราชมนตรีและราษฎร ทั้งหลาย ก็พร้อมกันอัญเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นเถลิงถวัลย ราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จ ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว มีพระราชดำ ริที่จะฟื้นฟูพระราชอาณาจักรใน ทุกด้าน ให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้ง “บ้านเมืองดี” ในการนี้ มีพระราชดำ ริ ว่าฝั่งตะวันออกของแม่นํ้าเจ้าพระยามีลักษณะภูมิประเทศเป็นชัยภูมิดีกว่า ตะวันตก ทั้งยังป้องกันข้าศึกและขยายพระนครได้สะดวก จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระนครมาทางฝั่งตะวันออกของแม่นํ้าเจ้าพระยา เยื้องกับกรุงธนบุรี พระนครเดิม และโปรดให้พระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญรอด บุณยรัตพันธุ์) กับพระยาวิจิตรนาวีเป็นแม่กองสร้างพระนครใหม่ ทรงประกอบพิธียกเสา หลักเมืองเมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๖ ขึ้น ๑๐ คํ่า ปีขาลจัตวาศก จ.ศ. ๑๑๔๔ ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ และโปรดให้มีการพระราชพิธี ปราบดาภิเษกโดยสังเขป เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๕ จากนั้น จึงโปรดให้ดำ เนินการสร้างพระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวรสถานมงคล และพระนครต่อไป การก่อสร้างพระนครครั้งนั้น ได้มีการเกณฑ์ไพร่หลวงและไพร่เลก หัวเมืองให้ทำอิฐขึ้นใหม่บ้าง และให้รื้อเอาอิฐกำแพงที่กรุงศรีอยุธยาลงมา บ้าง เพื่อสร้างกำ แพงพระนคร นอกจากนี้ โปรดให้สร้างป้อม ประตู ปราสาทราชมณเฑียร และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) รวมทั้งเป็นที่ประชุม ข้าทูลละอองธุลีพระบาท และประกอบพระราชพิธีถือนํ้าพระพิพัฒน์สัตยา การก่อสร้างพระนครแห่งใหม่แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ โปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีสมโภชเฉลิมฉลองพระนคร พร้อมกับโปรดให้มีการ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๒ ให้สมบูรณ์ตามโบราณราชประเพณี พระราชทานนามพระนครว่า “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรา ยุทธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” (ต่อมาในสมัย รัชกาลที่ ๔ ทรงแปลงสร้อยคำ ว่า “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์”) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปฏิบัติ พระราชกรณียกิจในการทำ นุบำ รุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองและดำ รงอยู่ อย่างมั่นคง โดยเฉพาะในด้านราชการสงครามนั้น ต้องทรงทำศึกสงคราม ป้องกันรักษาพระราชอาณาจักร และขยายพระราชอาณาเขตหลายครั้ง ด้านการจัดระเบียบการปกครองภายในพระราชอาณาจักร ทรง ทำ นุบำ รุงบ้านเมืองโดยยึดแบบอย่างแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นสำ คัญ กล่าวคือ แบ่งเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน มีอัครมหาเสนาบดี เรียกว่า สมุหนายก ถือตราพระราชสีห์ บังคับบัญชากรมมหาดไทย ดูแลหัวเมือง ฝ่ายเหนือ และสมุหพระกลาโหม ถือตราพระคชสีห์ บังคับบัญชากรม พระกลาโหม ดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ ส่วนกรมท่า ถือตราบัวแก้ว ดูแลหัวเมือง ฝ่ายตะวันตก แล้วจัดการปกครองแบบจตุสดมภ์ คือ เวียง วัง คลัง นา ด้านกฎหมาย ทรงปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย เพื่อใช้เป็นหลักในการ ควบคุมจัดระเบียบสังคม โปรดให้ข้าราชการที่มีความรู้ในราชประเพณี และการบริหารราชการแผ่นดิน ร่วมกันชำ ระและปรับปรุงวางระเบียบ แบบแผนในการปฏิบัติราชการไว้เป็นหลักฐาน รวมทั้งชำระพระราชกำ หนด กฎหมายที่ยึดถือปฏิบัติกันมาแต่ครั้งโบราณให้ถูกต้อง แล้วจัดหมวดหมู่ ให้อาลักษณ์ชุบเส้นหมึกไว้ ๓ ชุด แต่ละชุดประทับตรา ๓ ดวง คือ พระราชสีห์ (มหาดไทย) พระคชสีห์ (กลาโหม) และบัวแก้ว (กรมท่า) เรียกว่า กฎหมายตราสามดวง ด้านขนบธรรมเนียมประเพณี ทรงฟื้นฟูขนบธรรมเนียมและ ราชประเพณีต่างๆ แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีถือนํ้าพระพิพัฒน์สัตยา รวมทั้งทรงทำ นุ บำ รุงงานศิลปกรรมแขนงต่างๆ เป็นที่ปรากฏให้เห็นจากความงดงามของ ปราสาทราชมณเฑียรและพระอารามต่างๆ นอกจากนี้ ยังทรงริเริ่ม สร้างสรรค์งานวรรณกรรม ซึ่งมีพระราชนิพนธ์หลายเรื่อง ได้แก่ บทละคร เรื่องรามเกียรติ์ อุณรุท อิเหนา ดาหลัง และกลอนเพลงยาวนิราศเรื่อง รบพม่าที่ท่าดินแดง ทั้งนี้ยังได้ทรงส่งเสริมนักปราชญ์ราชบัณฑิตใหสร้างสรรค์งานในการแปล ชำ ระ เรียบเรียงพงศาวดารและวรรณคดีต่างๆ ตลอดรัชกาล เช่น พระราชพงศาวดารฉบับพระพนรัตน ลิลิตเพชรมงกุฎ อิเหนาคำฉันท์ สามก๊ก ไซ่ฮั่น ราชาธิราช ไตรโลกวินิจฉยกถา ฯลฯ ด้านศาสนา ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนา เพื่อให้เป็นหลักยึดเหนี่ยว จิตใจของประชาชน ในการนี้ โปรดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก โดย สมเด็จพระสังฆราชทรงเลือกพระราชาคณะที่มีความรู้ ๒๑๘ รูป ราชบัณฑิต ๓๒ คน ร่วมกันสังคายนา ณ วัดนิพพานาราม ซึ่งต่อมาคือ วัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎิ์ จากนั้นพระราชทานพระไตรปิฎกแก่พระอารามหลวง และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้วัดต่างๆ คัดลอกเก็บไว้ นอกจากนี้ ยังโปรดให้มีการจัดระเบียบพระสงฆ์ ตรากฎพระสงฆ์ เพื่อให้ประพฤติอยู่ ในพระธรรมวินัย มีพระราชศรัทธาทำ นุบำ รุงพระพุทธศาสนา โดยทรง สร้างพระอารามขึ้นใหม่ ตลอดจนบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามต่างๆ ทั้งใน เขตพระนครและหัวเมืองหลายแห่ง เฉพาะวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (นามเดิมว่า วัดโพธาราม) ซึ่งเป็นวัดประจำ รัชกาลนั้น มีพระราชศรัทธาจะสร้างให้บริบูรณ์งดงาม ขึ้นกว่าเก่า จึงทรงบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งพระอาราม ใช้เวลารวม ๗ ปี ๕ เดือน ๒๘ วัน จึงเสร็จสมบูรณ์ ในการนี้ โปรดให้ตั้งการฉลองพระอาราม เมื่อวันศุกร์ เดือน ๕ แรม ๑๒ คํ่า ปีระกาตรีศก จ.ศ. ๑๑๖๓ ตรงกับ วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๓๔๔ พระราชทานนามว่า วัดพระเชตุพนวิมล มังคลาวาศ (ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงแปลงสร้อยนามใหม่เป็น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จสวรรคต เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรม ๑๓ คํ่า ปีมะเส็งเอกศก จ.ศ. ๑๑๗๑ ตรงกับวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๖ พระชนมพรรษา ๗๓ พรรษา ทรงดำ รงสิริราชสมบัติอยู่ ๒๘ ปี ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ ๖ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวันที่ ๖ เมษายน ของทุกปี เป็นวันพระบรมราชานุสรณ์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เรียกว่า วันจักรี ถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ในโอกาสที่กรุงเทพมหานคร มีอายุครบ ๑๕๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ บริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างพระปฐมบรมราชานุสรณ์ คือ สะพานพระพุทธยอดฟ้าข้ามแม่นํ้าเจ้าพระยา และที่เชิงสะพานนั้น โปรด ให้ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช ต่อมาในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๕ คณะรัฐมนตรีมีมติให้ ถวายพระราชสมัญญา นามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช และได้มีมติให้เปลี่ยนการเรียกชื่อวันจักรีในวันที่ ๖ เมษายน ของทุกปี เป็นวันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ พ.ศ.๒๕๕๒ เนื่องในโอกาสครบ ๒๐๐ ปี แห่งวันสวรรคตในพระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ สมาชิกราชสกุลทุกมหาสาขา คณะสงฆ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และมูลนิธิ “ทุนพระพุทธยอดฟ้า” ในพระบรมราชูปถัมภ์ สำ นึกในพระมหา กรุณาธิคุณ จึงร่วมกันจัดงานบำ เพ็ญกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงอุทิศพระองค์ ประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้วยพระวิริยอุตสาหะอย่างยิ่งไว้แก่ แผ่นดิน อันเป็นรากฐานและแนวทางในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้ยั่งยืนสืบไป

รัชกาลที่ 1 มีอะไรบ้าง

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช(ประสูติ พ.ศ. 2279 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2325 - พ.ศ. 2352) มีพระนามเดิมว่า ทองด้วง พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี

รัชกาลที่1ทรงสร้างอะไรบ้าง

ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอุณรุท เริ่มงานสร้างพระนคร ขุดคูเมืองทางฝั่งตะวันออก สร้างกำแพงและป้อมปราการรอบพระนคร สร้างพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

รัชกาลที่ 1 ทรงพระนามว่าอะไร

5.พระนามที่เรียกขานกันสั้นๆ คือ “ สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ” ต่อมาคนทั้งหลายมักเรียกรัชกาลที่ 1 ว่า “ แผ่นดินต้น ” และเรียกรัชกาลที่ 2ว่า “ แผ่นดินกลาง ” รัชกาลที่ 3 ทรงรังเกียจว่านามสมญาเช่นนี้จะเป็นอัปมงคลเพราะเมื่อมีต้น มีกลางก็ต้องมีปลาย ซึ่งดูเสมือนว่าพระองค์จะเป็นรัชกาลสุดท้าย จึงมีพระบรมราชโองการให้ถวาย ...

รัชกาลที่1อยู่ในสมัยใด

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักร เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 และปราบดาภิเษกเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2325 ( วันพฤหัสบดี ขึ้น 4 คํ่า ปีขาล ) ขณะเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติทรง มีพระชนมายุได้ 45 ปี ทรงโปรดให้สถาปนาพระอนุชา ( เจ้าพระยาสุรสีห์ ) เป็น