Show หากคุณใช้ iPhone ที่มีอายุมากกว่าที่มีแจ็ค 3.5 มม. เสียงคุณอาจเคยสัมผัส iPhone ของคุณที่ติดอยู่ในโหมดหูฟัง ถ้าคุณพูดคุยกับ Apple พวกเขาจะบอกให้คุณพาโทรศัพท์ไปยัง Apple Store หากโทรศัพท์ของคุณยังคงอยู่ภายใต้การขยายการรับประกันหรือคุณไม่ต้องการแก้ไขด้วยตนเองคุณสามารถทำสิ่งนี้ได้แน่นอน มีไม่กี่วิธีในการแก้ไขปัญหาด้วยตัวคุณเอง หากคุณพบว่า iPhone ค้างอยู่ในโหมดหูฟังจะไม่มีการแก้ปัญหาเดี่ยวที่ใช้ได้ผลในกรณีส่วนใหญ่ ไม่ว่าฉันจะยังไงก็ตาม มีชุดของสิ่งที่คุณสามารถลองที่มักจะมีการเล่นเสียงเป็นปกติอีกครั้ง ไม่มีข้อใดเลยยกเว้นการแก้ไขขั้นสุดท้ายจะทำให้โทรศัพท์ของคุณเสียหายหรือทำให้ข้อมูลสูญหายได้ พวกเขามีมูลค่าพยายามถ้าคุณไม่ได้อยู่ใกล้ Apple Store โดยปกติคุณจะได้ฟังเพลงหรือภาพยนตร์โดยใช้หูฟัง คุณถอดหูฟังแล้วไม่ได้ยินเสียงจากโทรศัพท์ เล่นเพลงและคุณไม่ได้ยินอะไร มีคนโทรเข้าและคุณไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้า ดูเหมือนโทรศัพท์จะปิดเสียง เสียบหูฟังอีกครั้งและเสียงจะเล่นได้ดี สิ่งที่อยู่ในฮาร์ดแวร์หรือใน iOS ไม่ปล่อยเครื่องเล่นเสียงออกจากโหมดหูฟังและเปลี่ยนเป็นโหมดลำโพง แก้ไข iPhone ค้างอยู่ในโหมดหูฟังในการแก้ไข iPhone ค้างอยู่ในโหมดหูฟังคุณจะต้องลองใช้บางส่วนหรือทั้งหมดด้านล่างนี้ ฉันขอแนะนำให้ลองใช้พวกเขาและทดสอบใหม่ หนึ่งในนั้นมั่นใจได้ว่าจะได้ผล เชื่อมต่อหูฟังใหม่การแก้ไขที่ชัดเจนที่สุดคือการต่อหูฟังอีกครั้งและเล่นเพลง อนุญาตให้เพลงจบหรือหยุดเพลง รอจนเสร็จสิ้นการเล่นจากนั้นถอดหูฟังออก ลองชุดหูฟังอื่นหากคุณกำลังใช้ EarPods ของ Apple ลองใช้หูฟังคู่ใหม่แล้วทำตามขั้นตอนด้านบนซ้ำ หากคุณไม่ได้ใช้หูฟังของ Apple ลองใช้คู่อื่นและทำแบบเดียวกัน ในฐานะที่เป็นแจ็คควรจะเป็นสากลนี้ไม่ควรทำอะไรจริงๆ แต่จาก scouring อินเทอร์เน็ตก็เห็นได้ชัดว่าไม่สำหรับบาง ลองแหล่งเสียงอื่นหากคุณกำลังฟังเพลงเมื่อ iPhone ค้างอยู่ในโหมดหูฟังให้ลองทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป ดูวิดีโอหรือภาพยนตร์ YouTube ลองแหล่งเสียงที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้วทดสอบใหม่ หากเป็นความผิดพลาดของซอฟต์แวร์ที่อาจเป็นสาเหตุให้แหล่งข้อมูลเสียงใหม่สามารถเขย่าออกได้ รีบูตมือถือของคุณหากใส่กลับเข้าไปใหม่หรือเปลี่ยนหูฟังไม่ทำงานให้รีบูตโทรศัพท์ใหม่ ปิดเครื่องทิ้งไว้ประมาณ 15-20 วินาทีจากนั้นเปิดใหม่อีกครั้ง เช่นเดียวกับอุปกรณ์ใด ๆ การเริ่มต้นระบบใหม่อย่างง่ายอาจทำให้เกิดปัญหาใด ๆ ที่อาจส่งผลต่อปัญหานี้ ลองใช้โหมดเครื่องบินโหมดเครื่องบินปิดเสียงโทรศัพท์เพื่อให้มีค่าควรรีเซ็ตเสียง หากไม่มีการทำงานข้างต้นให้เปลี่ยน iPhone ของคุณไปที่โหมดเครื่องบินทิ้งไว้สักครู่แล้วนำออกจากโหมดเครื่องบิน เคล็ดลับนี้ดูเหมือนจะทำงานได้ค่อนข้างบ่อย ตรวจสอบช่องเสียบตรวจสอบช่องสำหรับเศษความเสียหายหรือสภาพ ควรสะอาดและไม่มีสิ่งสกปรกหรือฝุ่นละอองอยู่ข้างใน แจ็คควรจะตรงไม่หลวมเลยและพอดีกับเคสโทรศัพท์ ถ้าดูสกปรกให้ใช้เครื่องอัดอากาศ Q-tip หรือแปรง interdental ทำความสะอาดเบา ๆ รีเซ็ตโทรศัพท์โดยใช้ DFU restoreสิ่งสุดท้ายที่ต้องลองถ้า iPhone ของคุณติดค้างอยู่ในโหมดหูฟังเป็นการรีเซ็ตยาก เนื่องจากเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องฉันได้ทิ้งไว้จนกระทั่งล่าสุด จากสิ่งที่ฉันได้เห็นหนึ่งในวิธีการก่อนหน้านี้มักใช้งานได้ แต่ถ้าไม่ใช่นี่เป็นวิธีสุดท้ายของคุณก่อนที่จะหา Apple Store ที่ใกล้ที่สุด ก่อนที่จะดำเนินการนี้โปรดตรวจดูว่าโทรศัพท์ของคุณได้รับการสำรองข้อมูลไว้ใน iTunes เนื่องจากจะล้างข้อมูลในโทรศัพท์ของคุณ ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ iPhone 7
การรีเซ็ต iPhone ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำเบา ๆ แต่ถ้าคุณไม่ได้อยู่ใกล้กับ Apple Store หรือ Authorized Serve Center นี่อาจเป็นตัวเลือกเดียวของคุณ เพียงให้แน่ใจว่าจะสำรองก่อน! เชื่อว่า ผู้ใช้ iPhone จำนวนไม่น้อย เคยเจอปัญหา iPhone เสียงหาย เสียงเรียกเข้าไม่ดัง ทำให้พลาดการติดต่อไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าใครเจอปัญหานี้ อย่าเพิ่งตกใจและคิดว่า iPhone พัง ให้ลองตรวจสอบก่อนว่า ได้เผลอไปเปิดเป็น Silent Mode หรือลืมเปิดเสียงหรือไม่ แต่บางครั้ง iPhone เสียงหาย อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นที่ผู้ใช้อาจจะคาดไม่ถึง มาดูกันว่า วิธีแก้ไข iPhone เสียงหายในเบื้องต้น มีอะไรบ้าง 1. ตรวจสอบว่า ได้เปิด Silent Mode หรือไม่ วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุด เมื่อพบว่า iPhone ไม่มีเสียง หรือเสียงหาย ให้ดูที่ปุ่มด้านข้างตัวเครื่องว่า มีการสลับเป็น Silent Mode (ขวา) หรือไม่ เพราะบางทีอาจจะเผลอเปิดโหมดดังกล่าวโดยไม่ตั้งใจ อย่างเช่น ตอนแกะเคสออกมา เป็นต้น 2. ตรวจสอบระดับเสียงที่ Control Center ตรวจสอบระดับเสียงด้วยการเพิ่มเสียง ด้วยการกดที่ปุ่มปรับระดับเสียงที่ด้านข้างตัวเครื่อง หรือเปิด Control Center เพิ่มระดับเสียงดูว่า เสียงจากตัวเครื่องดังออกมาปกติหรือไม่ 3. โหมด Do Not Disturb ต้องปิดใช้งาน iPhone เสียงหาย อาจจะเป็นปัญหาจาก user error เอง ซึ่งบางคนอาจจะเผลอเปิดโหมด Do Not Disturb โดยไม่ตั้งใจ ส่วนวิธีการตรวจสอบว่า ได้เปิดโหมดดังกล่าวหรือไม่ ให้เข้าไปที่ Control Center แล้วดูไอคอนที่เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ตรงนี้คือ ฟีเจอร์ Do Not Disturb นั่นเอง ถ้าหากพระจันทร์เป็นสีม่วง นั่นหมายความว่า ได้ทำการเปิดโหมด Do Not Disturb ให้แตะ 1 ครั้งเพื่อปิด (พระจันทร์เปลี่ยนเป็นสีขาว) โดยโหมดดังกล่าว จะเป็นการปิดเสียงและการแจ้งเตือนทุกอย่าง เพื่อไม่ให้รบกวนเวลานอน หรืออยู่ในระหว่างการประชุม 4. ทดสอบลำโพงเสียงว่าดังปกติหรือไม่ ถ้าหากลองแก้ปัญหาด้วย 3 วิธีข้างต้นแล้ว เสียงก็ยังไม่ดัง ให้ทดสอบลำโพงเสียง iPhone ดูว่า ปกติหรือไม่ ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Sounds & Haptics แล้วเลื่อนแถบสไลด์ไปด้านขวาจนสุด ถ้าหากเสียงริงโทนดังปกติ นั่นหมายความว่า ลำโพงเสียงไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากทำแล้วเสียงก็ยังไม่มี มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดจากฮาร์ดแวร์ ไม่ใช่ที่ซอฟท์แวร์ แบบนี้ต้องส่งซ่อมอย่างเดียว 5. เสียงไม่ดัง อาจจะเป็นที่ตัวแอปฯ เอง ในกรณีที่เปิดใช้งานแอปฯ จากผู้พัฒนารายอื่น แล้วเสียงไม่ดัง บางทีอาจจะเป็นที่ตัวแอปฯ เอง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ด้วยการเปิดแอปฯ อื่น หรือเปิด YouTube ดูคลิปว่าเสียงดังปกติหรือไม่ ถ้าหากเสียงดังปกติ ให้ปิดแอปฯ ที่ปัญหาแบบ Force Quit แล้วเปิดขึ้นมาใหม่ 6. เปิดเสียงแจ้งเตือนไว้หรือเปล่า การแจ้งเตือนบนระบบ iOS สามารถเลือกเปิด-ปิดตามแอปฯ ได้ ถ้าหากแอปฯ ที่ใช้งานอยู่ ไม่มีเสียงแจ้งเตือนดังออกมา ให้ไปตรวจสอบที่แอปฯ นั้นว่า ได้เปิดแจ้งเตือนพร้อมเสียงหรือไม่ ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Notifications > เลือกแอปฯ ที่มีปัญหา > ตรงหัวข้อ Sound จะต้องเป็นสีเขียว 7. ทำความสะอาดลำโพงเสียง บางครั้ง ปัญหา iPhone เสียงไม่ดัง อาจจะเกิดจากลำโพงเสียงสกปรก มีฝุ่นเกาะอุดตัน ให้ทำความสะอาดลำโพงเสียงด้วยการใช้แปรงขนนุ่มค่อย ๆ ปัดจนสะอาด อย่าใช้เข็มหรือของมีคมปลายแหลมเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ลำโพงเสียหายได้ 8. iPhone เชื่อมต่อกับหูฟังอยู่ ถ้าหาก iPhone มีการเชื่อมต่อกับหูฟัง ไม่ว่าจะเป็นหูฟังแบบมีสาย หรือไร้สาย เสียงจะไม่ดังออกมาที่ลำโพง แต่จะดังที่หูฟังแทน ตรวจสอบให้มั่นใจว่า ไม่ได้มีการเชื่อมต่อ iPhone กับหูฟัง หรือถ้าหากไม่ได้ทำการเชื่อมต่อแล้ว แต่เสียงยังไม่ดังออกมา ให้ปิด Bluetooth แล้วเปิดใหม่อีกครั้ง 9. อัปเดต iOS ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด การอัปเดต iOS ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด จะช่วยแก้ปัญหาหลาย ๆ อย่างได้ รวมถึงการอัปเดตแอปฯ ที่ใช้งานอยู่ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ก็ควรทำด้วยเช่นกัน 10. รีสตาร์ท iPhone วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุด ไม่ว่า iPhone จะมีปัญหาอะไรก็ตาม โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากซอฟท์แวร์ ให้รีสตาร์ท iPhone แล้วเปิดเครื่องใหม่ 11. Reset All Settings นอกจากการรีสตาร์ท iPhone แล้ว อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ถ้าหากเกิดจากซอฟท์แวร์ ก็คือ Reset All Settings ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการรีเซ็ตการเชื่อมต่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi, Bluetooth, VPN, Keyboard และอื่น ๆ เข้าไปที่ Settings > General > Reset > เลือก Reset All Settings ------------------------------------- Update : 10/05/2022 iPhone How to |