( Ἱ����ʴ�ʶҹ������ٵ� ��ԹԾҹ ��е������ ) ��оط���ʹ� ����ʹҷ���Դ��Թ��¡��ط��ѡ�Ҫ �� �� ( �ط��ѡ�Ҫ����������ի�觾�оط� ����;���Է�ѵ���վ�Ъ����� �� ����� ��ç����ɡ���ʡѺ���˭ԧ��ʸ�����������ͧ��˹�� ��� ��Ҫ������� ���Ե㹦���������¢ͧ ���ͧ�������������ѧ 价ء��觷ء���ҧ ������������վ�Ъ������� �� ����ҡ�ç����˹����š
���зç��繤���������§�����ͧ�š��зç��ѧ�Ъ��ª���š���鹷ء�� �֧��ç��� ����͵���������� ���ͧ����ʴ�������й�������ЪҪ����鹵�ҧ � ��ѧ�ҡ����оط���һ�ԹԾ�ҹ����
��ǡ�ͧ���ͧ����ѧ���¡ѹ�����оط���ʹ������� ����з�觶֧����ҳ �.�. ��� ��������ȡ����Ҫ������ͧ�ү��պص�����Ѻ���ʧ�����觾��ʧ���͡��С�Ⱦ�оط���ʹ� ��͢ع������˧����Ҫ�֧��ç�Ѻ��Ҿ�оط���ʹ� ศาสนาพุทธเกิดขึ้นในชมพูทวีปซึ่งในปัจจุบันเป็นดินแดนของประเทศอินเดีย ประเทศเนปาล ประเทศอัฟกานิสถาน ประเทศปากีสถาน และประเทศบังคลาเทศ แต่หลักฐานทางโบราณคดีส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศอินเดีย เช่น สังเวชนียสถาน และพุทธสถานต่าง ๆ ศาสนาพุทธเข้าสู่ประเทศไทยหลังจากการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๕ พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนต่าง ๆ รวม ๙ สายด้วยกัน ในส่วนของประเทศไทยเชื่อกันว่ามีคณะของสมณทูตซึ่งมีพระโสณเถระและพระอุตตรเถระเป็นหัวหน้าคณะเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกและอาจมีคณะสมณทูตชุดอื่น ๆ เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกาลต่อ ๆ มา จึงทำให้คนไทยโดยเฉพาะพระมหากษัตริย์ไทยยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องคนไทยกับพุทธศาสนา* และพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้น ได้ความตามตำนาน พระพุทธเจดีย์ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า คนไทยเรานั้นได้นับถือพระพุทธศาสนามาก่อนที่จะอพยพมาตั้งประเทศไทยในปัจจุบันนี้แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ พระศรีวิสุทธิโมลี(ประยุทธ ป. ๙ ปัจจุบันเป็นพระพรหมคุณาภรณ์) ได้สรุปไว้ใน คำบรรยายเรื่อง พุทธศาสนากับการศึกษาในอดีต ณ ห้องประชุมหอสมุดแห่งชาติ เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๑๓ ว่าก่อนที่ชนชาติไทยจะได้ตั้งอาณาจักร เป็นประเทศไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง ซึ่งถือว่าเริ่มแต่การตั้งอาณาจักรสุโขทัยนั้น ชนชาติไทย ในภูมิภาคสุวรรณภูมิ คลุมไปถึงรัฐไทยต่าง ๆ ในดินแดน ตั้งแต่ทางตอนใต้ของประเทศจีนนั้น ได้รับนับถือพระพุทธศาสนามาแล้ว ทั้งสองนิกาย คือ ยุคแรก ได้รับนับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน ผ่านทางประเทศจีน สมัยพระเจ้ามิ่งตี่ ในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๗ รัชสมัยของขุนหลวงเม้า แห่งอาณาจักรอ้ายลาว ยุคที่สอง แยกออกเป็น ๒ ระยะ ระยะแรก สมัยอาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรือง ราวพุทธศักราช ๑๓๐๐ กษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัย ผู้นับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายาน มีเมืองหลวงอยู่ที่เกาะสุมาตรา ได้แผ่อำนาจเข้ามาถึงแหลมมลายู ได้ดินแดนตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ลงไปไว้ครอบครองพระพุทธศาสนานิกายมหายานจึงแผ่เข้ามาในภาคใต้ของประเทศไทย ระยะที่ ๒ กล่าวว่าในสมัยลพบุรี เมื่อขอมเรืองอำนาจแผ่อาณาเขตเข้ามาครอบครองประเทศไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางทั้งหมด ในราวพุทธศักราช ๑๕๕๐ พระพุทธศาสนาแบบมหายานซึ่งขอมรับมาจากอาณาจักรศรีวิชัยเช่นกัน แต่ว่าเจือด้วยศาสนาพราหมณ์ จึงแผ่เข้ามาในดินแดนแถบนี้ พร้อมด้วยภาษาสันสกฤต แต่ว่าดินแดนที่ขอมแผ่อาณาเขตเข้ามานั้น เดิมทีประชาชนพลเมืองก็ได้รับนับถือพระพุทธศาสนาแบบหินยานอยู่แล้ว แต่สมัยที่พระโสณะ และพระอุตตระ ศาสนทูตสายที่ ๒ ใน ๙ สาย ของพระเจ้าอโศกมหาราชนำเข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ในสมัยทราวดี ในพุทธศตวรรษที่ ๓ ยุคที่สาม สมัยพระเจ้าอนุรุทธมหาราช หรืออโนรธามังช่อ กษัตริย์พม่าแห่งอาณาจักรพุกามแผ่อำนาจเข้ามาในอาณาเขตลานนาและล้านช้าง ราวพุทธศักราช ๑๖๐๐ พระพุทธศาสนานิกายหินยานแบบพุกาม จึงได้แผ่เข้ามาในดินแดนแถบนี้ ครั้งถึงสมัยชนชาติไทยตั้งอาณาจักรสุโขทัย เป็นประเทศชาติไทยอันเป็นปึกแผ่นมั่นคง เมื่อพุทธศักราช ๑๘๐๐ แล้ว เป็นยุคที่พระพุทธศาสนาในประเทศไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงจากลัทธิมหายานและหินยานแบบเดิม มาเป็นลัทธิหินยานแบบลังกาวงศ์ ซึ่งเรื่องนี้ ตามตำนาน พระพุทธเจดีย์ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชนุภาพ ทรงกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ ดังนี้ เมืองสุโขทัยเมื่อก่อนกษัตริย์ไทย ได้ปกครองตั้งเป็นราชธานีของประเทศสยามเป็นเมืองขึ้นของกษัตริย์ขอม ซึ่งครองเมืองลพบุรีอยู่ช้านาน ชาวเมืองเห็นจะถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน อย่างเช่นที่ถือกันในเมืองลพบุรี ยังมีพุทธเจดีย์ซึ่งสร้างตามแบบอย่างเมืองลพบุรีปรากฏหลายแห่ง เช่น ปรางค์สามยอดที่วัดพระพายหลวง อยู่นอกเมืองสุโขทัย(เก่า) ไปทางเหนือแห่ง ๑ ปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุที่เมืองชะเลียง (เมืองสวรรคโลกเก่าข้างใต้) แห่ง ๑ ปรางค์วัดจุฬามณีข้างใต้เมืองพิษณุโลกแห่ง ๑ แต่เมื่อกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงได้เป็นใหญ่ครองประเทศสยาม ณ เมืองสุโขทัยนั้น ประจวบกับสมัยที่เลื่อมใสพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์แพร่หลายในประเทศนี้ พุทธเจดีย์ซึ่งสร้างในสมัยสุโขทัย จึงสร้างตามลัทธิหินยานอย่างลังกาวงศ์ทั้งนั้น พระพุทธศาสนาในประเทศไทย เริ่มนับถือแบบหินยานลัทธิลังกาวงศ์อย่างจริงจังนั้นตกอยู่ในรัชสมัยของ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อพุทธศักราช ๑๘๒๐ เป็นต้นมา กล่าวคือ เมื่อพ่อขุนได้ขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ได้ทรงสดับกิตติศัพท์ พระสงฆ์ที่ไปศึกษาที่ประเทศลังกา กลับมาสั่งสอนอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช มีความรอบรู้พระธรรมวินัยและมีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใส จึงได้อาราธนาจากเมืองนครศรีธรรมราช ขึ้นมาตั้งสำนักและเผยแพร่คำสอนณ กรุงสุโขทัย เรียกชื่อ ตามแหล่งที่มาว่า ลังกาวงศ์ พระสงฆ์ในลัทธิลังกาวงศ์ที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช อาราธนาจากเมืองนครศรีธรรมราช มาตั้งสำนักในกรุงสุโขทัยนี้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้ามาก และโดยที่พระสงฆ์คณะนี้ ชอบความวิเวกจึงโปรดให้อยู่ ณ วัดอรัญญิก นอกเมือง และพระองค์ ได้เสด็จไปนมัสการท่านเป็นประจำทุกวันกลางเดือนและสิ้นเดือน ดังมีความในศิลาจารึกว่า “วันเดือนดับ วันเดือนเต็ม ท่านแต่งช้างเผือก กระพัดลยาง เทียนย่อมงาทอง ขวาชื่อรุจาศรี พ่อขุนรามขึ้นขี่ไปนบพระอรัญญิกแล้วกลับมา” เมื่อสรุปเรื่องพุทธศาสนากับคนไทย โดยเฉพาะชนเผ่าไทยในสุวรรณภูมิหรือในสยามประเทศนี้แล้ว ปรากฏว่าคนไทยเรารับนับถือพระพุทธศาสนามาทั้ง ๒ นิกาย คือทั้งมหายาน และหินยาน ก่อนสมัยสุโขทัยดูจะนับถือปะปนกันทั้ง ๒ นิกาย แถมมีศาสนาพราหมณ์ เข้ามาระคนด้วย ที่เป็นดังนี้ เพราะชนชาติไทยได้ร่วมสังคมกับชนชาติขอม ซึ่งเป็นใหญ่อยู่ในภูมิภาคนี้มาก่อน และแม้สมัยไทยสถาปนาราชอาณาจักรไทยเอกราชขึ้น ณ กรุงสุโขทัยแล้วก็ตาม ในยุคต้นๆ ของสมัยนั้นก็ยังมีการนับถือพุทธปะปนกันอยู่ ๒ นิกายเช่นกัน ทั้งนี้รวมทั้งอาณาจักรลานนาไทย ซึ่งเป็นอาณาจักรอิสระของไทยตอนเหนืออาณาจักรหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในยุคเดียวกับอาณาจักรสุโขทัย และเป็นพันธมิตรสนิทสนมกับอาณาจักรสุโขทัย
ก็มีลักษณะเช่นนั้นเหมือนกันดังจะกล่าวรายละเอียดบางประการในตอนต่อ ๆ ไป แต่ละมณฑลมีเมืองเอก โท ตรี และจัตวา มีหัวหน้าปกครองลดหลั่นกันไป ได้แก่ เจ้าหัวเมืองเอก เรียกว่า หยินจัง แต่ละเมืองแบ่งออกเป็นแขวง มีนายอำเภอเรียกว่า โต้วตุ๊ก เป็นหัวหน้า รองจากแขวงเป็นแคว้น มีกำนันเรียกว่า จี้หยันกุน เป็นหัวหน้า จากแคว้นเป็นหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านเรียกว่า จ๋งจ๋อ เป็นหัวหน้า ที่ยกเอาเรื่องการปกครองของไทยสมัยน่านเจ้ามากล่าวไว้ในที่นี้ด้วยนั้น ก็เพราะเห็นเป็นอัศจรรย์ที่ชนชาติไทยเรานั้น ได้มีการจัดระบบการปกครองตามแบบอย่างที่คนสมัยใหม่ว่า แบบเจริญศิวิไลมานานแล้ว แม้สมัยสุโขทัย เราก็จัดการปกครองอยู่ในระบบที่เหมาะสมกับสมัยสร้างชาติรวมชาติ คือระบบ “พ่อปกครองลูก” หรือที่ตำราฝรั่งเรียกว่า Paternalism หรือPatriarchal monarchy ไทยเราปกครองระบอบนี้ดังที่ในประวัติศาสตร์เราเรียกพระเจ้าแผ่นดินของเราว่า “พ่อขุน” มาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเราได้คลุกคลีกับขอมซึ่งนับถือศาสนาพราหมณ์ ระบอบการปกครองของพ่อบ้านพ่อเมืองแบบ “ พ่อปกครองลูก” ของกรุงสุโขทัย จึงเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบ “เทวสมมุติ” หรือ “สมมุติเทพ” ที่ตำราฝรั่งเรียกว่า Divine right พ่อขุนผู้ปกครองประเทศกลายเป็น “พระเจ้า” ตามระบบเทวสิทธิของขอมและพราหมณ์ ลักษณะสำคัญของการปกครองระบบเทวสมมุติหรือเทวสิทธินี้ นัยว่าถือคติอยู่ ๓ ประการ คือ
|