เทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมให้ปลอดภัย และวิธีดูแลรถหลังลุยน้ำ เข้าสู่ช่วงหน้าฝนแบบนี้ ปัญหาหนึ่งที่คนใช้รถต้องเจอ คือการต้องขับรถฝ่าฝนตกและลุยน้ำท่วมสูง ซึ่งก็มีความเสี่ยงทั้งต่อสภาพเครื่องยนต์ และโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็มีคำแนะนำดี ๆ หากต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องขับรถลุยน้ำท่วม และวิธีดูแลรถยนต์ มาฝากกันอีกเช่นเคย ◾สังเกตระดับน้ำ เพื่อประเมินสถานการณ์สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อตัดสินใจจะขับรถลุยน้ำท่วม นั่นก็คือการสังเกตระดับน้ำ เพื่อประเมินสถานการณ์ โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 2 อย่างที่ต้องพิจารณา ได้แก่ ความสูงของระดับน้ำ และ ความสูงของรถยนต์ที่ขับขี่ โดยระดับที่ยังคงสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ไม่ควรจะสูงเกิน 30 เซนติเมตร โดยเปรียบเทียบกับฟุตพาทที่ปกติจะมีความสูงอยู่ที่ 10 – 20 เซนติเมตร หากระดับน้ำท่วมสูงเลยระดับฟุตพาทขึ้นมา หรือน้ำท่วมถึงระดับขอบประตู ไม่ควรจะขับรถลุยต่อไปในเส้นทางนั้น เพราะน้ำอาจเข้าห้องโดยสาร ส่งผลให้ระบบไฟช็อตและเครื่องยนต์อาจจะดับกลางทางได้ และควรจะเบี่ยงรถเข้าหาเลนที่มีน้ำระดับต่ำ หลีกเลี่ยงเลนที่น้ำท่วมสูง ก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงน้ำเข้าเครื่องยนต์ได้มากขึ้น
◾ไม่เร่งเครื่อง / ลดความเร็วลงในช่วงที่ฝนตก หรือต้องขับลุยน้ำท่วมขัง รถยนต์อาจเสียการทรงตัวได้และเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ดังนั้นการรักษาความเร็วให้สม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรจะลดความเร็วลง ไม่เร่งเครื่อง หรือเปลี่ยนความเร็วกะทันหัน โดยควรจะ ใช้ความเร็วต่ำ และให้เหยียบเบรกเบา ๆ ย้ำ ๆ ตลอดระยะเวลาที่ขับด้วยความเร็วต่ำ จะช่วยไล่น้ำและความชื้นจากเครื่องยนต์ได้ ◾ใช้เกียร์ต่ำขับรถลุยน้ำด้วยการใช้เกียร์ต่ำ เพราะจะเป็นสภาวะที่เครื่องยนต์ดับได้ยากที่สุด เนื่องจากใช้รอบเครื่องยนต์ 1,500-2,000 รอบต่อนาที สำหรับรถธรรมาดาคือการใช้เกียร์ 1 หรือ 2 เท่านั้น ส่วนรถเกียร์ออโต้คือการขับด้วยเกียร์ L ซึ่งต่ำกว่านี้เครื่องยนต์อาจดับกลางทาง หรือถ้าสูงกว่านี้ก็อาจจะดูดอากาศและน้ำเข้าเครื่องยนต์ได้ ◾ปิดระบบเครื่องปรับอากาศในกรณีที่น้ำท่วมไม่สูงมากหรือไม่เกิน 10 เซนติเมตร ยังสามารถใช้งานแอร์ได้ตามปกติ แต่หากระดับน้ำท่วมสูงเกิน 10 เซนติเมตรขึ้นไป ควรจะปิดแอร์ทันที และเปิดกระจกระบายอากาศ เนื่องจากใบพัดอาจพัดน้ำเข้าเครื่องยนต์ หรือระบบไฟฟ้าได้ เพราะถ้ายังคงเปิดแอร์ต่อ จะทำให้พัดลมระบายความร้อนของหม้อน้ำทำงาน เมื่อน้ำท่วมถึงพัดลม ก็จะทำให้พัดลมตีน้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่องได้ เป็นสาเหตุที่ทำให้รถยนต์ดับ หรือเกิดไฟฟ้าช็อตได้นั่นเอง ◾รักษาระยะห่างคันหน้าให้มากขณะขับลุยน้ำท่วม ควรจะรักษาระยะห่างคันหน้าให้มากประมาณ 50 เมตร เนื่องจากระบบเบรกที่แช่น้ำอยู่จะมีประสิทธิภาพต่ำลง และจะได้มองเห็นทัศนวิสัยได้ดีขึ้น สังเกตจากรถคันหน้าว่าสามารถวิ่งได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ มีหลุมหรือสิ่งกีดขวางหรือไม่ เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงได้ทันเวลาไม่จวนตัวนั่นเอง ◾หากเครื่องดับ ห้ามสตาร์ตเครื่องหากตัดสินใจขับรถลุยน้ำท่วมไปแล้ว แต่รถเกิดดับกลางทาง สิ่งที่ต้องทำคือเข็นรถเข้าข้างทาง ควรจะเป็นพื้นที่สูง เพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าสู่รถยนต์ ห้ามสตาร์ตรถ เพราะยิ่งสตาร์ต น้ำจะยิ่งเข้าสู่ระบบเครื่องยนต์ และทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้น วิธีดูแลรถยนต์หลังลุยน้ำท่วม
——————— Mitsu RMA ยินดีให้บริการ ——————— Inbox : m.me/mitsurma บทความที่เกี่ยวข้อง |