เป็น หนี้ บัตร เครดิต กี่ ปี ถึง โดน ฟ้อง

สายรูดปรื้ดเคยสงสัยกันมั้ยครับว่า “ต้องเป็นหนี้บัตรเครดิต เท่าไหร่ถึงจะโดนฟ้อง” แล้วไม่ไปขึ้นศาลได้หรือเปล่า หยุดจ่ายบัตรเครดิต 3 เดือน จะเกิดอะไรขึ้น บทความนี้พี่โอกาสจะมาไขข้อสัยให้เองครับ !

สาเหตุของการเป็นหนี้บัตรเครดิตมักจะมาจากการ รูดบัตรเพลิน หรือ จ่ายขั้นต่ำไปเรื่อยๆ จนดอกเบี้ยพอกพูน ทำให้จ่ายไม่ไหว เพราะดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นถือว่าสูงมาก โดยปัจจุบันอยู่ที่ 16% ต่อปี (ลดจาก 18% ต่อปี)

เป็นหนี้บัตรเท่าไหร่ สถาบันการเงินถึงจะฟ้อง?

จริงๆไม่มีคำตอบตายตัวครับ คาดว่าขึ้นอยู่กับสถาบันการเงิน แต่ถ้าถามว่าฟ้องได้ไหม “หากค้างชำระเค้าก็ฟ้องได้หมดครับ” เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดยอดหนี้ขั้นต่ำเอาไว้

กรณีเดียวที่เป็นหนี้แล้ว “ฟ้องศาลไม่ได้”คือ กรณี กู้ยืมเกิน 2,000 บาท แล้วไม่มีหลักฐานที่ลงลายมือชื่อเป็นหนังสือสัญญาสมบูรณ์ ซึ่งเวลาสมัครบัตรเครดิตยังไงก็มีหลักฐานอยู่แล้ว ทำให้ฟ้องได้ทุกยอดไม่มีขั้นต่ำ

หากสังเกตดีๆในข้อกำหนดและเงื่อนไขสัญญาตอนสมัครบัตรเครดิต เค้าจะบอกว่า ถ้ามีการผิดนัดชำระ สถาบันการเงินมีสิทธิ์ลดวงเงิน ระงับการใช้บัตร และส่งเรื่องฟ้องได้ครับ

หยุดจ่ายบัตรเครดิต 3 เดือน เกิดอะไรขึ้น?

สินเชื่ออะไรก็ตาม รวมถึงบัตรเครดิต ถ้าไม่ได้รับการชำระหนี้คืนตามข้อกำหนดตามสัญญา “เกิน 3 เดือนติดต่อกัน” จะถือว่าเป็น หนี้เสีย หรือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ทันที

หนี้เสีย คืออะไร?

หนี้เสีย คือ การที่ลูกหนี้สินเชื่อของสถาบันการเงินผิดนัดชำระหนี้ และไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นคืนภายในเวลาที่กำหนด โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า เป็นสินเชื่อที่ค้างชำระมากกว่า 3 เดือนติดต่อกัน

เป็นหนี้เสียแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น?

เมื่อคุณหยุดจ่ายบัตรเครดิต 3 เดือน แล้วเป็นหนี้เสีย ข้อมูลสถานะหนี้เสียจะถูกบันทึกในระบบของเครดิตบูโร ไม่เกิน 3 ปี (กฎหมายกำหนด) ทำให้คุณอาจกู้สินเชื่อผ่านยากมากขึ้น เพราะข้อมูลการชำระหนี้สะท้อนวินัยการเงินที่ไม่ดี

หยุดจ่ายบัตรเครดิต จะโดนอะไรบ้าง?

1. โดนทวงหนี้บัตรเครดิต

ไม่ต้องรอนานถึง 3 เดือน ส่วนใหญ่หากค้างชำระเกิน 1 รอบบิลเค้าก็โทรมาแล้ว เมื่อหยุดจ่ายบัตรเครดิต อันดับแรกเจ้าหน้าที่จากสถาบันการเงินจะเข้ามาสอบถามเหตุผลที่เราไม่จ่ายจากหลายๆช่องทาง เช่น ส่งจดหมาย, SMS, อีเมล หรืออาจตามถึงที่ทำงานที่เราให้ข้อมูลไว้

2. ติดเครดิตบูโร

อย่างที่บอกไปแล้วว่า เมื่อหยุดจ่ายบัตรเครดิตไปครบ 3 เดือน ประวัติการชำระหนี้ของเราจะกลายเป็นสถานะหนี้เสีย และถูกบันทึกในเครดิตบูโร ทำให้ไม่สามารถกู้และทำธุรกรรมสินเชื่อสถาบันการเงินอื่นได้ คงไม่มีใครอยากเสี่ยงให้กู้ เพราะเค้ากลัวว่าจะกลายเป็นหนี้เสียอีก

3. สถาบันการเงินฟ้อง

จากนั้นถ้ายังไม่จ่ายอีก สถาบันการเงินก็จะทำเรื่องฟ้อง และส่งหมายศาลมาที่บ้าน โดยคดีค้างชำระหนี้บัตรเครดิตจะถือว่าเป็น “คดีแพ่ง”

4. โดนยึดทรัพย์ อายัดเงินเดือน

หากเราเพิกเฉยไม่ไปศาล หรือไปประนอมหนี้แล้วยังไม่จ่ายอีก ฝ่ายเจ้าหนี้ก็อาจทำเรื่องขอยึดทรัพย์สิน หรืออายัดเงินเดือนได้ โดยอายัดได้ไม่เกิน 30% ของเงินเดือน และเงินเดือนต้องไม่น้อยกว่า 20,000 บาท แต่จะไม่สามารถอายัดเงินเดือนข้าราชการได้

สรุป

การเป็นหนี้บัตรเครดิต ไม่มียอดขั้นต่ำในการฟ้อง (ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงิน) โดยหากหยุดชำระหนี้ ช่วงแรกมักจะโดนทวงถามหนี้ หลังจากนั้นหากหยุดจ่าย 3 เดือน หนี้จะกลายเป็นหนี้เสียและติดเครดิตบูโร สุดท้ายหากไม่จ่ายอีกก็อาจจะโดนฟ้อง หรือโดนยึดทรัพย์และอายัดเงินเดือน

สถานการณ์การแพร่ระบาด "โควิด-19" ที่ต่อเนื่องยาวนาน และมีท่าทีที่รุนแรงขึ้นทุกวัน กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เข้ามากระทบเงินในกระเป๋าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับคนมี "หนี้" สถานการณ์นำไปสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้การผิดนัดชำระ เลื่อนขั้นไปสู่การ "ฟ้องศาล" จาก "เจ้าหนี้" แทน

ไม่ว่าการถูกฟ้อง ด้วยสาเหตุของการผิดนัดชำระหนี้จะมีต้นเหตุจากโควิด-19 หรือไม่ก็ตาม แต่เมื่ออยู่ในสถานะของจำเลยแล้วจะต้องทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นและดำเนินการให้ถูกต้องเพื่อเรียกต้องความ "เป็นธรรม" ให้กับตัวเองด้วยเช่นกัน

"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ชวน "ลูกหนี้" มารู้จักวิธีการเตรียมตัวเและสิ่งที่ต้องทำเบื้องต้นเมื่อถูกเมื่อถูก "ฟ้องศาล"

  •  ผิดนัดชำระนานแค่ไหน ถึง "โดนฟ้องศาล" 

ถ้าค้างจ่ายครบ 3 เดือนก็เข้าข่ายเป็นหนี้เสีย (NPL) หากลูกหนี้กับเจ้าหนี้ยังตกลงกันไม่ได้ หรือลูกหนี้ไม่ยอมติดต่อ ผ่านไประยะหนึ่งเจ้าหนี้จะฟ้องดำเนินคดีกับลูกหนี้ เพื่อให้กรอบกฎหมายดูแลให้ลูกหนี้คืนเงินที่ได้กู้ยืมไป

และถ้าคดีสิ้นสุดมีคำพิพากษา และยังไม่มีการชำระหนี้กัน ก็จะนำไปสู่การสืบทรัพย์ และเข้าสู่การบังคับคดี ได้แก่ การอายัดเงินเดือน ยึดทรัพย์-ขายทอดตลาด ทำให้เส้นทางชีวิตของลูกหนี้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับศาลและกรมบังคับคดี 

  •  ไม่ได้รับหมายศาล = ไม่ได้ถูกฟ้อง? 

ใครที่คิดว่า ไม่ได้รับหมายศาล = ไม่ได้ถูกฟ้อง เป็นความคิดที่ผิดถนัด เพราะในทางกฎหมาย หากหมายศาลถูกส่งถึงบ้านจะถือว่า ลูกหนี้ได้รับแล้ว จะปฏิเสธว่าไม่ได้รับไม่ได้ 

เมื่อถูกฟ้องจะมี "หมายศาล" ส่งไปตามที่อยู่ใน "ทะเบียนบ้าน" ลูกหนี้มีหน้าที่ตรวจสอบจดหมายที่ส่งไปยังที่อยู่นี้ แต่ถ้าลูกหนี้ไม่อยู่บ้านตามทะเบียนบ้านจริงด้วยเหตุผลใดก็ตาม หากรู้ตัวว่าผิดนัดชำระนี้มากกว่า 3 เดือน แล้วอยากรู้ว่าโดนฟ้องหรือยัง? สามารถตรวจสอบได้จากศาลในเขตอำนาจตามทะเบียนบ้าน เพื่อดูว่ามีคดีแพ่งที่ฟ้องเราแล้วหรือไม่

เพราะฉะนั้นสำหรับใครที่ได้รับหมายศาลของ ญาติ หรือใครก็ตามมายังทะเบียนบ้านของตนเอง อย่าลืมรีบหาทางติดต่อเจ้าของเพื่อให้รีบดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เป็น หนี้ บัตร เครดิต กี่ ปี ถึง โดน ฟ้อง

  •  ควรทำอย่างไรเมื่อถูกฟ้อง ? 

อย่างแรกคือ ไม่ต้องตกใจ เมื่อลูกหนี้ได้รับหมายศาลมาแล้ว มีหน้าที่ "อ่านให้เข้าใจ" ว่าศาลต้องการสื่ออะไร และสำหรับหมายศาลแรกที่ลูกหนี้ได้รับในฐานะจำเลยจะเป็นการเรียกให้ไปยื่นคำให้การต่อสู้คดีภายในเวลาที่กำหนดนับจากวันที่รับหมาย อาทิ 15 วัน

หมายความว่า ศาลไม่คิดจะฟังความข้างเดียว ต้องการเชิญให้ลูกหนี้เข้าไปให้ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องในศาลด้วย จึงไม่มีเหตุต้องตกใจ หรือคิดฟุ้งซ่านใด ๆ ที่สำคัญ คดีแพ่งไม่มีการติดคุก 

ในการอ่านหมายศาล ควรตรวจสอบ 5 เรื่องสำคัญ ดังนี้

1) หมายเลขคดี
2) ศาลไหน เพราะประเทศไทยมีศาลทั่วประเทศ
3) ประเด็นที่เจ้าหนี้ต้องการฟ้อง
4) จำนวนเงินที่ฟ้องตรงกับหนี้สินที่เกิดขึ้นหรือไม่ รายการใดไม่ตรงกับสัญญา
5) เจ้าหนี้ฟ้องภายในระยะเวลาหรืออายุความที่กฎหมายกำหนดหรือไม่

กล่าวคือ เมื่อลูกหนี้ไม่ได้ชำระหนี้ตามสัญญา ก็จะถือว่าผิดนัดชำระ หากเจ้าหนี้ต้องการจะดำเนินคดีเพื่ออาศัยอำนาจศาลให้ลูกหนี้ติดต่อเพื่อชำระหนี้ ก็ต้องฟ้องภายในระยะเวลาหรืออายุความที่กฎหมายกำหนด โดย "อายุความ" ของคดีเริ่มนับจากวันผิดนัดชำระหรือวันที่ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย ได้แก่

- หนี้บัตรเครดิต 2 ปี
- สินเชื่อส่วนบุคคล 5 ปี
- หนี้จากเงินกู้ยืมแบบผ่อนคืนเป็นงวด 5 ปี 

เป็น หนี้ บัตร เครดิต กี่ ปี ถึง โดน ฟ้อง

การ "ไปศาล" เป็นการแสดงเจตนาว่า เราขอชี้แจงเหตุผลที่ไม่สามารถชำระหนี้ตามข้อเสนอของเจ้าหนี้ได้ ทั้งนี้ "หากลูกหนี้ไม่ไปศาล" เท่ากับเสียสิทธิในการต่อสู้ และหมดโอกาสเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ ทำให้ศาลจำเป็นต้องพิพากษาตามคำฟ้องและเหตุผลของเจ้าหนี้เพียงด้านเดียว โดยที่ลูกหนี้ไม่ได้ชี้แจง ทำให้ต้องชำระหนี้เต็มอย่างไม่มีทางเลือก 

เมื่อต้องไปศาล มีสิ่งที่ควรจะเตรียมความพร้อม ไว้เบื้องต้นดังนี้

- ควรไปก่อนเวลานัด 30 นาที
- ตรวจสอบและเตรียมเอกสาร เช่น บัตรประชาชน หากมีผู้ค้ำประกันต้องไปศาลด้วย หรือมอบอำนาจต้องมีสำเนาบัตรประชาชนผู้ค้ำฯ ด้วย
- เตรียมคำอธิบายเหตุผลความจำเป็นต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาทิ รายได้ลด รายจ่ายเพิ่ม ต้องดูแลครอบครัว และเตรียมประเด็นต่อสู้ เช่น การคิดดอกเบี้ยเกินจริง ข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง เป็นต้น 

เป็น หนี้ บัตร เครดิต กี่ ปี ถึง โดน ฟ้อง

  •  ต้องรู้! ถูกฟ้องแล้ว ยังเจรจาหนี้ได้ 

หลังจากที่ลูกหนี้ถูกฟ้องแล้ว ลูกหนี้ยังสามารถเจรจากับเจ้าหนี้ จนได้ข้อยุติในการชำระหนี้คืนแล้ว ลูกหนี้และเจ้าหนี้ต้องไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล ซึ่งเป็นการพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พิพากษาตามยอม ซึ่งจะผูกพันทั้งสองฝ่าย

โดยลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันที่ถูกฟ้องเป็นจำเลย สามารถทำสัญญายอมฯ ได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องจ้างทนายความให้เสียเงินค่าใช้จ่าย เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ศาลและศาลช่วยตรวจสอบความถูกต้องและเป็นธรรมให้อยู่แล้ว อีกทั้งการทำสัญญายอมฯ ในศาลนั้น

จะทำให้ศาลมีคำสั่งคืนเงินค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เจ้าหนี้ด้วยบางส่วน ทำให้ลูกหนี้รับภาระในส่วนนี้น้อยลง และสามารถเจรจากับเจ้าหนี้ไม่ให้ลูกหนี้ต้องรับผิดในค่าทนายความของเจ้าหนี้ด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม หากลูกหนี้ผิดสัญญา เจ้าหนี้สามารถดำเนินการบังคับคดีกับลูกหนี้ได้ทันที

  •  หลังศาลพิพากษาแล้ว ลูกหนี้มีสิทธิและหน้าที่อะไรบ้าง? 

"ลูกหนี้" มีหน้าที่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาและตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยลูกหนี้มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลภายในเวลา 1 เดือนนับแต่วันพิพากษา

หากลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ ต้องติดต่อเจ้าหนี้เพื่อเจรจาปรับเงื่อนไขการชำระเงิน พร้อมทั้งขอให้เจ้าหนี้ชะลอการบังคับคดี

โดยเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะตกลงหรือปฏิเสธก็ได้ เช่น ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ชำระหนี้เป็นเงินก้อน แต่ถ้าลูกหนี้ต้องการขอผ่อนชำระ ขึ้นกับเจ้าหนี้ว่าจะยอมหรือไม่

หากลูกหนี้ชำระคืนหนี้ไม่ได้ เจ้าหนี้จะตามสืบว่า ลูกหนี้มีทรัพย์สินอะไรบ้างและอยู่ที่ไหน ทำงานอยู่ที่ไหน หากเจอก็จะขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี และศาลจะแจ้งไปยังกรมบังคับคดีให้แต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ และ/หรือ อายัดเงินเดือน 

1) ยึดทรัพย์ของลูกหนี้  เช่น ที่ดิน บ้าน เมื่อทรัพย์ถูกยึดแล้ว ก็จะถูกนำออกขายทอดตลาดได้ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ 

2) อายัดเงินเดือน ค่าจ้าง เงินสงเคราะห์ โบนัส เงินตอบแทนกรณีออกจากงาน เงินฝากในบัญชีธนาคาร เงินปันผล ค่าเช่าที่ลูกหนี้ได้รับ แต่จะไม่อายัดทั้งหมด ต้องเหลือเงินให้ลูกหนี้ใช้บ้าง เช่น 

- เงินเดือน อายัดไม่เกิน 30% ของอัตราเงินเดือนก่อนหักรายจ่าย และต้องมีเงินเหลือไม่น้อยกว่าเดือนละ 20,000 บาท 

- เบี้ยเลี้ยงชีพ-ค่าล่วงเวลา-เบี้ยขยัน อายัดไม่เกิน 30% ของเงินที่ได้รับ 

- เงินโบนัส อายัดไม่เกิน 50% ของเงินที่ได้รับ 

- เงินตอบแทนกรณีออกจากงาน อายัดได้แต่ต้องเหลือไม่น้อยกว่า 300,000 บาท

จะเห็นได้ว่าการถูกฟ้อง คือสิทธิและหน้าที่ของลูกหนี้ในกระบวนการยุติธรรม เป็นเรื่องสำคัญที่อยากให้เอาใจใส่ เพื่อเข้าใจหลักคิดในกระบวนการยุติธรรม พร้อมกับดูแลและปกป้องตัวเองได้ถูกต้อง และไม่ส่งผลกระทบกับเงินกระเป๋ามากเกินกว่าที่ควรจะเป็น

อ้างอิง : บทความ "​สิทธิและหน้าที่ของลูกหนี้ในกระบวนการยุติธรรม" โดย ชนาภรณ์ เสรีวรวิทย์กุล, อาทิตา ผลเจริญ