ไอโฟนXRสามมารถใส่ได้กี่ซิม

สำหรับคนที่ซื้อ iPhone รุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็น iPhone XS, XS Max และ XR มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะใช้งานแน่นอนคือ การใส่ซิมการ์ดภายในแบบ e-sim นั่นเอง เพราะเป็นจุดเด่นที่ใส่ซิมแบบฝังเข้าไปกับเครื่องได้ โดยไม่ต้องใส่ซิมเข้าไป แล้วมันมีเรื่องน่ารู้อะไรบ้าง ก่อนไปทำ ทีม Sanook! Hitech ได้ไปทดลองทำ e-sim ใส่ iPhone ใหม่แล้วพบว่ามีเรื่องควรจะรู้ก่อนทำ มีอะไรบ้างและนั้นมาดูกันเลย

>> รีวิว “iPhone XR” รุ่นเล็กที่ยกสเปคของรุ่นพี่มาไว้เกือบทั้งหมด

>>รีวิวทดลองใช้ “iPhone XS Max” ในระยะเวลา 1 วัน กับสุดยอดมือถือของ Apple ที่แพงที่สุดและดีที่สุด

>> โหลดเลย "iOS 12.1" มาแล้วพร้อมฟีเจอร์ใหม่และความสามารถ e-sim ที่จะใช้ได้แล้วใน iPhone รุ่นใหม่

e-sim ต่างจาก sim ปกติอย่างไร

รูปแบบของ e-sim จะเป็นการที่มือถือจะรองรับการใส่ Cellular Plan ที่ใช้ QR Code ในการลงทะเบียนซิม ซึ่งมือถือจะต้องรองรับและสามารถใช้งานได้เท่านั้น และการเลือกนั้นจะต้องให้ผู้ให้บริการเลือกให้เหมาะสม เพราะทีม Sanook! Hitech เองไปลองครั้งแรกพบว่า เมื่อเลือก Plan ผิดไปนิดเดียว ก็อาจจะโทร หรือ เล่นอินเทอร์เน็ต ไม่ได้

ผิดกับซิมการ์ดปกติที่สามารถใช้งานเล่นอินเทอร์เน็ต หรือ โทรได้เลย แต่ต้องใส่ในเครื่องก็เท่านั้นเอง

e-sim ดีอย่างไร

การเปิด e-sim จะมีความสะดวกสูงสุดหากคุณต้องการเปลี่ยนซิมหลักบ่อยเช่นการเดินทางไปต่างประเทศ โดยที่ต้องซื้อซิมแบบท่องเที่ยว คุณไม่ต้องห่วงว่าซิมการ์ดปกติของคุณจะหายไป

ส่วนคนที่อยากบริหารโปรโมชั่นเองก็สามารถเลือกให้ซิมหลักโทร หรือ e-sim เป็น Data ใช้งานข้อมูลเยอะ ๆ ได้เช่นเดียวกัน

e-sim มีข้อจำกัดอะไรบ้าง

สำหรับ e-sim ที่ทีม Sanook! Hitech พบเจอนั้นมีข้อจำกัดดังนี้

• เทคโนโลยี VoLTE, VoWiFi รวมถึงบริการเช่น Data Roaming ภายใน e sim และสามารถเปิดเปิดได้ง่ายแค่ Setting > Cellular > เลือกไปที่ซิมการ์ด แล้วกดเข้าไปจากนั้นกดปิด
• e-sim ตอนนี้สามารถใช้งานได้ 1 เบอร์ต่อ 1 เครื่องนะ เพราะอีกซิมต้องเป็นซิมปกติเท่านั้น
• เมื่อติดตั้ง e-sim ในเครื่องไปแล้วหากต้องใช้งาน Auto WiFi ของแต่ละค่าย ยังไม่สามารถใช้งานได้นะครับ อาจจะต้องรอปรับปรุงกันในอนาคตอันใกล้
• ตอนนี้ e-sim ยังคงสามารถใช้ได้กับอุปกรณ์ของ Apple ทั้ง iPhone XS, iPhone XS Max, iPhone XR, Apple Watch Series 3 หรือ 4 แบบ Cellular ส่วนอนาคตต้องรอดูว่าจะมีรุ่นไหน Support อีกหรือไม่ต่อไป
• iPhone รุ่นใหม่ที่รองรับ e-sim ได้ก็มีเงื่อนไขว่าจะต้องอัปเดตเป็น iOS 12.1 ขึ้นไปเท่านั้น
• ผู่ให้บริการในประเทศไทยตอนนี้ที่เปิดให้ใช้งานมีทั้ง Truemove H และ dtac ส่วน AIS กำลังจะตามมาในอนาคต

แล้วหลังจากทำซิมการ์ดปกติตัวเดิมจะเป็นอย่างไร

เมื่อทำเสร็จแล้ว e-sim จะฝังในเครื่องเราทันที แต่ว่าซิมการ์ดที่เราใช้งานอยู่นั้น จะมี 2 รูปแบบ

• หากคุณมีหลายซิม แล้วให้ e-sim คือ Multi SIM ของคุณ ก็จะสามารถใช้งานได้เหมือนเดิม แต่เล่นได้แค่อินเทอร์เน็ต
• กรณีถ้ามีแค่ซิมใบเดียว ซิมการ์ดปกติดังกล่าวจะใช้งานไม่ได้เพราะซิมการ์ดถูกตัดและระงับสัญญาณไป

ซึ่งถ้าคุณมีอุปกรณ์มากกว่า 1 เครื่องหากเปิด e-SIM ปกติควรเลือกเป็นแบบ Multi SIM ซึ่งแต่ละค่ายก็จะมีค่าบริการที่แตกต่างกัน

e-sim ยกเลิกได้หรือไม่

e-sim สามารถยกเลิกได้ โดยเมื่อยกเลิกแล้วผู้ให้บริการจะคืนเปลี่ยนเป็นซิมการ์ดปกติให้เรา แต่ว่า ถ้าคุณเป็น Multi SIM หรือใช้งานซิมการ์ดได้หลายซิม จะไม่ได้รับซิมกลับมา เว้นแต่ขอซิมการ์ดปกติ

จากทั้งหมดที่เห็นนี้ทีม Sanook! Hitech ลงความเห็นว่า เมื่อ Apple เริ่มใช้งาน e-sim เข้ามาใส่ใน iPhone แล้ว ค่ายอื่นที่เป็นคู่แข่งก็คงจะตามมาในไม่ช้า เหลือเพียงว่าช้าเร็วแค่ไหน โดย e-sim มีประโยชน์ในเรื่องทำให้เราใส่ซิมของที่ไหนก็ได้เพิ่มเข้ามาอีกซิม แต่ซิมหลักก็ยังคงเป็นของเราอยู่นั่นเอง และเป็นเรื่องดีที่ผู้ให้บริการไม่มีค่าเปลี่ยนเลย ใครที่ซื้อ iPhone ใหม่แล้วอยากใช้ 2 SIM ก็ลองพิจารณาข้อดีไว้ก็ดีเหมือนกันครับ

iPhone XR จะวางขายอย่างเป็นทางการวันที่ 26 ต.ค. 2561 นี้พร้อมกันทั่วประเทศไทยและขณะเดียวกัน10 พ.ย. 2561 นี้ Apple Iconsiam ก็จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกชมและเลือกซื้อ iPhone รุ่นนี้ได้ รอบนี้มาดูกันว่า “ทำไมควรซื้อ iPhone XR มากกว่า iPhone X” ผมขอนำประสบการณ์มาเล่าให้ฟังครับ

8 เหตุผล ทำไมควรซื้อ iPhone XR มากกว่า iPhone X

ในรอบที่แล้วทีมงานได้เขียนเรื่อง ซื้อ iPhone X ตอนนี้ (ต.ค. 2018) หรือรอ iPhone XR ดี ชมคำแนะนำจากทีมงาน ให้อ่านไปแล้วใครที่ยังไม่ได้อ่านก็ตามไปอ่านเพิ่มเติมได้นะครับ ส่วนรอบนี้แอดมินขอเข้าเรื่องเลย หากถามว่าจะเลือกซื้อ iPhone XR กับ iPhone X ควรจะเลือกรุ่นไหนดี ขอตอบเลยว่า iPhone XR เพราะอะไรไปชมเหตุผลกัน

สรุปประเด็นหลักที่เป็นเหตุผลสนับสนุนให้เลือก iPhone XR มากกว่า X มีดังนีครับ

• iPhone XR เป็นรุ่นใหม่กว่า iPhone X
• รองรับระบบ 2 SIM ที่ไม่มีใน iPhone X
• แบตเตอรี่อยู่ได้นานกว่า
• หน้าจอแสดงผลใหญ่และเต็มตากว่า
• ราคาถูกกว่า
• หน่วยประมวลผลที่ดีกว่า ฉลาดกว่าและเป็นตัวเดียวกับ iPhone XS, XS Max
• กล้องหลังดีกว่าแม้จะไม่มีกล้องคู่แต่ก็ถ่าย Portrait และปรับหน้าชัดหลังเบลอได้
• มีสีให้เลือกเยอะกว่าและมี PRODUCT RED มาให้เลือกซื้อตั้งแต่เปิดขาย

แล้วเดี๋ยวไปลงรายละเอียดด้านล่างพร้อมแล้วไปชมอ่านกันได้เลย

1. iPhone XR เป็นรุ่นใหม่กว่า iPhone X

iPhone X เปิดตัวปี 2017 ส่วน iPhone XR เปิดตัวในปี 2018 ซึ่งเป็นรุ่นที่ใหม่ล่าสุดกว่า ใช้ชิปใหม่หลายๆ อย่างที่ดีกว่า iPhone X เช่น หน่วยประมวลผลหลักชิป A12 Bionic ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 7 นาโนเมตร ทำให้กินพลังน้อยลง ประมวลผลได้เร็วยิ่งขึ้นและที่สำคัญอายุการใช้งานและการรองรับก็ย่อมจะนานกว่า iPhone X อย่างน้อย 1 ปี

2. รองรับ 2 ซิมในเครื่องเดียว

iPhone X ใส่ได้แค่ซิมเดียวเบอร์เดียวแต่ว่า iPhone XR ใช้งานได้ 2 ซิม โมเดลที่ขายในไทยจะเป็นแบบ 1 nano sim และ 1 eSIM นั่นหมายความว่าในเครื่อง iPhone XR นั้นคุณสามารถใช้งานเบอร์มือถือได้ 2 เบอร์ในเครื่องเดียว ไม่ต้องพก 2 เครื่องให้หนักกระเป๋าและจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมหยิบเครื่องใดอีกหนึ่งหรือลืมเครื่องไว้อีกต่อไป

ข้อมูลเพิ่มเติมเดี่ยวกับระบบซิมคู่ของ iPhone ดูได้ที่นี่

3. iPhone XR แบตเตอรี่ใช้งานได้นานกว่า

ด้วยความที่ใช้ชิป A12 Bionic ตัวล่าสุดพร้อมด้วยการปรับปรุงด้านฮาร์ดแวร์ต่างๆ รวมไปถึงหน้าจอ LCD แบบใหม่ก็มีส่วนให้การใช้พลังงานนั้นลดลงแต่ว่ายังคงความแรงของประสิทธิภาพการทำงานไว้เช่นเดิม จากข้อมูลและผลการทดสอบพบว่า iPhone XR ใช้งานได้นานกว่า iPhone X

4. iPhone XR หน้าจอแสดงผลใหญ่กว่า iPhone X

iPhone XR มาพร้อมหน้าจอแบบ Liquid Retina (LCD) ขนาด 6.1 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่า iPhone X จอชนิ OLED ขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.8 นิ้ว เมื่อเปรียบเทียบการใช้งานแล้วพบว่า iPhone XR นั้นในแง่การแสดงผลจะเห็นจะเห็นรายละเอียดได้มาก iPhone X นั่นเอง (แต่ในเรื่องความละเอียดหน้าจอพร้อมกันค่า contrast ต่างๆ ทาง iPhone X ซึ่งเป็นจอ OLED นั้นจะดีกว่านะครับ)

5. ราคาถูกกว่าแต่ได้เทคโนโลยีที่ใหม่กว่า

iPhone XR เปิดขายถูกสุดในรุ่นความจุ 64GB อยู่ที่ 29,900 บาท หากเทียบกับสมัย iPhone X เปิดตัวนั้นความจุ 64GB อยู่ที่ 40,500 บาทเลยทีเดียว ส่วนปัจจุบัน iPhone X ก็ลดราคาลงมาเช่นกันราคาเครื่องเปล่าที่ Studio7 ของ iPhone X 64GB อยู่ที่ 36,900 บาท ซึ่งก็ยังแพงกว่า iPhone XR

สเปกของ iPhone XR ที่เหนือกว่า iPhone X ก็เป็นเรื่องความใหม่อย่างชิป A12 Bionic, รองรับ 2 ซิม, กล้องใหม่กว่า ดีกว่า มี Smart HDR ให้ด้วยและแบตอึดกว่า และส่วนที่เท่าเทียมกันคือแรมเท่ากับ 3GB, ลำโพงคู่, ระบบกันน้ำ IP67 ส่วนสิ่งที่ iPhone XR ด้อยกว่า iPhone X ก็เป็นเรื่องของหน้าจอ ซึ่ง OLED ของ iPhone X นั้นความละเอียดและการแสดงสีสันที่มากกว่าแล้วก็บอดี้ที่ผลิตจากสแตนเลสและกล้องหลังที่มี 2 เลนส์ทำให้ซูมถ่ายระยะไกลได้และไม่มี 3D Touch

6. หน่วยประมวลผล A12 Bionic ที่ใหม่กว่า ฉลาดกว่า

iPhone XR ที่เปิดตัวในปี 2018 พร้อมกับ iPhone XS, XS Max รุ่นพรีเมียมที่ราคาสูงสุดเกินครึ่งแสนไปนั้น แต่ทว่าหัวสมองหรือหน่วยสั่งการนั้นใช้ชิปตัวเดียวกันคือ A12 Bionic ที่ทำงานได้ดีเยี่ยมและมาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุด เป็นชิปที่ผลิตแบบ 7 นาโนเมตร ทั้งแรงเร็ว ทำให้เล่นเกมได้เลื่อน ไม่สะดุด ไม่ต้องหัวร้อนกันอีกต่อไป

A12 Bionic ใหม่กว่า A11 Bionic ใน iPhone X ดังนั้นมั่นใจได้เลยว่าแม้ iPhone XR จะราคาถูกกว่าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพการทำงานจะด้อยกว่า iPhone X

7. กล้องหลังดีกว่า iPhone X แม้จะมีกล้องเดียวก็ถ่าย Portrait และปรับโบเก้ได้

iPhone XR แม้จะมีกล้องตัวเดียวที่เป็นแบบ Wide Angle แต่ทว่ากล้องตัวนี้ไม่ได้ขี้เหร่เลย เพราะว่าสเปกกล้องนั้นใช้ตัวเดียวกับ iPhone XS, XS Max ซึ่งดีกว่า iPhone X อยู่แล้ว ในแง่การเก็บรายละเอียดของรูป การไล่สีต่างๆ พร้อมทั้งมี Smart HDR ที่เก็บเฟรมได้มากกว่าจึงนำมาประมวลผลผ่านหน่วย Image Processing ที่รวดเร็ว จึงได้ภาพที่ดูสวยงามโดดเด่นไม่แพ้รุ่นกล้องคู่ของ iPhone X แม้แต่น้อย ส่วนการถ่ายคลิปนั้นก็ดีทั้งไมค์ ทั้งกันสั่นและการเก็บรายละเอียดที่สามารถถ่ายวิดีโอแบบสูงสุดได้ถึง 4K 60FPS เลยทีเดียว

ส่วนเรื่องการถ่ายภาพส่วนบุคคลหรือว่า Portrait นั้น iPhone XR ก็ทำได้เช่นกัน โดยจะใช้หลักการทางซอฟต์แวร์เป็นตัวจัดการ ทำให้กล้องรุ่นนี้ถ่ายภาพบุคคลได้ ทำหน้าชัดหลังเบลอได้ และปรับค่า F-stop (Depth Control) ได้อีกด้วยหลังจากถ่ายออกมาแล้ว (ใน iPhone X ทำไม่ได้นะ) ในส่วนของการจัดแสงนั้นอาจจะมีเมนูให้เลือกน้อยกว่ารุ่นกล้องคู่ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะฟีเจอร์แต่งภาพเหล่านั้นสามารถหาได้จากแอปอื่นๆ เพิ่มเติมสบาย และกล้องหน้าเองก็ถ่าย Portrait ได้แบบเดียวกันกับ iPhone X, XS และ XS Max เลยนะ ไม่ได้ด้วยกว่าเลย

ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่า iPhone XR ระบบกล้องจะด้อยกว่า iPhone X ที่เห็นชัดๆ ก็คงเป็นเครื่องเรื่องที่ไม่มีกล้องคู่เท่านั้นแหละ

8. iPhone XR มีสีให้เลือกเยอะกว่าและมี PRODUCT RED มาให้เลือกซื้อตั้งแต่เปิดขาย

iPhone XR พูดให้เข้าใจง่ายๆ เหมือนกับการนำ iPhone 8 Plus มารวมกับ iPhone X และทำสีออกมาเพิ่มซึ่งมาให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ สีขาว, สีดำ, สีเหลือง, สีแดง, สีฟ้าและสีส้มคอรัล เมื่อเราได้สัมผัสตัวเครื่องแล้วจะทราบถึงคุณภาพของวัสดุที่ผลิตรุ่นนี้ออกมาว่ามันได้ก๊อกแก๊กเลย งานนานละเอียดดีและดีกว่า iPhone 5C ซึ่งเทียบกันไม่ติดเลย

เรื่องของสีนี่แหละก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้คนตัดสินใจเลือกซื้อและสนใจ iPhone XR มากขึ้น ชอบสีไหนก็เลือกกันได้ตามสบายเลย

สรุปส่งท้าย

ความตั้งใจของ Apple ที่ผลิต iPhone XR ออกมาก็คือ

การนำเทคโนโลยีต้นแบบจาก iPhone X พัฒนาให้เป็นรุ่นที่เป็นทางเลือกให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องซื้อราคาแพงที่สุดก็สามารถได้ประสบการณ์ที่ดีได้

ผมเองมองว่าหน้าจอ LCD แบบใหม่ที่ Apple ทำออกมาเป็นถือเป็นสิ่งที่ดีมากถ้าในอนาคต LED ธรรมดาๆ สามารถทำอะไรที่คล้ายกับ OLED ทำได้และผลิตในราคาที่ถูกกว่า ก็จะทำให้ราคา iPhone มีต้นทุนลดต่ำลงแต่ว่าเทคโนโลยีนั้นยังก้าวล้ำไปอีก ต้องรอดูกันต่อไปครับ

ทั้งนี้อยากให้ทุกคนไปลองสัมผัสกับเครื่องจริงของ iPhone XR กันก่อนแล้วลองเทียบกับบทความที่ผมเขียนนี้ว่าจริงไหม ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อนะครับ ผมแค่บอกเป็นแนวทางส่วนใครจะเลือกซื้อรุ่นไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยและความพึงพอใจของแต่ละท่าน

ไอโฟน XR ใช้2ซิมได้ไหม

ไอโฟนXRใส่ได้กี่ซิม

XR ใช้ซิมอะไร

iPhone XR ใส่ได้กี่ซิม Pantip