แนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวโดยไม่ใช้ความรุนแรง การใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ส่วนมากพบว่าผู้ที่นิยมแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวโดยใช้ความรุนแรง จะมีประสบการณ์ชีวิตซึ่งถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เช่น ถูกทุบตี ตบหน้าหรือถูกลงโทษอย่างรุนแรง จากพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ภายในครอบครัว มีแนวทางการปฏิบัติตนในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ในครอบครัวโดยไม่ใช้ความรุนแรง ดังนี้ ๑) เรียนรู้วิธีการควบคุมอารมณ์ และระบายความโกรธ โดยไม่ทำร้ายผู้อื่น ๒) ให้ความรักความเข้าใจต่อคนในครอบครัว ๓) สร้างสัมพันธภาพที่อบอุ่น เอาใจใส่ มีบรรยากาศของความเป็นมิตร ๔) มีเทคนิคการหลีกเลี่ยงหรือการจัดการอย่างเหมาะสมเมื่อถูกก้าวร้าว ๕) สร้างความภาคภูมิใจในครอบครัวและวงศ์ตระกูล ๖) สร้างความมั่นคงในอารมณ์ มีความเชื่อมั่นใจตนเอง เพิ่มความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ๗) มีภูมิต้านทานแรงกดดันของพฤติกรรมก้าวร้าวจากบุคคลในครอบครัว ๘) ลดความเครียด ด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬา นันทนาการ ดนตรี สวดมนต์ นั่งสมาธิ ๙) ขอปรึกษาจากญาติหรือเพื่อนที่ไว้ใจได้ หรือหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยเข้ามาไกล่เกลี่ยประนีประนอม เจรจาตกลงปัญหาความขัดแย้ง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมความรุนแรง และยุติการใช้ความรุนแรง เมื่อนักเรียนอ่านบทความจบแล้ว ให้นักเรียนนำเสนอวิธีการปฏิบัติตนในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวที่ใช้แล้วประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาได้เป็นอย่างดีDr.John Ng ผู้เชี่ยวชาญในด้านการจัดการความขัดแย้ง ของ Eagles Mediation and Counseling Center ประเทศสิงคโปร์ ได้เขียนไว้ในหนังสือของท่าน และได้ให้มุมมองเกี่ยวกับธรรมชาติของความขัดแย้งไว้ 4 ประเด็น ดังนี้ ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เนื่องด้วยคนเรามีความแตกต่างกัน เช่น มีบุคลิกภาพต่างกัน มีความคิดเห็นต่างกัน มีค่านิยมต่างกัน และมีความต้องการต่างกัน เราจึงมีความขัดแย้งกัน ดังนั้นตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็สามารถมีความขัดแย้งกับผู้อื่นได้ การมีความขัดแย้งไม่ได้ก่อให้เกิดความแตกหักในความสัมพันธ์ แต่วิธีจัดการกับความขัดแย้งต่างหากที่มีผลต่อความสัมพันธ์ ความขัดแย้งมีค่าเป็นกลาง คนส่วนมากกลัวความขัดแย้ง เพราะคิดว่าความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่ดี เรามักจะเชื่อมโยงความขัดแย้งกับคำที่มีความหมายในทางลบ เช่น ความโกรธ ความก้าวร้าว การต่อสู้ การโต้เถียง ความคับข้องใจ ความขมขื่น และความเกลียดชัง อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งก็มีข้อดีได้ เพราะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น เกิดความคิดใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เกิดการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน และมีมุมมองชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม ครอบครัวที่ไม่มีความขัดแย้งไม่จำเป็นต้องเป็นครอบครัวที่มีความสุขเสมอไป พ่อแม่ที่คิดว่าครอบครัวของตนไม่มีความขัดแย้งอาจจะไม่รู้ตัวว่าได้สร้างบรรยากาศของความหวาดกลัวแก่ลูก ๆ จนไม่มีใครกล้าพูดถึงความต้องการที่แท้จริงของตนออกมา พ่อแม่ที่เข้มงวดเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นเท่ากับได้กวาดความขัดแย้งไปซ่อนไว้ใต้พรมซึ่งรอเวลาที่จะระเบิดออกมา แต่ครอบครัวที่มีความเป็นประชาธิปไตย แม้มีความขัดแย้งก็สามารถจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับวัยรุ่นเป็นเรื่องที่ไม่มีวันจบ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมักจะเป็นเรื่องเดิม ๆ ที่มีการโต้เถียงกันซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น เรื่องผลการเรียน ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของห้องนอน การเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ การนอนตื่นสาย การพูดโทรศัพท์นานเกินไป และการออกไปเที่ยวเตร่นอกบ้านกับเพื่อน เป็นต้น ทั้งนี้ พ่อแม่ต้องยอมรับว่าจะต้องมีความขัดแย้งในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าลูกจะเติบโตผ่านช่วงวัยรุ่นนี้ไป ดังนั้นแทนที่จะหลีกหนีหรือเก็บซ่อนความขัดแย้งไว้ สิ่งที่ควรทำก็คือ การหาวิธีจัดการกับความขัดแย้งเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ดร.จอนห์น อึ้ง ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูกวัยรุ่นไว้ดังนี้
จากปัจจัยทั้งหมดที่ได้กล่าวมาทั้ง 10 ข้อนี้ทำให้เราเห็นว่าทั้งพ่อแม่และวัยรุ่นอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ดังนั้นการมีความขัดแย้งจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ Dr.John Ng ได้เสนอแนะแนวคิดกว้าง ๆ เกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้งไว้ 3 ข้อ ด้วยกันคือ
นอกจากนั้น Dr.John Ng ยังได้ให้กฎ 8 ข้อ ในการจัดการกับความขัดแย้งไว้ดังนี้
รายการอ้างอิง ภาพประกอบจาก : http://www.freepik.com ********************************************** บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHz โดย รองศาสตราจารย์ ดร. เพ็ญพิไล ฤทธาคณานนท์ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ********************************************** |