และอีกประการหนึ่ง ผู้ใหญ่บางคนก็ยอมรับว่าวัยรุ่นนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงให้อิสระเสรีแก่วัยรุ่นเหมือนผู้ใหญ่ทุกประการ แต่ในทางตรงกันข้ามผู้ใหญ่บางคนก็เห็นว่าวัยรุ่นนั้นยังเป็นเด็กอยู่ จึงให้การรับรองแก่เด็กแตกต่างกันออกไป ทำให้วัยรุ่นวางตัวลำบาก และเป็นช่องทางให้เกิดปัญหาต่างๆอยู่เสมอ สังคมที่วัยรุ่นเกี่ยวข้อง สังคมที่วัยรุ่นเกี่ยวข้องด้วยนั้นพอจะแยกกล่าวเป็นข้อๆได้ดังนี้ 1. เด็กเกิดมาและเจริญเติบโตอยู่ภายในบ้านหลายปี ก่อนที่จะเข้าโรงเรียนและยังคงอยู่ในบ้านอีกหลายปีก่อนที่จะแยกออกไป เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น เด็กพยายามปลีกตนออกจากสังคมภายในบ้าน และหันไปสมาคมกับเพื่อนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ในระยะนี้ความคิดเห็นต่างๆของเด็กก็คล้อยตามเพื่อนฝูงมากกว่าที่จะเห็นตามบิดามารดาหรือญาติพี่น้องภายในครอบครัว เด็กเริ่มมีความสนิทสนมกับบิดามารดาน้อยกว่าวัยที่ผ่านมา บางครั้งทำให้เด็กคิดไปว่าตนกับบิดามารดาไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจกันได้ ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้วัยรุ่นไม่กล้าปรึกษาเรื่องส่วนตัวกับบิดามารดา ปกปิดมารดาเมื่อกระทำความผิด และในที่สุดก็รู้สึกว่าตนเองเป็นภาระที่บิดามารดาต้องเลี้ยงดู จากทัศนคติของเด็กที่มีต่อบิดามารดาเช่นนี้ ทำให้เด็กรู้สึกว่าบิดามารดาเป็นปัญหาที่ตนไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ ด้วยเหตุนี้ บิดามารดาจึงควรช่วยเหลือวัยรุ่นในปกครองของตน โดยอาจจะถือแนวทางปฏิบัติต่อเด็กดังนี้ 2.สร้างความสัมพันธ์อันดีภายในบ้าน บิดามารดาควรมีความรักใคร่ปรองดองซึ่งกันและกัน ควรหลีกเลี่ยงการแยกกันอยู่หรือการหย่าร้าง หรือการทะเลาะเบาะแว้งกันภายในบ้าน รวมทั้งการให้หลักประกันแก่ครอบครัวในด้านการเงินและสังคม บิดามารดาควรประกอบอาชีพเป็นหลักฐานเป็นตัวอย่างอันดีแก่บุตรธิดา 3. นอกจากนี้ ควรให้ความรักแก่บุตรเท่าเทียมกัน และไม่ควรทอดทิ้งบุตรมากเกินไป ควรหาเวลารับประทานอาหารภายในบ้านพร้อมกัน เด็กๆจะได้ไม่เที่ยวจนค่ำมืด ในระหว่างที่รับประทานอาหาร ควรสนทนากันถึงเรื่องที่แต่ละคนได้ประสบมาวันหนึ่งๆ เมื่อบุตรและบิดามารดามีความสนิทสนมกันเช่นนี้ เด็กก็จะเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนให้บิดามารดาฟังจะได้ช่วยแก้ปัญหาเสียก่อนที่จะลุกลามต่อไป 4. นอกจากนั้น บิดามารดาและบุตรควรมีกิจกรรมที่สนใจร่วมกัน เช่น การทำงานอดิเรก ปลูกต้นไม้ เป็นต้น เด็กที่มีความสุขพอจะไม่เป็นเด็กที่เที่ยวเกะกะอยู่ตามถนนหรือสถานที่อันไม่สมควร 5.บิดามารดาหรือผู้ปกครองควรถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานของตนบิดามารดาไม่ควรหวังพึ่งครูด้านเดียว ทั้งนี้เพราะปัจจุบันครูไม่อาจตามไปดูแลเด็กได้ทั่วถึง เมื่อเด็กพ้นรั้วโรงเรียนไปแล้ว เด็กอาจจะเถลไถลไปไกลที่อื่นหรือมั่วสุมกับอบายมุขต่างๆได้ บิดามารดาจึงควรให้ความร่วมมือและถือเป็นหน้าที่อันสำคัญที่จะต้องเอาใจใส่ดูแลความเป็นอยู่ของวัยรุ่นของตนให้มาก 6.บิดามารดาควรให้เด็กรู้สึกเสมอว่าตนเป็นสมาชิกที่สำคัญคนหนึ่งของบ้าน ให้เด็กรู้จักรับผิดชอบในกิจการบ้านเรือนบ้าง ให้เด็กได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของครอบครัว เช่น รายได้ รายจ่าย เพื่อให้เด็กได้คิดว่าตนควรใช้เท่าใดจึงจะทำให้ครอบครัวไม่ลำบาก ควรให้เด็กรู้จักรับผิดชอบในการเงินของตน เช่น จ่ายเงินให้เด็กใช้เป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน พยายามอบรมให้เด็กรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง เริ่มจากสิ่งง่ายๆเช่น รู้จักเลือกเสื้อผ้าสิ่งของเครื่องใช้ เลือกคบเพื่อน เลือกวิชาเรียน และการเลือกคู่ในที่สุด โดยมีผู้ปกครองคอยเป็นผู้แนะแนวทางให้ โรงเรียน 1. ชีวิตของเด็กครึ่งหนึ่งต้องอยู่ภายในโรงเรียน เกี่ยวข้องกับการเรียนการศึกษาอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้เด็กคลุกคลีอยู่ในโรงเรียนมากขึ้น วัยรุ่นทุกคนอยากเรียนอยากศึกษาทั้งนั้น แต่บางคนไม่ได้ศึกษาต่อ ก็เป็นเพราะความจำเป็นบางประการหรือความบีบคั้นทางเศรษฐกิจ หรือความสามารถทางสมองมีน้อย การที่เด็กต้องคลุกคลีอยู่กับโรงเรียนมากย่อมมีช่องทางที่จะสร้างปัญหาต่างๆภายในโรงเรียนได้มาก เช่นเดียวกับภายในครอบครัว 2. ปัญหาที่สำคัญของเด็กเกี่ยวกับโรงเรียนก็คือ ปัญหาเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กเอง และปัญหาเกี่ยวกับการเรียนวิชาต่างๆเช่น เด็กบางคนกังวลเรื่องวิชาคำนวณ บางคนก็กลัดกลุ้มเรื่องความจำไม่ดี และปัญหาใหญ่ก็คือ เด็กส่วนมากลัวสอบไล่ตก นั่นคือกลัวความไม่สำเร็จนั่นเอง ทั้งนี้เป็นเพราะเด็กขาดทักษะในกาเรรียน หรือเด็กเข้ากับครูและเพื่อนฝูงไม่ได้ เป็นต้น ฉะนั้น โรงเรียนจึงควรหาทางช่วยเหลือเด็ก ซึ่งอาจจะอาศัยวิธีการดังต่อไปนี้ได้ 3. ครูทุกคนควรมีความรู้พื้นฐานจิตวิทยาวัยรุ่น โดยเฉพาะครูในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มี่ส่วนเกี่ยวข้องกับวัยรุ่นมาก เพื่อจะได้ศึกษาให้ซึ้งถึงธรรมชาติและจิตใจของเด็ก ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆขึ้นมา แทนที่ครูจะพร่ำว่าศิษย์ของตนเป็นคนเลวไม่เอาถ่าน และคงจะเรียนดีไม่ได้เหล่านี้ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าครูไม่เข้าใจเด็ก นักการศึกษาเชื่อว่า ถ้าครูมีความเข้าใจเด็กจะช่วยแก้ไขอบรมเด็กให้เป็นคนดีได้มาก ครูในปัจจุบันจึงเห็นความสำคัญในจิตวิทยามากขึ้น เพื่อที่จะได้เข้าใจเด็กของตนได้ดีขึ้นนั่นเอง 4.ครูควรสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเด็ก เมื่อครูมีความเข้าใจถึงจิตใจของเด็กแล้ว ครูยังต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเด็กอีกด้วย เด็กบางคนไม่สามารถปรึกษาปัญหาบางอย่างกับบิดามารดา เพราะบิดามารดาไม่มีเวลาว่าง หรือไม่มีความรู้พอที่จะให้คำแนะนำในปัญหาบางประการได้ เด็กก็จะเข้าหาครูซึ่งเป็นผู้ที่มีความเข้าใจและมีความรู้พอที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้เด็กได้ เด็กที่มีทั้งพ่อแม่ครูที่มีความเข้าใจ จึงนับว่าเป็นเด็กโชคดีที่สุด 5. หลักสูตร วิชาที่จัดสอนขึ้นในโรงเรียนมัธยม ควรจัดขึ้นเพื่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อชีวิตนักเรียน ในขณะที่วิชาต่างๆได้เพิ่มแขนงขึ้นอย่างมากมาย โรงเรียนก็ควรจัดวิชาเลือกขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้เลือกเรียนตามความสนใจ ตามความถนัด และเพื่อเตรียมตัวเด็กสำหรับเลือกอาชีพด้วย เด็กวัยนี้แทนที่จะให้เป็นผู้รับฝ่ายเดียว ครูควรสอนให้เด็กรู้จักแสดงออก ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพของเด็กไม่ให้เป็นคนขี้อาย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเสริมหลักสูตร เช่น กีฬา ดนตรี การสังคม ฯลฯ การให้เด็กมีกิจกรรมทำมากๆในโรงเรียน จะช่วยให้เด็กไม่ไปเกะกะอยู่ในสถานที่อันไม่สมควรอีกด้วย 6.การแนะแนว ซึ่งนับว่าเป็นพัฒนาการใหม่ในวงการศึกษา แม้ว่าจะยังไม่มีอยู่ทั่วไป โรงเรียนทีดีย่อมมีการบริการแนะแนวให้แก่เด็ก ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือเด็กเป็นรายบุคคล ทั้งในปัญหาในด้านต่างๆ โรงเรียนที่มีบริการแนะแนว จะช่วยลดจำนวนปัญหาของเด็กและการลงโทษเด็กให้น้อยลงด้วย 7.สมาคมผู้ปกครองและครู มีจุดประสงค์เพื่อความเข้าใจระหว่างกันและกัน รวมทั้งหาทางส่งเสริมเด็กและหาทางป้องกันปัญหาซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ การปฏิบัติดังกล่าวถ้าได้รับความร่วมมือทั้งสองฝ่าย จะช่วยลดปัญหาวัยรุ่นได้มาก เพื่อนฝูงเด็กวัยนี้รู้สึกว่าการคบเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญมาก ฉะนั้น อิทธิพลของกลุ่มจึงมีต่อเด็กมากเช่นเดียวกัน การคบเพื่อนเป็นความต้องการประการหนึ่งของวัยรุ่น และต้องการคบเพื่อนต่างเพศด้วย การเลือกเพื่อนของวัยรุ่นโดยมากมักเลือกผู้ที่มีรสนิยมตรงกัน มีทัศนคติคล้ายคลึงกัน และขนาดร่างกายเท่าๆกัน เด็กชายจะรวมกลุ่มกับเด็กชายด้วยกันก่อน ในทำนองเดียวกันเด็กหญิงก็จะรวมกลุ่มและมีกิจกรรมต่างๆร่วมกัน สื่อมวลชนต่างๆ 1.เช่น หนังสือพิมพ์ หนังสืออ่านเล่นหรือที่เรียกว่านวนิยาย วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ สิ่งเหล่านี้จัดเป็นเครื่องชักจูงความประพฤติของเด็กให้เป็นไปในทางที่ดีและในทางที่เสียหาย ฉะนั้น เพื่อที่จะได้ร่วมมือกันสร้างบุคลิกภาพที่ดีให้แก่เด็ก ควรจะได้มีการควบคุมสื่อมวลชนดังนี้ 2. หนังสือพิมพ์ควรเสนอเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา และถูกต้องตามหลักวิชาการเสนอเรื่องราวถูกต้องตาม ความเป็นจริงและใช้ภาษาสุภาพ 3. การควบคุมภาพยนตร์และการแสดงต่างๆที่มาจากต่างประเทศอันอาจเป็นภัยต่อจิตใจของเด็ก ควรแยกประเภทไปว่าภาพยนตร์ประเภทใดเด็กดูแล้วไม่เป็นภัยต่อจิตใจของเด็ก และประเภทใดที่อนุญาตให้ดูเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น นอกจากนี้ ควรจะได้มีการควบคุมสิ่งตีพิมพ์ต่างๆที่เห็นว่าจะเป็นภัยต่อจิตใจของเด็กอย่างจริงจัง ตัวเด็ก จัดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของปัญหาวัยรุ่น วัยรุ่นไม่ใช่เด็กเล็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่อยู่ในวัยที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่ และเริ่มรับผิดชอบในพฤติกรรมของตนเองได้แล้ว นอกจากนี้ เด็กวัยนี้ยังมีปัญญาเฉลียวฉลาด ได้รับการศึกษาดีกว่าแต่ก่อน ย่อมเข้าใจดีว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นสิทธิย่อมควบคู่มากับความรับผิดชอบเสมอ เด็กได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากบิดามารดา และบิดามารดาก็ได้ส่งเสียบุตรให้เล่าเรียนจนประสบความสำเร็จ ด้วยความร่วมมือของโรงเรียนและสังคมสมัยนี้ ก็มีส่วนช่วยให้เด็กได้รับความสุขขึ้น ฉะนั้น เด็กจึงควรคิดว่าตนมีความรับผิดชอบต่อบิดามารดา ครูอาจารย์ สังคมและตนเองเพียงใด กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ ชั่วโมงที่ ๑ (วิเคราะห์ความคาดหวังของสังคมที่มีต่อวัยรุ่น) ๑. กิจกรรมที่ ๑ (ทักษะการวิเคราะห์) ๑.๑ ครูทบทวนเรื่องการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่น ๑.๒ครูตั้งคำถามกับนักเรียนว่าการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่นมีผลกระทบต่อสังคมอย่างไร ๑.๓ สังคมที่วัยรุ่นเกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง ๑.๔ ครูชมเชยนักเรียนที่ร่วมตอบคำถามและเฉลยว่า สังคมที่วัยรุ่นเกี่ยวข้องได้แก่ บ้าน โรงเรียน เพื่อนฝูง และสื่อมวลชน ๑.๕ แบ่งนักเรียนออกเป็นนักเรียนชาย ๔ กลุ่ม นักเรียนหญิง ๔ กลุ่ม ๑.๖ ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันวิเคราะห์ความคาดหวังของสังคมที่มีต่อวัยรุ่น ดังนี้ ๑.๖.๑ นักเรียนชายและหญิงกลุ่มที่ ๑ วิเคราะห์ถึงความคาดหวังของครอบครัวที่มีต่อนักเรียน ๑.๖.๒ นักเรียนชายและหญิงกลุ่มที่ ๒ วิเคราะห์ถึงความคาดหวังของโรงเรียนที่มีต่อนักเรียน ๑.๖.๓ นักเรียนชายและหญิงกลุ่มที่ ๓ วิเคราะห์ถึงความคาดหวังของเพื่อนฝูงที่มีต่อนักเรียน ๑.๖.๔ นักเรียนชายและหญิงกลุ่มที่ ๔ วิเคราะห์ถึงความคาดหวังของสื่อมวลชนที่มีต่อนักเรียน ๑.๗ กำหนดเวลา ๕ นาที หลังจากนั้นให้ส่งตัวแทนออกมานำเสนอโดยเขียนบนกระดาน บนตารางดังนี้
๑.๘ ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาอธิบายและแสดงเหตุผลถึงการวิเคราะห์อย่างนั้น ๒. กิจกรรมที่ ๒ (ทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล ) ๒.๑ ให้แบ่งออกเป็น ๘ กลุ่มเช่นเดิม (ใช้กลุ่มเดิม) ๒.๒ ครูแจกใบความรู้และใบงานให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษา และช่วยกันสรุปในใบงาน กำหนดเวลา ๑๐ นาที (ใบความรู้และใบงานอิทธิพลและความคาดหวังของสังคมต่อการเปลี่ยนแปลง ของวัยรุ่น) ๒.๓ ครูให้นักเรียนส่งตัวแทนออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน พร้อมบอกเหตุผล ๒.๔ ครูและนักเรียนสรุปบทเรียนร่วมกัน ชั่วโมงที่ที่ 2 (ความคาดหวังของสังคมที่มีต่อวัยรุ่น) ๑. กิจกรรมที่ ๑(ทักษะการคิดคล่อง ) ๑.๑ นักเรียนและครูช่วยกันทบทวนความรู้ที่เรียนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ๑.๒ ให้นักเรียนชมคลิปวีดีโอหนังสั้นเรื่อง One more minutes ๑.๓นักเรียนและครูร่วมกันสรุปข้อคิดของคลิปวีดีโอหนังสั้นเรื่อง One more minutes ๑.๔ให้นักเรียนแต่ละคนรับใบงานและสรูปความรู้จากการชมคลิปวีดีโอหนังสั้น เรื่องOne more minutes ๑.๕ ครูและนักเรียนสรุปบทเรียนร่วมกัน ชั่วโมงที่ ๓ (สื่อโฆษณาที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่น) ๑. กิจกรรมที่ ๑ ๑.๑ ครูทบทวนภาระงานที่มอบหมายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ๑.๒ ครูเปิด POWER POINT สรุปบทเรียนสังคมกับวัยรุ่น ๑.๓ครูชื่นชมนักเรียนที่มีความตั้งใจในการฟังครูสรุปบทเรียน ๑.๔ ให้นักเรียนนำภาระงานที่ครูมอบหมายในสัปดาห์ที่ผ่านมา (งานคู่) สรุปความรู้ความเข้าใจ วิเคราะห์ว่าสื่อโฆษณาเข้ามามีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่นอย่างไร ๑.๕ ครูและนักเรียนสรุปบทเรียนร่วมกัน การวัดและประเมินผล ๑. แบบประเมินความรู้ สรุปความคิด ๒.แบบประเมินทักษะ กระบวนการกลุ่ม ๓.แบบประเมินทักษะ ใบงานกลุ่ม ๔.แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ความคาดหวังของสังคมใด มีอิทธิพลต่อชีวิตของวัยรุ่นมากที่สุดสถาบันทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นมากที่สุดคือ กลุ่มเพื่อน เพื่อนเป็น ปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อพฤติกรรมของวัยรุ่น ทั้งความคิด ค่านิยม การเรียนรู้ วัยรุ่นมักเลือกคบเพื่อนที่มีรสนิยม ทัศนคติคล้ายคลึงกันเด็กชายจะรวมกลุ่มกับ เด็กชายด้วยกันก่อน เด็กหญิงก็จะรวมกลุ่มและมีกิจกรรมร่วมกัน เพราะการมีเพื่อน สนิทเป็นสิ่งสาคั ...
เมื่อนักเรียนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายจะปฏิบัติตนอย่างไร1. ยอมรับและเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งของตนเองและเพื่อนเป็นเรื่องธรรมชาติ 2. ดูแลรักษาอนามัยของตนเอง ได้แก่ ผิว เล็บ ฟัน เครื่องแต่งกายให้สะอาดอยู่เสมอ 3. ดูแลใส่ใจสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสารเสพติด
การปรับตัวในวัยรุ่นปัจจุบันควรเป็นอย่างไร1. ศึกษาเรียนรู้เรื่องอารมณ์สาเหตุ ผลกระทบ และ แนวทางแก้ไข แล้วนามาปรับใช้ให้เหมาะสม 2. ฝึกสารวจและควบคุมอารมณ์ของตนเอง 3. ฝึกตนเองให้กล้าเผชิญกับปัญหา 4. ฝึกเปิดใจให้กว้างและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 5. ฝึกจิตใจให้ร่าเริง ปฏิบัติกิจกรรมที่สร้างสรรค์เช่น เล่นกีฬา ฝึกสมาธิ เรื่อง วัยรุ่นกับการเปลี่ยนแปลง
|