พลังงานต่อวันที่เราต้องใช้ (Daily energy requirement)ธรรมชาติสร้างให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถผลิตพลังงานเองได้จากอาหารที่รับประทานเข้าไป พลังงานที่ร่างกายใช้และที่ได้รับจากอาหารในแต่ละวันควรจะสมดุลกัน มิเช่นนั้นจะเกิดภาวะทุพโภชนาการหรือโรคภัยไข้เจ็บจากโภชนาการเกิน ดังที่เห็นกันทั่วไปในปัจจุบัน พลังงานในร่างกายมีหน่วยเป็นกิโลแคลอรี่ (kcal หรือ Cal) เทียบเท่ากับพลังงานที่ต้องใช้เพื่อทำให้น้ำ 1 กิโลกรัมมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 °C บางประเทศวัดเป็นกิโลจูล (kJ) โดย 1 kcal = 4.184 kJ พลังงานต่อหนึ่งหน่วยบริโภคในฉลากที่มักเขียนเป็นแคลอรี่เฉย ๆ ก็ให้เข้าใจว่าหมายถึง Cal หรือ kcal (ส่วนตัวย่อ cal ในภาษาอังกฤษ หมายถึง พลังงานที่ต้องใช้เพื่อทำให้น้ำ 1 กรัมมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 °C = 1/1000 kcal) ร่างกายเราผลิตพลังงานในรูปโมเลกุลของ ATP (Adenosine triphosphate) เพื่อให้ง่ายต่อการเก็บและส่งผ่านพลังงานระหว่างเซลล์ การเผาผลาญกลูโคส 1 โมเลกุลจะให้ ATP 36 โมเลกุล การสลาย ATP 1 โมเลกุลให้พลังงาน 7.3-10.9 kcal ต้นศตวรรษที่ 20 มีนักวิทยาศาสตร์ 2 ท่านวัดปริมาณพลังงานที่สัตว์เลือดอุ่นใช้ในขณะพักจากเครื่องวัดแคลอรี่ (calorimetry) เครื่องนี้จะวัดปริมาณออกซิเจนที่ใช้ไปกับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาใน 1 ชั่วโมง แล้วทั้งคู่ได้คิดสูตรคำนวณพลังงานพื้นฐานเพื่อการดำรงชีพในหนึ่งวัน (Basal Metabolic Rate, BMR) ขึ้นเรียกว่า สมการแฮร์ริส-เบเนดิก (Harris-Benedict equation) สมการนี้ได้รับการยอมรับมาหลายทศวรรษ จนกระทั่งปลายศตวรรษถึงได้มีการปรับสูตรใหม่ 2 ครั้งเพื่อความแม่นยำยิ่งขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังจำสูตรดั้งเดิมที่ใช้กันมานานมากกว่า ดังนั้น พลังงานที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันจึงเท่ากับ พลังงานพื้นฐาน + พลังงานที่ใช้ทำกิจวิตรประจำวัน + พลังงานที่ต้องการเพิ่มในบางช่วงของชีวิต (เช่น ช่วงที่กำลังเจริญเติบโต ช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ช่วงที่ป่วยหนักอยู่ในไอซียู เป็นต้น) สมการแฮร์ริส-เบเนดิก (1918)เพศชาย: BMR = 66.5 + (13.75 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (5.003 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (6.755 x อายุเป็นปี) เพศหญิง: BMR = 665.1 + (9.563 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (1.85 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (4.676 x อายุเป็นปี) สมการแฮร์ริส-เบเนดิก (1984 ปรับโดย Roza และ Shizgal)เพศชาย: BMR = 88.362 + (13.397 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (4.799 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (5.677 x อายุเป็นปี) เพศหญิง: BMR = 447.593 + (9.247 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (3.098 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (4.33 x อายุเป็นปี) สมการมิฟฟลิน (1990 ปรับโดย Mifflin & St. Jeor แล้วตั้งชื่อใหม่เป็น Resting energy expenditure, REE)เพศชาย: REE = (10 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (6.25 x ส่วนสูงเป็น ซม.) - (5 x อายุ) + 5 เพศหญิง: REE = (10 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (6.25 x ส่วนสูงเป็น ซม.) - (5 x อายุ) - 161 สมการแฮร์ริส-เบเนดิกดั้งเดิมเหมาะกับคนรูปร่างใหญ่และอยู่ในวัยทำงาน ถ้ามาใช้กับคนรูปร่างเล็กหรือคนสูงวัยจะได้พลังงานของเพศหญิงมากกว่าเพศชาย แต่หลังปรับมา 2 ครั้ง สมการมิฟฟลินดูจะให้ค่าที่น่าเชื่อถือมากที่สุดกับทุกเพศ วัย และรูปร่าง ระยะหลังนักโภชนาการรวมทั้งสมาคมโรคเบาหวานอเมริกัน (the American Dietetic Association) แนะนำให้ใช้สูตรคำนวณ REE แทน แต่แพทย์ส่วนใหญ่ยังยึดถือสมการแฮร์ริส-เบเนดิกดั้งเดิมกันอยู่ สำหรับพลังงานที่ใช้ทำกิจวิตรประจำวันจะเป็นตัวแปรที่คูณ BMR หรือ REE ตามความหนัก-เบาของงานในแต่ละคน ดังนี้
ในหญิงตั้งครรภ์ให้บวกเพิ่มอีก 150-200 kcal/วัน ในช่วง 1-3 เดือนแรก และบวกเพิ่มอีก 300 kcal/วัน ตั้งแต่เดือนที่ 4 ไปจนถึงคลอด ส่วนหญิงให้นมบุตรที่ทำงานเบา (มีพี่เลี้ยงช่วย) ควรได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 500 kcal/วัน หากหญิงให้นมบุตรกลับมาทำงานประจำเหมือนเดิม ควรได้รับเพิ่มอีก 500 kcal รวมเป็น 1,000 kcal/วัน สำหรับเด็กอายุ 0-18 ปี แนะนำให้ใช้สูตรของ Schofield และ WHO แทน สมการสโคฟิลด์ (Schofield) เด็กชาย: เพศหญิง: สมการของ WHO เด็กชาย: เพศหญิง: สมการสโคฟิลด์ให้ความสำคัญกับทั้งเพศ น้ำหนักและส่วนสูง จึงให้ค่าพลังงานที่น่าเชื่อถือกว่าของ WHO สมการของ WHO จะให้ค่าพลังงานในเด็กเล็กค่อนข้างต่ำ และยังให้ค่าพลังงานทั้งสองเพศเกือบเท่ากันในเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปี (ซึ่งอาจถูกหลักความจริงก็ได้) ท่านสามารถคำนวณหาพลังงานที่ควรบริโภคต่อวันได้เอง ที่นี่ จากนั้นค่อยแบ่งปริมาณพลังงานในแต่ละมื้อตามรูปแบบการใช้ชีวิตของท่าน บรรณานุกรม
|