แบบทดสอบ (Test) หมายถึง ชุดของคำถาม (item) ที่มุ่งวัดความรู้ความสามารถ ทักษะ และสมรรถภาพทางสมองด้านต่าง ๆ ของผู้เรียน ใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบระดับความรู้ความเข้าใจของกลุ่มเป้าหมาย อาจเป็นความรู้ที่มีอยู่แต่เดิม ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ ความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรม หรือเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ ซึ่งแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความเข้าใจที่เกิดจากการเรียนรู้นี้เรียกว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement Test) ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีขั้นตอนการสร้างแบ่งได้ 3 ขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ ขั้นที่ 1 ขั้นวางแผนการสร้างแบบทดสอบ ประกอบด้วย 1) กำหนดจุดมุ่งหมายของการทดสอบ สิ่งสำคัญประการแรกที่ผู้สร้างข้อสอบจะต้องรู้ คือ อะไรคือจุดมุ่งหมายของการทดสอบ ทำไมจึงต้องมีการสอบ และจะนำผลการสอบไปใช้อย่างไร 2) กำหนดเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด เนื้อหาที่ต้องการวัดได้จากจุดมุ่งหมายของการทดสอบ ผู้สร้างข้อสอบจะต้องวิเคราะห์จำแนกเนื้อหาที่ต้องการวัดให้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด สำหรับพฤติกรรมที่ต้องการวัดนั้นอาจจำแนกตามทฤษฎีใด ทฤษฎีหนึ่ง เช่น ทฤษฎีของบลูม (Benjamin S. Bloom) ซึ่งจำแนกพฤติกรรมเป็น 6 ระดับ คือ ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า เป็นต้น 3) กำหนดลักษณะหรือรูปแบบของแบบทดสอบ อาจเลือกแบบทดสอบประเภทความเรียงหรือแบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test) แบบตอบสั้นและเลือกตอบหรือแบบทดสอบปรนัย (Objective Test) ซึ่งขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการทดสอบเช่นกัน 4) การจัดทำตารางวิเคราะห์เนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด เป็นการวางแผนผังการสร้างข้อสอบ ทำให้ผู้สร้างข้อสอบรู้ว่าในแต่ละเนื้อหาจะต้องสร้างข้อสอบในพฤติกรรมใดบ้าง พฤติกรรมละกี่ข้อ 5) กำหนดส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสอบ เช่น คะแนน ระยะเวลาการสอบ ขั้นที่ 2 ขั้นดำเนินการสร้างแบบทดสอบ เป็นการเขียนข้อสอบ ตามเนื้อหา พฤติกรรมและรูปแบบของแบบทดสอบที่กำหนดไว้ โดยจัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับร่าง ขั้นที่ 3 ขั้นตรวจสอบคุณภาพข้อสอบก่อนนำไปใช้ เมื่อสร้างแบบทดสอบแล้วจึงนำแบบทดสอบไปทดลองใช้เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งคุณภาพของแบบทดสอบอาจพิจารณาทั้งคุณภาพของแบบทดสอบรายข้อ ได้แก่ ความยาก (difficulty) และอำนาจจำแนก (discrimination) และคุณภาพของแบบทดสอบทั้งฉบับ ได้แก่ ความเที่ยงตรง (validity) และความเชื่อมั่น (reliability) การตรวจสอบสามารถทำได้ทั้งตรวจสอบเองและให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจ การตรวจเองเป็นการตรวจสอบคุณภาพของข้อคำถาม - คำตอบตามหลักการสร้างข้อสอบที่ดี สำหรับการตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เพื่อดูว่าข้อคำถามแต่ละข้อสัมพันธ์สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวัดหรือไม่ ครอบคลุมเนื้อหาและเป็นตัวแทนของเนื้อหาที่กำหนดหรือไม่ แบบทดสอบชนิดเลือกตอบ (Multiple Choices) รูปแบบทั่วๆ ไปของแบบทดสอบชนิดเลือกตอบจะประกอบด้วยตัวคำถาม (Stem) ซึ่งเขียนเป็นประโยคที่สมบูรณ์ และตัวคำตอบ (Option) ให้เลือกตอบ ซึ่งตัวคำตอบจะประกอบด้วยคำตอบถูก (Key) และตัวลวงหรือคำตอบผิด (Distractor) แบบทดสอบชนิดเลือกตอบ ถ้าแบ่งตามเงื่อนไขของการเลือกตอบจะแบ่งได้ 4 ประเภท คือ 1. แบบคำตอบถูกคำตอบเดียว (One Correct Answer) แบบนี้มีตัวเลือกที่ถูกต้องเพียงข้อเดียว นอกนั้นเป็นตัวลวง เช่น อำเภอสัตหีบอยู่ในจังหวัดอะไร ก. ชลบุรี ข. ราชบุรี ค. สระบุรี ง. จันทบุรี 2. แบบคำตอบดีที่สุด (Best Answer) แบบนี้ตัวเลือกจะถูกทุกข้อแต่จะมีเพียงข้อเดียวที่ถูกต้องมากที่สุด คำสั่งในการตอบจะให้เลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว เช่น ปัจจุบันสัตว์ป่ามีจำนวนน้อยกว่าเมื่อ 50 ปีที่แล้วเพราะเหตุใด ก. มีคนเพิ่มมากขึ้น ข. สัตว์ป่าเกิดน้อยลง ค. ป่าไม้ถูกทำลายไปมาก ง. คนนิยมกินสัตว์ป่ามากขึ้น 3. แบบเลือกคำตอบผิด (False Answer) รูปแบบนี้ตรงกันข้ามกับแบบแรกคือมีคำตอบผิดเพียงคำตอบเดียว โดยให้ผู้ตอบเลือกตัวเลือกที่ผิด เช่น คำในข้อใดเขียนผิด ก. ใฝ่ฝัน ข. บันใด ค. ปักษ์ใต้ ง. หลงใหล 4. แบบเปรียบเทียบ (Analogy Type) รูปแบบนี้คำถามจะมีลักษณะแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งของสองชนิดโดยใช้เกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วกำหนดสิ่งของที่สามมาให้ ผู้ตอบจะต้องหาสิ่งของที่สี่ให้มีความสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกับสองสิ่งแรก เช่น มะม่วง : ดก ® ปลา : ? ก. ชุม ข. ชุก ค. เยอะ ง. หลาย การสร้างแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ การสร้างแบบทดสอบชนิดเลือกตอบโดยยึดหลักการจัดจำแนกระดับพฤติกรรมของ Bloom คือ ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า รายละเอียดดังนี้ 1. การเขียนข้อคำถาม การเขียนข้อคำถามเป็นการเลือกสถานการณ์ที่เป็นตัวแทนของเนื้อหา มาสร้างเป็นสิ่งเร้าเพื่อกระตุ้นให้ผู้ตอบได้สนองตอบและแสดงพฤติกรรมออกมา การวัดพฤติกรรมความรู้แต่ละระดับจะมีลักษณะการใช้ข้อคำถามต่างกัน ดังนี้ 1.1 ความรู้ ความจำ เป็นการวัดสมรรถภาพสมองด้านการระลึกออกของความจำ เป็นการวัดสิ่งที่เคยเรียน เคยมีประสบการณ์หรือเคยรู้เห็นมาก่อนแล้ว สามารถถามได้ 3 แบบ คือ 1) ถามความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง - ถามเกี่ยวกับคำศัพท์และนิยาม ได้แก่ การถามชื่อ คำแปล ความหมาย ตัวอย่าง คำตรงข้ามของคำศัพท์ นิยาม สัญลักษณ์ เช่น สระลดรูปหมายถึงอะไร ระยะฟักตัวของโรคคือช่วงเวลาใด - ถามเกี่ยวกับสูตร กฎ ความจริง และความสำคัญ ถามสูตร กฎ เป็นการถามถึงความหมายของสูตร หลักการ ทฤษฎีหรือกฎเกณฑ์ที่ได้พิสูจน์หรือยอมรับกันแล้ว ถามความจริง เป็นการถามเนื้อเรื่อง ใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่าน ขนาด จำนวนสิ่งของ สถานที่เกิดเหตุการณ์ เวลา ถามความสำคัญของเรื่อง คุณสมบัติเด่น – ด้อย วัตถุประสงค์ของเรื่อง ประโยชน์ – โทษ สิทธิ - หน้าที่ เช่น การหาพื้นที่วงกลมต้องใช้สูตรใด เครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสีค้นพบที่ใด 2) ถามความรู้เกี่ยวกับวิธีดำเนินการ เป็นการถามวิธีประพฤติปฏิบัติและวิธีดำเนินการ - ถามวิธีประพฤติปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน ธรรมเนียมประเพณี เช่น คำประพันธ์ประเภทสดุดีและยอพระเกียรตินิยมแต่งด้วยร้อยกรองชนิดใด - ถามลำดับขั้นและแนวโน้ม ลำดับที่ เช่น ข้อใดเป็นลำดับขั้นของการเจริญเติบโตของผีเสื้อ - ถามการจำแนกประเภท จัดหมวดหมู่ เช่น ข้อใดไม่ใช่สัตว์ป่าสงวน - ถามเกณฑ์ คตินิยมในการวินิจฉัย เกณฑ์ในการตรวจสอบ เช่น ด่างทับทิมไม่ใช่สารประกอบประเภทด่างเพราะอะไร - ถามวิธีการหรือวิธีดำเนินงาน ขบวนการที่ใช้ในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ข้อใดเป็นหลักการในการเลือกรับอารยธรรมตะวันตก 3) ถามความรู้เกี่ยวกับความรู้รวบยอด - ถามหลักวิชาและสรุปสาระสำคัญของเรื่องราว เช่น หลักเบื้องต้นของการปฐมพยาบาลคือข้อใด - ถามทฤษฎีและโครงสร้างของหลักวิชา เช่น สี่เหลี่ยมผืนผ้ากับสี่เหลี่ยมด้านขนานมีลักษณะใดที่เหมือนกัน 1.2 ความเข้าใจ เป็นการวัดความสามารถในการนำความรู้ที่มีอยู่แล้วไปแก้ปัญหาใหม่ที่คล้ายกับของเดิม 1) การแปลความ - ถามการแปลความหมายของคำ กลุ่มคำ ประโยคหรือข้อความ ภาพ สูตร กฎ กราฟ หรือสัญลักษณ์ ให้ยกตัวอย่างคำหรือข้อความ เช่น “บ๊ะ” เป็นคำพูดในลักษณะใด - ถามให้แปลถอดความจากภาษาสำนวนโวหาร โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เป็นภาษาสามัญ หรือจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่ง เช่น น้ำนิ่งไหลลึก หมายความว่าอย่างไร 2) การตีความ มีรูปแบบคำถามที่สำคัญ 2 แบบ คือ ให้ตีความหมายของเรื่องและให้ตีความหมายของข้อเท็จจริง - ถามให้นักเรียนสรุปหรือย่อความหมายของเรื่องราวทั้งหมดใหม่ให้สั้นลงแต่ยังคงความหมายเดิม เช่น คำประพันธ์ข้างต้นให้คติอะไรแก่เรา - ถามให้ตีความหมายของข้อเท็จจริงซึ่งจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์และเชื่อถือได้ เช่น ผลการทดลองนี้มีลักษณะเช่นไร 3) การขยายความ เป็นความสามารถในการขยายความคิดให้ลึก กว้างออกไปจากข้อเท็จจริงที่มีอยู่อย่างมีเหตุผล การเขียนคำถามประเภทนี้จะต้องมีข้อมูลหรือแนวโน้มเพียงพอที่จะนำมาขยายความได้อย่างสมเหตุสมผล มีแนวการถาม 3 แบบ คือ ถามให้ขยายไปข้างหน้า ถามให้ขยายย้อนไปข้างหลัง และถามให้ขยายในระหว่าง เช่น เมื่อเกิดน้ำท่วมในเมืองนานๆ จะเกิดโรคชนิดใดตามมา ถ้าแรงโน้มถ่วงของโลกลดลง จะเกิดอะไรขึ้น 1.3 การนำไปใช้ เป็นความสามารถในการนำเอาความรู้และความเข้าใจที่มีไปแก้ปัญหาแปลกใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคย ไม่เหมือนกับสิ่งที่เคยเรียนมาแล้ว - ถามความสอดคล้องระหว่างหลักวิชากับการปฏิบัติ เช่น ข้อใดเป็นการทำลายพันธุ์สัตว์ - ถามขอบเขตของการใช้หลักวิชาและการปฏิบัติ เช่น วัตถุชนิดใดควรหาปริมาตรโดยการแทนที่น้ำ - ถามให้อธิบายหลักวิชา เช่น เหตุผลในข้อใดที่ทำให้ปริมาณปลาในอ่าวไทยลดน้อยลง - ถามให้แก้ปัญหา เช่น ถ้าไม่มีอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เราจะรับประทานอะไรทดแทนเพื่อให้ได้คุณค่าอาหารเหมือนกัน - ถามเหตุผลของการปฏิบัติ เช่น ชาวสวนนิยมขยายพันธุ์พุทราด้วยวิธีใด เพราะเหตุใด 1.4 การวิเคราะห์ เป็นความสามารถในการแยกแยะสิ่งต่างๆ ออกเป็นส่วนย่อยตามหลักและกฎเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ 1) การวิเคราะห์ความสำคัญ เป็นความสามารถในการค้นหาส่วนประกอบว่าส่วนใดสำคัญ ส่วนใดเป็นสาเหตุหรือผลลัพธ์ - ถามให้ค้นหาชนิด เพื่อดูว่าสิ่งนั้น เรื่องนั้นจัดอยู่ในประเภทใด พวกใด ในแง่มุมใหม่ เช่น คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวประเภทใด - ถามให้วิเคราะห์สิ่งสำคัญ จุดเด่น จุดด้อย เช่น จุดมุ่งหมายสำคัญของเรื่องนี้คืออะไร - ถามให้วิเคราะห์เลศนัย เจตนา ความคิดที่แฝงอยู่ เช่น อะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการค้นหาความสัมพันธ์ เกี่ยวข้อง ระหว่างคุณลักษณะของเรื่องราว เหตุการณ์ - ถามให้หาความสัมพันธ์แบบตามกัน เช่น ข้อความนี้สนับสนุนอะไร - ถามให้หาความสัมพันธ์แบบกลับกัน เช่น ข้อใดขัดแย้งกับกฎเกณฑ์นี้ - ถามให้หาความไม่สัมพันธ์กัน เช่น สิ่งใดไม่สอดคล้องกับตัวอย่างข้างต้น - ถามให้หาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยกับส่วนย่อย เช่น โคลงบทสุดท้ายเกี่ยวข้องกับบทแรกอย่างไร - ถามให้หาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยกับเรื่องทั้งหมด เช่น สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใดมากที่สุด 3) การวิเคราะห์หลักการ เป็นความสามารถในการค้นหาโครงสร้าง ระบบของเรื่องราว เหตุการณ์ - ถามให้หาโครงสร้างของเรื่อง เช่น ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตบ - ถามให้หาหลักการของเรื่องราว เหตุการณ์ เช่น ข้อใดเป็นหลักในการซื้อยา 1.5 การสังเคราะห์ เป็นความสามารถในการรวมสิ่งต่างๆ ตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปเข้าด้วยกัน เพื่อให้เป็นสิ่งใหม่ที่คุณลักษณะเปลี่ยนไปจากเดิม 1) การสังเคราะห์ข้อความ เป็นความสามารถในการนำเอาความรู้และประสบการณ์มาผสมกันเพื่อให้เกิดเป็นผลผลิตใหม่ เช่น จากข้อความข้างต้นท่านเห็นด้วยกับผู้เขียนหรือไม่ เพราะเหตุใด 2) การสังเคราะห์แผนงาน เป็นความสามารถในการสร้างแผนงาน เค้าโครงของโครงการ เช่น ในการทดลองเรื่องความหนาแน่นของน้ำ สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือข้อใด 3) การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการนำเอาความสำคัญและหลักการมาผสมให้เป็นเรื่องเดียวกัน จนทำให้เกิดสิ่งสำเร็จชิ้นใหม่ เช่น สูตรการหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมพัฒนามาจากสูตรการหาพื้นที่ของรูปใด 1.6 การประเมินค่า เป็นความสามารถในการตีราคาสิ่งต่างๆ โดยการสรุปอย่างมีหลักเกณฑ์ว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า ดี เลว เหมาะสมอย่างไร 1) ประเมินค่าโดยอาศัยเกณฑ์ภายใน เป็นการใช้เนื้อหาของเรื่องราวนั้นๆ เป็นเกณฑ์ - ถามให้ประเมินความถูกต้อง เที่ยงตรงของเรื่อง - ถามให้ประเมินความเป็นเอกพันธ์ของเรื่อง - ถามให้ประเมินความเหมาะสม ประสิทธิภาพของวิธีการ - ถามให้ประเมินความสมเหตุสมผลของผลลัพธ์ 2) ประเมินค่าโดยอาศัยเกณฑ์ภายนอก เป็นการใช้ค่านิยม คุณธรรม หรือเกณฑ์ที่สังคมยอมรับมาวินิจฉัย - ถามให้ประเมินสรุปตามเกณฑ์ที่กำหนดให้ - ถามให้ประเมินความเด่นด้อยระหว่างของสองสิ่ง - ถามให้ประเมินความเด่นด้อยกับสิ่งที่ถือว่าเป็นมาตรฐาน เช่น วรรณคดีเรื่องใดใกล้เคียงกับชีวิตจริงของมนุษย์มากที่สุด ในสายตาของคนทั่วไปคิดว่านางวันทองเป็นคนเช่นไร 2. การเขียนตัวเลือก ตัวเลือกที่ดีต้องมีความเป็นเอกพันธ์ คือ มีคุณค่าเท่ากัน ไม่แตกต่างจากตัวเลือกอื่นอย่างเด่นชัด สามารถลวงผู้ที่ไม่มีความรู้จริงและป้องกันการเดาได้ การเขียนตัวเลือกให้มีความเป็นเอกพันธ์มีวิธีการดังนี้ 2.1 ตัวเลือกทุกตัวเป็นประเภทเดียวกัน พวกเดียวกัน ภาคกลางของประเทศไทยมีลักษณะเช่นไร (ไม่ดี) ก. เป็นที่ราบ ® พื้นที่ ข. มีฝนตกชุก ® ฝน ค. ปลูกข้าวมาก ® อาชีพ ง. อากาศอบอุ่น ® อุณหภูมิ 2.2 ตัวเลือกทุกตัวมีโครงสร้างของข้อความและถ้อยคำเป็นแบบเดียวกัน สาเหตุที่ชาวชนบทอพยพเข้าสู่เมืองใหญ่ๆ คือข้อใด (ไม่ดี) ก. ความจน ข. ความแห้งแล้ง ค. ต้องการความปลอดภัย ง. ต้องการความสะดวกสบาย 2.3 ตัวเลือกทุกตัวมีความหมายและนัยไปในทิศทางเดียวกัน สาเหตุที่ชาวชนบทอพยพเข้าสู่เมืองใหญ่ๆ คือข้อใด (ไม่ดี) ก. ความจน ® ลบ ข. ความแห้งแล้ง ® ลบ ค. ความปลอดภัย ® บวก ง. ความสะดวกสบาย ® บวก คุณภาพของแบบทดสอบ แบบทดสอบที่ดีควรมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1. ความเชื่อมั่น (reliability) เป็นความคงเส้นคงวาของของคะแนนที่ได้จากการทดสอบโดยใช้แบบทดสอบนั้นหลายๆ ครั้งกับผู้เข้าสอบกลุ่มเดียวกัน ความเชื่อมั่นเป็นคุณภาพของแบบทดสอบทั้งฉบับ มีค่าตั้งแต่ 0 – 1 โดยมีแนวทางในการพิจารณา ดังนี้ ถ้าความเชื่อมั่นน้อยกว่า 0.70 หมายความว่าความน่าเชื่อถือค่อนข้างต่ำ (ควรปรับปรุง) ถ้าความเชื่อมั่นมากกว่าหรือเท่ากับ 0.70 หมายความว่าความน่าเชื่อถือยอมรับได้ (สังคม / มนุษยศาสตร์) ถ้าความเชื่อมั่นมากกว่าหรือเท่ากับ 0.80 หมายความว่าความน่าเชื่อถือยอมรับได้ (วิทยาศาสตร์ / คณิตศาสตร์) ถ้าความเชื่อมั่นมากกว่าหรือเท่ากับ 0.90 หมายความว่าความน่าเชื่อถือได้มาตรฐานระดับสากล 2. ความเที่ยงตรง (validity) เป็นความสอดคล้องของแบบทดสอบกับวัตถุประสงค์ในการวัด คือวัดได้ตรงกับสิ่งที่ต้องการจะวัด ความเที่ยงตรงแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (content validity) หมายถึงคุณสมบัติของแบบทดสอบที่สามารถวัดเนื้อหาวิชาได้ตรงตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตร ความเที่ยงตรงตามเกณฑ์ (criterion-related validity) หมายถึงคุณสมบัติของแบบทดสอบที่สามารถนำคะแนนจากการทดสอบนั้นมาใช้ในการพยากรณ์ผลการเรียนได้ ความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง (construct validity) หมายถึงคุณสมบัติของแบบทดสอบที่สามารถวัดสมรรถภาพของสมองด้านต่างๆ ได้ 3. ความเป็นปรนัย (objectivity) เป็นคุณสมบัติของแบบทดสอบ 3 ประการ คือ - อ่านแล้วเข้าใจตรงกัน - การตรวจให้คะแนนตรงกัน - การแปลความหมายของคะแนนตรงกัน 4. ความยาก (difficulty) หมายถึงสัดส่วนของจำนวนผู้ที่ทำข้อสอบถูกกับจำนวนผู้เข้าสอบทั้งหมด ความยากมีค่าตั้งแต่ 0 – 1 ใช้สัญลักษณ์ p แทนความยาก โดยมีความหมายดังนี้ ถ้า p <> 0.80 ข้อสอบง่ายมาก 5. อำนาจจำแนก (discrimination) เป็นประสิทธิภาพของข้อสอบในการจำแนกเด็กเก่งออกจาก เด็กอ่อน อำนาจจำแนกมีค่าตั้งแต่ -1 ถึง +1 ใช้สัญลักษณ์ r แทนอำนาจจำแนก โดยมีความหมายดังนี้ ถ้า r <> 0.60 ข้อสอบมีอำนาจจำแนกดีมาก คุณสมบัติที่ดีของตัวเลือก 1. ค่าความยากง่ายมีค่าอยู่ระหว่าง 0.20 – 0.80 2. ค่าอำนาจจำแนกมีค่าเป็นบวก ตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป คุณสมบัติที่ดีของตัวลวง 1. ต้องมีผู้เลือกตอบไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 และควรเลือกตอบน้อยกว่าตัวเลือก 2. ค่าอำนาจจำแนกต้องมีค่าเป็นลบ สรุปแนวทางการตรวจข้อสอบและแก้ไขปรับปรุงข้อสอบ 1. ความสอดคล้อง (Conformity) : Item Spec. หลักสูตร การเรียนการสอน 2. ความชัดเจน (Communicability) : สถานการณ์ คำถาม ตัวเลือก 3. ความเหมาะสม (Suitability) : ความยากง่ายของสถานการณ์ ความยากง่ายของคำถาม ทักษะ / กระบวนการคิด ความเป็นกลาง / ไม่ลำเอียง 4. ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) : เฉลยถูกต้อง คำตอบถูกต้องเพียงข้อเดียว |