E85 กับ แก๊สโซฮอล์ 95 อันไหนดีกว่ากัน

สรุปข้อมูลเหล่านี้ก็จะทำให้คุณทราบว่า รถของคุณเหมาะกับน้ำมันแบบไหน เช่น

รถใช้งานทุกวัน

แนะนำทำให้เติมแก๊สโซฮอลล์ต่างๆได้ตามที่คู่มือรถแนะนำ เช่น แก๊สโซฮอลล์ 95 91 E20 E85 ตามที่รถรองรับ ส่วนของน้ำมันดีเซลก็เลือกตามรุ่นและปีของรถที่เหมาะสมได้เลย

รถจอดนานและไม่ได้ใช้งานทุกวัน หรือรถสะสม

แนะนำให้เติมเบนซิน 95 เพราะระเหยช้า และสามารถรักษาเครื่องยนต์ได้ดี เพราะหากคุณเติมแก๊สโซฮอลล์ก็จะทำให้น้ำมันระเหยไปไว และเมื่อคุณต้องการจะใช้น้ำมันอาจลดไปเหลือน้อยก็เป็นได้

รถที่ต้องการใช้ความเร็ว 

แน่นอนการใช้เบนซิน 95 ที่ค่าออกเทนสูงสุด จะช่วยรีดกำลังเครื่องได้ดีที่สุด

แต่การเลือกใช้น้ำมัน E85 สามารถช่วยให้รีดสมรรถนะกำลังของเครื่องและประหยัดอีกด้วย แต่ก็น้อยรุ่นที่จะสามารถเติมได้ ก็สามารถลองหาข้อมูลเรื่องการโมดิฟายให้เครื่องยนต์คุณสามารถเติม E85 ได้เช่นกัน

รถที่ต้องเดินทางต่างจังหวัด

แนะนำให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 91 หรือ 95 ตามสมรรถนะที่ต้องการ หากคุณใช้ความเร็วสูง ก็จำเป็นต้องเติม 95 แต่หากคุณขับสบายๆไม่รีบร้อน 91 ก็จะช่วยคุณประหยัดได้ดี และหากรถคุณเติม E20 ได้ก็ถือว่าดีมากๆสำหรับทั้งสมรรถนะและความประหยัดในด้านราคา

เมื่อคุณจับหลักได้แล้วว่าคุณใช้รถยนต์สไตล์ไหน การขับขี่แบบไหน และรถของคุณรองรับอะไรบ้าง การเติมน้ำมันของคุณก็จะเป็นเรื่องที่วางแผนได้ และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี 

E85 กับ แก๊สโซฮอล์ 95 อันไหนดีกว่ากัน

  • 2 มี.ค. 2021 เวลา 10:54 • ยานยนต์

"น้ำมันกลุ่มเบนซินประเภทใด เติมแล้วถูกสุด เติมแล้วคุ้มสุด?"

"E20 และ E85 แท้จริงไม่ช่วยประหยัดเงินค่าน้ำมันจริงหรือไม่?"

"ต้องต่างกันกี่บาทถึงจะคุ้ม?"

คำตอบอย่างรวบรัดของคำถาม 3 ข้อนี้ คือ "ณ ปัจจุบัน (มีนาคม พ.ศ. 2564) E20 ถูกที่สุด ส่วน E85 ในทางทฤษฎีจะแพงกว่า E20, ส่วนอนาคตนั้นจะต้องขึ้นกับนโยบายราคาน้ำมันของรัฐบาลในขณะนั้น โดยที่ E20 ต้องมีราคาไม่เกิน 96.6% ของแก๊สโซฮอล์ และ E85 ต้องมีราคาไม่เกิน 77.4% ของ E20"

แต่ถ้าคิดว่าคำตอบนี้สั้นเกินไป อยากได้อะไรยาวๆ เชิญอ่านเนื้อความต่อจากนี้ครับ

ปูพื้นฐานกันก่อนครับ ปัจจุบัน น้ำมันในกลุ่มเบนซินมี 5 ประเภทหลักๆ คือ เบนซิน, แก๊สโซฮอล์ 95, แก๊สโซฮอล์ 91, E20 และ E85 ซึ่งน้ำมัน 4 ประเภทหลังนี้จะเกิดจากการนำน้ำมันเบนซิน ผสมกับเอทานอลในอัตราส่วนต่างๆ

แก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 จะเป็นน้ำมันเบนซิน 90% และเอทานอล 10% (แต่จะมีส่วนผสมของสารเพิ่มออกเทนที่ต่างกัน ทำให้เกิดเป็นออกเทน 95 และ 91 อย่างไรก็ตาม หากเครื่องยนต์เป็นรุ่นที่ถูกออกแบบมาให้รองรับเชื้อเพลิงออกเทน 91 ได้ ค่าออกเทน 95 และ 91 จะไม่มีผลมากนักกับอัตราสิ้นเปลือง แต่หากเป็นเครื่องยนต์ที่ออกแบบให้เติม 95 แล้วไปเติม 91 อันนี้จะมีผลกับอัตราสิ้นเปลืองได้)

E20 จะเป็นน้ำมันเบนซิน 80% และเอทานอล 20%

E85 จะเป็นน้ำมันเบนซิน 15% และเอทานอล 85%

ปัจจุบันนี้ รถยนต์ในสัดส่วนไม่น้อยบนท้องถนน ถูกออกแบบให้รองรับน้ำมัน E20 และ E85 ได้ตั้งแต่ผลิต จึงสามารถเติมได้ ไม่ต้องกังวลถึงความชำรุดเสียหายของอุปกรณ์ต่างๆ ในภายหลัง

แต่ครั้นเมื่อจะเลือกเติม ผู้อ่านเจ้าของรถหลายท่านอาจเคยพบประโยคกึ่งค่อนขอดจากผู้คนรอบตัวมากมาย หนึ่งในประโยคนั้นที่จะหยิบมาเป็นประเด็นในวันนี้ คือประโยคที่ว่า "E20 E85 นั้น แม้จะมีราคาต่อลิตรถูกกว่า แต่เมื่อใช้งาน จะหมดไวกว่า คิดแล้วไม่ได้ถูกกว่าแก๊สโซฮอล์เลย"

ใจความสำคัญที่เราจะสนใจคือ

"E20, E85 เมื่อใช้งานจะหมดไวกว่า" ซึ่งเฉพาะส่วนนี้เป็นความจริงครับ

เพราะน้ำมันจำนวนหนึ่งลิตรเท่ากัน เมื่อนำมาเผา น้ำมันแต่ละชนิดจะปล่อยพลังงานไม่เท่ากัน โดยที่ เบนซิน จะได้พลังงานมากที่สุด ตามมาด้วยแก๊สโซฮอล์ (ซึ่ง 95 และ 91 จะได้ใกล้เคียงกัน), ตามด้วย E20 และน้อยที่สุดคือ E85

แล้วผลต่างเป็นเท่าใด? ผลต่างที่ว่าทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง?

ในทางทฤษฎี น้ำมันเบนซิน 1 ลิตร จะให้พลังงานประมาณ 31.5 เมกะจูล (43 เมกะจูล/กิโลกรัม และ 0.733 กิโลกรัม/ลิตร) ในขณะที่เอทานอล 1 ลิตร จะให้พลังงานประมาณ 21.3 เมกะจูลเท่านั้น (26.95 เมกะจูล/กิโลกรัม และ 0.7905 กิโลกรัม/ลิตร)

(หมายเหตุ: เมกะจูล เป็นหน่วยวัดปริมาณพลังงานอย่างหนึ่ง คล้ายกับที่เราวัดระยะทางเป็นกิโลเมตร น้ำหนักเป็นกิโลกรัม ส่วนความร้อนจะวัดเป็นกิโลจูลหรือเมกะจูล โดย 1000 กิโลจูล เป็น 1 เมกะจูล)

ดังนั้นเมื่อมีการผสมเอทานอลลงไปในเบนซินตามอัตราส่วน 10% 20% และ 85% จะทำให้พลังงานที่ได้ต่อการเผาเชื้อเพลิงแต่ละลิตร ลดลงจาก 31.5 เมกะจูลในเบนซิน เหลือ 30.5, 29.5 และ 22.8 เมกะจูล ตามลำดับ ดังจะเห็นได้จากตารางด้านล่างนี้

ค่าคุณสมบัติพื้นฐานของเชื้อเพลิงชนิด เบนซิน, แก๊สโซฮอล์ E10, E20 และเอทานอล อ้างอิงจาก https://www.mdpi.com/1996-1073/11/1/221/htm

เมื่อเอทานอลที่ว่าถูกผสมกับเบนซินนำมาจำหน่าย ขณะใช้งาน เครื่องยนต์จะรับรู้ได้ว่าจำนวนพลังงานลดลง ระบบอัตโนมัติจะสั่งการให้ฉีดน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยให้ได้พลังงานเท่ากับที่ควรจะเป็น

ยิ่งมีส่วนผสมของเอทานอลมาก พลังงานยิ่งบาง ยิ่งต้องชดเชยมาก เมื่อนำค่าพลังงานของเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ มาเทียบอัตราส่วนแล้วจะได้ดังนี้

ตารางเทียบอัตราส่วนการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงต่างๆ

ตัวอย่างเช่น E20 หนึ่งลิตร จะให้พลังงานเทียบเท่าแก๊สโซฮอล์ 95/91 จำนวน 0.9665 ลิตร และเทียบเท่า E85 จำนวน 1.291 ลิตร

ถ้าปัจจุบันรถคันใดเติมแก๊สโซฮอล์ แล้ววิ่งได้ถังละ 500 กิโลเมตร เมื่อเปลี่ยนไปใช้ E20 จะสามารถคาดการณ์ได้อย่างหยาบๆ ว่า น้ำมันหนึ่งถังเท่าเดิม แต่พลังงานที่มีอยู่ในน้ำมันแต่ละลิตรเบาบางลง จะเหลือระยะทางที่วิ่งได้ 500 x 0.9665 หรือประมาณ 480-485 กิโลเมตร

หมายเหตุ: อย่างไรก็ตาม รถยนต์แต่ละคันมีการออกแบบที่ไม่เหมือนกัน อาจเผาไหม้ประเภทหนึ่งได้ดี สมบูรณ์หมดจดกว่าอีกประเภทหนึ่ง ส่งผลให้ได้อัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้น ดังนั้นในการใช้งานจริง อัตราสิ้นเปลืองจึงอาจไม่เป็นไปตามอัตราส่วนในตารางนี้

กลับมาที่คำถามว่า น้ำมันประเภทใดเติมแล้วคุ้มที่สุด? หลักการอย่างคร่าวที่สุดก็คือ ราคาต้องถูกลงมามากกว่าอัตราส่วนของพลังงานที่หายไป

ราคาน้ำมันขายปลีกในกรุงเทพฯ ปริมณฑล วันที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2564 ข้อมูลจากกระทรวงพลังงาน http://www.eppo.go.th/epposite/index.php/th/petroleum/price/oil-price?orders[publishUp]=publishUp&issearch=1

แก๊สโซฮอล์ ทั้ง 91 95 หนึ่งลิตร ได้พลังงาน 30.5 ในขณะที่เบนซินได้ 31.5 ดังนั้น แก๊สโซฮอล์ 1 ลิตร จะมีค่าเทียบเท่าเบนซิน 0.9676 ลิตร

แก๊สโซฮอล์ 95 ราคาลิตรละ 26.05 บาท // เบนซิน 95 ราคา ลิตรละ 33.46 บาท

แต่แก๊สโซฮอล์เต็มลิตร มีค่าเทียบเท่าเบนซิน 0.9676 ลิตร ซึ่งเบนซิน 0.9676 ลิตร มีราคา 33.46 x 0.9676 = 32.38 บาท ในขณะที่แก๊สโซฮอล์ 95 มีราคาเพียง 26.05 บาท

ดังนั้น แก๊สโซฮอล์ 95 ถูกกว่าเบนซิน คิดเป็นลิตรละ 6.33 บาท

E20 หนึ่งลิตร ได้พลังงาน 29.5 ส่วนแก๊สโซฮอล์จะได้ 30.5 ดังนั้น E20 หนึ่งลิตร มีค่าเทียบเท่าแก๊สโซฮอล์ 91 0.9665 ลิตร

E20 ราคาลิตรละ 24.54 บาท // แก๊สโซฮอล์ 91 ราคาลิตรละ 25.78 บาท

E20 เต็มลิตร มีค่าเทียบเท่าแก๊สโซฮอล์ 0.9665 ลิตร ซึ่งแก๊สโซฮอล์ 91 จำนวน 0.9665 ลิตร จะมีราคา 25.78 x 0.9665 = 24.92 บาท ในขณะที่ E20 มีราคา 24.54 บาท

ดังนั้น E20 ถูกกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 คิดเป็นลิตรละ 0.38 บาท

E85 หนึ่งลิตร ได้พลังงาน 22.8 ส่วน E20 จะได้ 29.5 ดังนั้น E85 หนึ่งลิตร มีค่าเทียบเท่า E20 0.7749 ลิตร

E85 ราคาลิตรละ 20.54 บาท // E20 ราคาลิตรละ 24.54 บาท

E85 เต็มลิตร มีค่าเทียบเท่า E20 0.7749 ลิตร ซึ่ง E20 จำนวน 0.7749 ลิตร จะมีราคา 24.54 x 0.7749 = 19.02 บาท ในขณะที่ E85 มีราคาสูงกว่า คือ 20.54 บาท

ดังนั้น E85 ในทางทฤษฎีจะแพงกว่า E20 ลิตรละ 1.52 บาท

การพิสูจน์ตามทฤษฎีบ่งบอกได้ว่าราคาปัจจุบันของ E85 นั้นไม่จูงใจผู้ใช้รถยนต์ สอดคล้องกับสภาวะที่ยอดการใช้งาน E85 ลดลงอย่างมาก เนื่องจากผู้ใช้งานหลายคนเมื่อทดลองจับค่าอัตราสิ้นเปลืองจริงแล้วพบว่าค่าใช้จ่ายสูง จึงเปลี่ยนกลับไปใช้ E20

แม้กระทั่ง E20 เอง นโยบายรัฐบาลที่ต้องการผลักดันน้ำมัน E20 นั้น ก็ยังติดอุปสรรคที่การกำหนดราคาที่ดูจะไม่สอดคล้องกันกับผลลัพธ์ที่ต้องการ

ดังที่กล่าวว่าถ้าจับคู่เทียบกับแก๊สโซฮอล์ 91 แล้ว ถูกกว่ากันจริงๆ เพียง 0.38 บาท/ลิตรเท่านั้น

ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อแรงจูงใจในการเลือกใช้ E20 ได้ โดยเฉพาะกับรถยนต์รุ่นที่รองรับน้ำมันออกเทน 91 แม้ว่าจะยังคงได้ชื่อว่าเป็นน้ำมันกลุ่มเบนซินที่คุ้มค่าที่สุดอยู่ก็ตาม

อาจมีผู้ใช้งานจำนวนหนึ่งที่ใช้งานรถยนต์ที่รองรับ E20 แต่กลับยังเติมแก๊สโซฮอล์ 95/91 ด้วยเหตุผลที่ว่าส่วนต่างไม่จูงใจพอ

การศึกษาหาการกำหนดราคาเชื้อเพลิงใหม่ ให้สอดคล้องกับค่าสัดส่วนพลังงาน จะสามารถเป็นผลดีกับความต้องการในการผลักดัน E20 เนื่องจากอาจดึงกลุ่มผู้ใช้งานดังกล่าว ให้เปลี่ยนกลับมาเติม E20 ได้มากขึ้น เร่งให้ผลลัพธ์ให้ประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น เร็วยิ่งขึ้น ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ช่วยพยุงการเกษตรภายในประเทศ ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลได้อีกมากในอนาคต