ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก เป็นอีกหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักที่ได้ผลมาก หากทำการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผล เป็นการ ผ่าตัดลดความอ้วน ที่เปลี่ยนชีวิตของคนไข้เลยทีเดียว เพราะเปลี่ยนจากจากไซส์ XXL เป็น size M ได้ ในเวลาไม่ถึง 1 ปี พร้อมโรคต่างๆ ที่มาพร้อมความอ้วนก็จะหายไปหมด Show
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร แบบนี้ มีมานานกว่า 20 ปีและได้รับการยอมรับในต่างประเทศ เช่น ประเทศออสเตรเลีย ที่มีผ่าตัดลดน้ำหนัก ( bariatric surgery) มากกว่า 10,000 ราย/ปี และอยู่ในโปรแกรมหลักประกันสุขภาพ เช่น เดียวกับประเทศในยุโรปหลายแห่งที่ ผ่าตัดลดความอ้วน ฟรีเช่นกัน เพราะในระยะยาวรัฐบาลสามารถลดค่าใช้จ่าย ค่ายา ค่ารักษาโรคที่เกิดจากความอ้วนเช่นเบาหวาน ความดัน โรคหยุดหายใจขณะหลับ ฯลฯ ได้เป็นอย่างดี ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก คืออะไร? (Bariatric surgery)ในอดีต หากมีคนไข้เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร เราจะรักษาด้วยการ ตัดกระเพาะ และพบว่าหลังการ ผ่าตัดกระเพาะอาหาร ออกไปคนไข้จะมีน้ำหนักตัวลดลง จึงเริ่มมีการทดลอง การผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดความอ้วนบ้าง ซึ่งมาทำกันจริงๆ จังๆ ในปี 1950 ถึงแม้เรามักจะเรียกการผ่าตัดลดน้ำหนักว่า ตัดกระเพาะ แต่จริงๆ การผ่าตัดแรกเริ่มเป็นการผ่าตัดลำไส้เป็นหลัก เพราะมุ่งเน้นไม่ให้มีการดูดซึมอาหาร เรียกว่ากินได้แต่ดูดซึมไม่ได้จึงผอมลง โดยการผ่าตัดในอดีตนั้น ได้นำเอาลำไส้ส่วนบนมาเชื่อมกับลำไส้ส่วนล่าง เราเรียกการผ่าตัดนี้ว่า Jejunoileal Bypass (JIB) มีจุดประสงค์เพื่อ ไม่ให้ อาหารที่ทานไปมีการย่อยและดูดซึมมากนักและขับถ่ายออกไปเลย โดยยังเก็บกระเพาะไว้ ทำให้ทานอิ่มสบายเหมือนเดิม เมื่อกินแต่ไม่ดูดซึม น้ำหนักย่อมลดลงนั่นเอง แล้วจึงพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดต่อมา กลายเป็นการผ่าตัดกระเพาะแบบบายพาสในปัจจุบัน ที่เรียกว่า Roux-en-Y เราจึงเรียกการ ผ่าตัดกระเพาะลดความอ้วน แบบนี้ว่า Roux-en-Y Gastric Bypass หรือ REYGB หรือขอเรียกสั้นๆ ว่าการ ผ่าตัดกระเพาะแบบบายพาส นะครับ
ผ่าตัดกระเพาะ ลดความอ้วน เหมาะกับใครบ้าง ?การผ่าตัดเหมาะกับคนอ้วนน้ำหนักเกิน แต่เราอาจจะไม่สามารถใช้เกณฑ์น้ำหนักตัวอย่างเดียวในการตัดสินใจ เพราะแต่ละคนมีส่วนสูงไม่เท่ากัน ดังนั้น จึงมีการใช้ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ในการวัดว่าใครอ้วนกว่าใคร โดยเอาน้ำหนักที่เป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงที่เป็นเมตร (หารสองครั้ง) หรืออาจจะสามารถคำนวน BMI ออนไลน์ง่ายๆ โดยคลิ๊ก >> โปรแกรมคำนวณ ดัชนีมวลกาย BMI เมื่อได้ค่า BMI แล้วก็มาดูว่าใครที่เหมาะสมที่จะ ผ่าตัดกระเพาะ ได้ดังนี้
ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์ 086-570-7040
สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์ ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนักได้ผลจริงหรือไม่ ?เนื่องจาก การผ่าตัดกระเพาะอาหาร ลดน้ำหนัก จะทำให้กระเพาะมีขนาดเล็กลง ส่งผลให้สามารถรับประทานอาหารได้น้อยลง ทำให้มีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ ในขณะเดียวกันผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดก็ควรที่จะมีการออกกำลังกาย ควบคู่ไปกับการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อสุขภาพที่ดีด้วยครับ ส่วนในเรื่องของผลลัพธ์หลังการผ่าตัดก็ขึ้นอยู่กับผู้รับการผ่าตัด โดยอาจจะได้ผลลัพธ์ไม่เท่ากันในแต่ละราย และขึ้นกับเทคนิคการผ่าตัดที่เลือกใช้ เดี๋ยวบทความถัดจากนี้ เราจะพูดถึงการผ่าตัดแต่ละวิธีกันครับ
ผ่าตัดกระเพาะลดความอ้วน อันตรายหรือไม่ ?หลังจากอ่านเรื่อง ข้อดีของการลดน้ำหนักด้วยการลดขนาดกระเพาะอาหารกันไปแล้ว ทีนี้เรามาดูเรื่องของความเสี่ยงกันดีกว่าว่า มีอะไรกันบ้าง การ ผ่าตัดกระเพาะ ในอดีต ต้องอย่าลืมว่าเป็นการผ่าตัดแบบเปิดช่องท้องขนาดใหญ่ แผลใหญ่ เจ็บมากและฟื้นตัวช้า อีกทั้งเกณฑ์เดิมคือจะ ตัดกระเพาะ ในคนไข้ที่มีโรคอ้วนรุนแรงมาก หลายคนมีโรคประจำตัวที่ทำให้การผ่าตัด มีความเสี่ยงสูงไปด้วย แต่ปัจจุบัน การผ่าตัดมีความปลอดภัยมากขึ้น เพราะเป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Minimally Invasive Surgery) มีแผลน้อยลงจากเดิม แผลเล็กขนาดเพียง 1-2 นิ้วเท่านั้น เนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สามารถทำการผ่าตัดแบบสอดกล้อง ซึ่งทำให้บาดแผลมีขนาดเล็ก มีความเจ็บน้อย และสามารถฟื้นตัวได้เร็ว รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงในการผ่าตัด
หลังการผ่าตัดกระเพาะ นอกจากน้ำหนักตัวที่ลดลงแล้ว จะทำให้โรคต่างๆ ที่มาพร้อมความอ้วน เช่นโรคหยุดหายใจขณะหลับก็จะดีขึ้นได้ อาการของโรคนี้คือกลางคืนนอนไม่ค่อยหลับเพราะกรนมาก สลับกับการหยุดหายใจ ทำให้กลางวันง่วงนอนมาก สลึมสะลือทั้งวัน มีผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก เพราะไม่ค่อย active และโรคความดันสูง ควบคุมไม่ได้ หลังการผ่าตัดจะสามารถหยุดยาเบาหวาน ความดัน ไขมันและยาอื่นๆ ที่ทานไปได้เกือบหมด สุขภาพดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์ 086-570-7040
สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์ รักษาเบาหวานให้หายขาด ด้วยการ ผ่าตัดกระเพาะความน่ากลัวของโรคเบาหวาน ไม่ใช่แค่อาการของโรคเพียงเท่านั้น ยังมีโรคแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ อาจรุนแรงจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย และส่งผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิต การรักษาอย่างถูกวิธีและรวดเร็ว จึงเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยควรให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคเบาหวานประเภทไหน จะเป็นแบบที่เกิดจากพฤติกรรม หรือเป็นมาตั้งแต่กำเนิด ก็ต้องใช้ยาช่วยในการรักษาโรคด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่ว่าเบาหวานที่เกิดจากพฤติกรรมนั้น มักมีโรคอ้วนร่วมด้วย การลดน้ำหนักตัวจึงสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ดูแลรักษาและใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น สำหรับคนที่มีน้ำหนักตัวมาก ทางหนึ่งที่จะลดน้ำหนักและ รักษาเบาหวานให้หายขาด ลงได้อย่างปลอดภัย คือ การ ตัดกระเพาะ ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถ ช่วยบรรเทาและรักษาเบาหวาน ได้จริง แม้ในรายที่ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็ยังช่วยให้อาการคงอยู่ในระดับดีได้เช่นกัน ยิ่งผ่าตัดในโรคเบาหวานระยะแรก จะได้รับผลดีมากกว่าการปล่อยให้เป็นเบาหวานมานานๆ มีหลายกรณีที่ผู้ป่วยเบาหวานทำการผ่าตัดกระเพาะแล้วพบว่าระดับน้ำตาลลดลงอย่างมาก จนอยู่ในระดับที่พอดี จากที่จำเป็นจะต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องและเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ก็สามารถหยุดการใช้ยาได้ในระยะเวลาอันสั้น
ใครที่เหมาะกับการ ผ่าตัดกระเพาะ รักษาเบาหวาน ?คนไข้โรคอ้วนที่มีโรคเบาหวานร่วมด้วย และสามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้ดี ก่อนทำการผ่าตัดจนปลอดภัย ที่สำคัญหากสามารถนำคนไข้เบาหวานระยะเริ่มต้น (ไม่เกิน 5 ปีหลังการวินิจฉัยเบาหวานครั้งแรก) อาการเบาหวานจะหายได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับคนที่เป็นมานาน และเซลล์ตับอ่อนที่ผลิตอินซูลินค่อนข้างเสื่อมสภาพไปมากแล้ว *การผ่าตัดจะไม่ได้ผลในคนไข้เบาหวานประเภทที่ 1* เอกสารอ้างอิง (Reference) : Schauer et al, Intensive medical therapies vs Bariatric Surgery 5 years outcome , STAMPEDE trial, N Engl J Med 2017 ; 376 : 641-651
ติดต่อสอบถาม
ปรึกษาแพทย์ 086-570-7040
สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์ ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก ทางการแพทย์ มีกี่วิธี?เทคโนโลยีผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักทางการแพทย์ ในปัจจุบันสามารถทำได้ 5 วิธี คือ
ส่วนการตัดสินใจว่าจะเลือกทำการ ผ่าตัดกระเพราะลดความอ้วน รูปแบบไหนนั้นควรเข้ามาปรึกษา และรับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด เข้ากับร่างกายของแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ 1. การใส่บอลลูนในกระเพาะ
การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร (Intragastric Balloon) จริงๆ ยังไม่ถือว่าเป็นการผ่าตัด เหมาะสำหรับ ผู้ที่อยากจะลดน้ำหนัก แต่ยังไม่อยากผ่าตัด หรือเหมาะกับคนที่พร้อมผ่าตัดกระเพาะ แต่มีภาวะเสี่ยงทำให้ยังไม่สามารถทำการผ่าตัดใดๆ ได้ในตอนนี้ ต้องทำการใส่บอลลูนในกระเพาะก่อน เพื่อให้ช่วยให้น้ำหนักลดลงเบื้องต้น เพื่อลดความเสี่ยงแล้วอีกปีถัดมา อาจจะมาทำการผ่าตัดกระเพาะแบบถาวรกว่าต่อไป วิธีการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ไม่จำเป็นต้องมีการผ่าตัดใดๆ ทำให้ไม่มีบาดแผล และสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักในรูปแบบอื่น เนื่องจากวิธีการทำคล้ายกับวิธีการส่องกล้องตรวจกระเพาะทั่วๆ ไป โดยคนไข้สามารถกลับบ้านได้เลยหลังจากพักฟื้น 1-2 ชั่วโมง วิธีการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร
หลังใส่ บอลลูนลดน้ำหนัก
ข้อดีของการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร
ข้อเสีย และ ความเสี่ยงของการทำบอลลูน ในกระเพาะอาหาร
2. การใส่ห่วงรัดกระเพาะ
การใส่ห่วงรัดกระเพาะ ใช้การส่องเครื่องมือผ่านแผลขนาดเล็กบริเวณหน้าท้อง 3-4 แผล แล้วเอาห่วงไปคล้องเพื่อเข้าไปรัดส่วนบนของกระเพาะอาหาร โดยไม่ได้ตัดอะไรออก ทำให้อาหารถูกกักไว้ ส่งผลให้รู้สึกอิ่มเร็ว รับประทานได้น้อยลง ทำให้น้ำหนักลดลง ห่วงจะต่อกับท่อเล็ก มาติดที่ผิวหนัง เพื่อปรับขนาดได้หากต้องการให้รัดแน่นขึ้นหรือคลายออก เครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัดใส่ห่วงรัดกระเพาะ ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับวิธีผ่าตัดส่องกล้องโดยเฉพาะ ทำจากซิลิโคนและวัสดุที่ทนการกัดกร่อนได้ จึงใส่ได้เป็นเวลานาน เราสามารถปรับระดับความแน่นของห่วงมากหรือน้อยได้ โดยเพิ่มหรือลดระดับน้ำเกลือผ่านท่อเล็ก เมื่อห่วงแน่นมากก็จะกินได้น้อย แต่ถ้าห่วงหลวมเกินไปก็จะกินได้เป็นปกติ ถ้าควบคุมดีๆ น้ำหนักก็กลับไม่ลดลงอีก ข้อเสียของการใส่ห่วงรัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนัก
จากข้อเสียดังกล่าว ทำให้การผ่าตัดใส่ห่วงรัดกระเพาะอาหาร ได้รับความนิยมน้อยลงในปัจจุบัน เนื่องจากมีปัญหาจากการใส่ห่วงรัด และน้ำหนักลดน้อยลงกว่าที่คาดหวังไว้
ทำให้มีคนไข้จำนวนน้อยที่สามารถใส่ห่วงได้ในระยะยาว โดยส่วนมากแล้วทางรัตตินันท์คลินิกจะมีผู้เข้ามารับบริการเอาห่วงออก และทำการรักษาในรูปแบบอื่นที่ได้ผลดี และมีประสิทธิภาพมากกว่า
ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์ 086-570-7040
สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์ 3. การผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแบบสลีฟ (Gastric Sleeve)
การผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ (Laparoscopic Sleeve Gastrectomy – LSG) ถูกออกแบบมาสำหรับคนไข้ที่อ้วนมาก เพิ่งเริ่มได้รับความนิยมและถือเป็นหนึ่งในวิธีมาตรฐาน การผ่าตัดแบบสลีฟ คือ การตัดเอากระเพาะออกไปประมาณ 75%-80% ซึ่งรวมถึงส่วนที่ผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวออกไป ทำให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดสามารถรับประทานอาหารได้น้อยลง และสามารถลดน้ำหนักได้มากถึง 40-60% จากน้ำหนักตั้งต้น อีกทั้งยังเป็นการรักษาโรค เช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน หยุดหายใจขณะหลับได้ด้วย ดังนั้น การผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแบบสลีฟ จึงได้รับการรับรองจากสถาบันทางการแพทย์หลายแห่งทั่วโลก ให้เป็นการรักษาทางเลือกสำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วน และโรคเรื้อรังจากโรคอ้วน ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่เด็กอายุ 15 ปี ขึ้นไป หากได้รับความเห็นชอบทางการแพทย์ กุมารแพทย์ และผู้ปกครอง ถึงประโยชน์ และความเสี่ยงที่อาจจะได้รับ วิธีการผ่าตัดแบบสลีฟ (Gastric Sleeve) แพทย์จะส่องกล้องผ่านแผลขนาดเล็กบริเวณหน้าท้อง 3-5 แผล จากนั้นศัลยแพทย์จะใช้ตัวตัดกระเพาะอัตโนมัติ (stapler) ตัดกระเพาะและเย็บกระเพาะในคราวเดียวกัน เป็นเครื่องมือชนิดพิเศษนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา โดยที่รัตตินันท์คลินิกจะไม่ใช้วิธีการตัดและเย็บแบบเดิม จากนั้นทำการดึงกระเพาะส่วนที่จะทำการตัดออกประมาณ 80% ผ่านรอยแผลบริเวณสะดือ หลังจากตัดด้วย stapler แล้วเราจึงทำการเย็บด้วยไหมเงี่ยงชนิดพิเศษทับไปอีกครั้ง ถือเป็นเทคนิคที่เราเรียกว่า Double Lock เพื่อให้มั่นใจว่าแผลไม่รั่ว สร้างความแข็งแรงและป้องกันกระเพาะขยายตัวออกได้ภายหลัง ผลการผ่าตัด แบบสลีฟ (Gastric Sleeve)
ระยะเวลาที่ใช้ในการผ่าตัด แบบสลีฟ (Gastric Sleeve) การผ่าตัดจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และพักฟื้นประมาณ 3-4 วัน เนื่องจากทางรัตตินันท์คลินิก เรามีบริการพิเศษเพื่อความปลอดภัย ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจสแกนกระเพาะ เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย และยืนยันว่าไม่มีรอยรั่วของแผลผ่าตัดที่กระเพาะ ก่อนการกลับบ้าน
ข้อดีของการผ่าตัดแบบสลีฟ
ข้อเสียของการผ่าตัดแบบสลีฟ
ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดแบบสลีฟ ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดก็แบ่งเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือการตรวจร่างกายก่อนการผ่าตัด ซึ่งขึ้นกับน้ำหนักและความเสี่ยง มีตั้งแต่การตรวจเลือดธรรมดาจนกระทั่งบางรายต้องตรวจพิเศษอื่นๆ เพิ่ม ส่วนที่สองคือค่าผ่าตัด ส่วนที่สามคือค่าใช้จ่ายหลังการผ่าตัดรวมวิตามินและ การตรวจต่อเนื่อง
4. การผ่าตัดกระเพาะแบบบายพาส (Gastric Bypass – RYGB)
การผ่าตัดกระเพาะแบบบายพาส (Gastric Bypass – RYGB) เป็นการผ่าตัดรูปแบบมาตรฐานที่สุด แล้วยังเป็นวิธีที่ได้ผลลดน้ำหนักมากที่สุด โดยใช้เทคนิคส่องกล้องผ่าตัดแบบแผลเล็กเหมือนวิธีอื่นๆ แต่จะเพิ่มการผ่าตัดลำไส้ส่วนที่ดูดซึมน้ำตาลออกด้วยบางส่วน ทำให้ลดน้ำหนักได้มากและนาน และยังทำให้กระเพาะไม่เกิดแรงดันสูง ซึ่งเหมาะกับการผ่าตัดสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน เบาหวาน หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดแบบสลีฟได้ วิธีการผ่าตัดกระเพาะแบบบายพาส ใช้วิธีการสอดกล้องเช่นเดียวกับแบบสลีฟ โดยจะทำการผ่าแผลขนาดเล็กบริเวณหน้าท้อง จากนั้นแพทย์จะทำการสอดใส่เครื่องมือเข้าไปเพื่อทำการผ่าตัด แต่จะแตกต่างจากสลีฟ คือมีการตัดและต่อใหม่เพิ่มขึ้นอีกจุด โดยตัดกระเพาะออกเหลือกระเปาะเล็กน้อย แล้วเอามาต่อกับลำไส้ เอามาต่อกับลำไส้ส่วนที่สอง ข้าม (บายพาส) ลำไส้ส่วนแรกไป ข้อดี ผ่าตัดกระเพาะแบบบายพาส
ข้อเสีย ผ่าตัดกระเพาะแบบบายพาส
5. การเย็บกระเพาะ แบบ Overstitch (เทคนิคใหม่ล่าสุดปี 2022)
การ เย็บกระเพาะ แบบ Overstitch เป็นเทคนิคใหม่ล่าสุด วิธีนี้จะเป็นการส่องกล้องทางปาก (Endoscopic sleeve gastroplasty by Overstitch) โดยใช้อุปกรณ์สอดใส่เข้าไปในปาก เพื่อทำการเย็บกระเพาะด้วยไหมชนิดพิเศษแทนการตัดกระเพาะออกไปเลย ข้อดีคือลดน้ำหนักได้โดย ไร้แผลหน้าท้อง ฟื้นตัวเร็ว อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ได้ดีอีกเช่นเดี๋ยวกัน ไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหยุดหายใจขณะหลับ ไขมันเกาะตับ เป็นต้น มีคนไข้ถามแพทย์ที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ บ่อยๆ คือ ผ่าตัดกระเพาะ แบบไหนดีที่สุด ระหว่างวิธีต่างๆ โดยเฉพาะวิธี ผ่าตัดแบบบายพาส และ วิธีแบบสลีฟ เราจึงขอสรุปความแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้ มาให้ทราบกัน
6. ผ่าตัดกระเพาะแบบรูเดียว (Single Port Access)
ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก แบบแผลหน้าท้องรูเดียว (SPA – Single Port Access) วิธีนี้จะมีความแตกต่างจากการผ่าตัดกระเพาะวิธีอื่นๆ เพราะเป็นการใช้เครื่องมือพิเศษเจาะรูผ่านสะดือ จากนั้นจะนำอุปกรณ์ในการผ่าตัดกระเพาะใส่ผ่านรูนี้เพียวรูเดียว (วิธีอื่นจะต้องเจาะรูหน้าท้องประมาณ 4-5 รู เพื่อให้ง่ายต่อการผ่าตัดของแพทย์และใช้อุปกรณ์ผ่าตัดกระเพาะออกมา) ข้อดีของวิธี Single Port Access คือมีแผลเป็นหน้าท้องเพียง 1 รู , เจ็บน้อย, ฟื้นตัวไว เป็นต้น แต่วิธีนี้ไม่ได้เหมาะกับการรักษาโรคอ้วน หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินทุกราย ก่อนทำการรักษาควรปรึกษาหรือรับคำแนะนำจากแทพย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทุกครั้ง เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง และทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และ การผ่าตัดกระเพาะแบบแผลรูเดียว นั้นจะใช้เวลานานกว่า ผ่าตัดยากกว่าวิธีอื่นๆ จึงต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญสูงเท่านั้น ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์ 086-570-7040
สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์ ” ผ่าตัดกระเพาะ แบบไหนดีที่สุด ? ”มีคนไข้ถามแพทย์ที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ บ่อยๆ ติดต่อสอบถาม
ปรึกษาแพทย์ 086-570-7040
สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์ การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการ ผ่าตัดกระเพาะอาหารต้องมีการเตรียมตัวก่อนการทำทั้งในเรื่องของร่างกาย และจิตใจ เพราะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากเหมือนกัน ดังนั้นเพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษามีความพร้อมก่อนที่จะทำการผ่าตัด และลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น น้ำหนักตัวของผู้เข้ารับการผ่าตัด โดยผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก จะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อย เป็นต้น ซึ่งขั้นตอนที่ผู้ป่วยจะต้องทำก่อนเข้ารับการผ่าตัดลดน้ำหนักมีดังต่อไปนี้
ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์ 086-570-7040
สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์ การดูแลหลังเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักต้องมีการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดที่เคร่งครัด เพื่อลดปัญหาและความเสี่ยง รวมถึงเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การรั่วของบาดแผล (leak) เนื่องจากรับประทานอาหารที่ไม่ได้รับการแนะนำ ไม่ได้ทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์ 086-570-7040
สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์ โรคแทรกซ้อนที่สำคัญหรือผลข้างเคียงของการ ผ่าตัดกระเพาะหัวข้อนี้อาจจะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่คนอยากอ่านมากที่สุด และมักจะสอบถามกันเสมอทุกครั้งที่มีการปรึกษาคนไข้ ญาติคนไข้และครอบครัวที่มักมาฟังพร้อมกันจนเต็มห้องปรึกษา ก่อนอื่นอยากเรียนว่า การผ่าตัดกระเพาะ แบบส่องกล้องนั้น โดยเฉพาะการผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบสลีฟ ที่ใช้เวลาผ่าตัดเพียง 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ในสายตาของศัลยแพทย์นะครับ การผ่าตัดใหญ่ โดยทั่วไปหมายถึงการผ่าตัดที่ใช้เวลานานกว่า 5-6 ชั่วโมง มีการเสียเลือดมาก ใช้บุคลากรเยอะ และคนไข้มีโอกาสเสียชีวิตสูงระหว่างและหลังการผ่าตัด
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร นั้น มีความเสี่ยง น่าจะเทียบเท่ากับการผ่าตัดถุงน้ำดีเท่านั้นหรือการผ่าตัดแบบปานกลางอื่นๆ เช่นการผ่าตัดไส้ติ่ง มีการเสียเลือดน้อยมากจนไม่เคยต้องให้เลือดหลังผ่า เจ็บปานกลางแต่ลุกเดินได้ในอีกวันถัดไป จริงๆ นอนเพียง 1 คืนก็กลับได้ ในสหรัฐอเมริกาเอง ได้มีการริเริ่มการผ่าตัดกระเพาะแบบทำเช้าเย็นกลับกันแล้ว โดยไม่ต้องค้างคืนแต่อย่างใด แต่เหตุใดเราจึงมีความรู้สึกว่าการ ตัดกระเพาะ ถึงเป็นการผ่าตัดใหญ่มีคนเสียชีวิตเป็นข่าวให้ได้ยิน สาเหตุหลัก คือเป็นเพราะเรามักไปทำการผ่าตัด ในคนไข้เสี่ยงสูงกันเป็นหลัก คือคนไข้อ้วนมากหนักร้อยกว่ากิโลตามเกณฑ์ผ่าตัดเดิม คนไข้กลุ่มนี้เป็นโรคหัวใจรุนแรง เบาหวานรุนแรงจนเอาไม่อยู่แล้ว ทุกๆ แผนกที่เกี่ยวข้องเช่นหมอหัวใจ หมอเบาหวาน จะเริ่มคิดถึงการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก แล้วจึงส่งมาในสภาพที่คนไข้ค่อนข้างแย่มาก เช่นเดินไม่ได้ คุยแล้วเหนื่อยหรืออยู่เฉยๆ ยังต้องใช้ออกซิเจน อันนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตตามเกณฑ์เดิมที่แสนจะเข้มงวด โดยเฉพาะการผ่าตัดในโรงพยาบาลรัฐบาลที่คิวแน่น คนไข้อ้วน อาจจะต้องไปหลายแผนกเช่น แผนกโรคปอดเพื่อทดสอบบางอย่าง แล้ววนไปแผนกโภชนาการเพื่อพิสูจน์ว่าลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผลแล้วจริงๆ หลายคนอาจจะต้องไปแผนกหัวใจ เบาหวาน จิตเวช หรืออื่นๆ แล้วแต่ว่าจะมีโรคร่วมอะไรเพิ่มเติม การเสียเวลามากไป บางครั้งมีผลเสียทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก เสียโอกาสทองที่จะผ่าในเวลาที่สุขภาพยังดีอยู่ และฟิตสำหรับการผ่าตัด
ดังนั้นอาการแทรกซ้อนที่เจอ หากไม่นับอาการที่เกิดจากนำคนไข้อ้วนเสี่ยงสูงที่ไม่ควบคุมโรคเดิมให้ดีก่อนมาผ่าแล้วคือ 1. การรั่วของกระเพาะที่เย็บ โอกาสเกิดประมาณ 0.2% และขึ้นกับการทานอาหารหลังการผ่าเป็นส่วนใหญ่ วิธีการป้องกันคือการใช้ staple ให้ถูกต้องกับชั้นความหนา อีกทั้งเราเชื่อว่าแม้จะมีการตัดและเย็บกระเพาะด้วย staple แล้ว ควรเสียเวลาเย็บด้วยมืออีกรอบ เพื่อกระชับตะเข็บให้แข็งแรง ป้องกันการขยายออกของกระเพาะในอนาคต จึงเป็นที่มาของเทคนิคแบบ double lock เย็บสองชั้นเพื่อป้องกันการรั่ว 2. การตีบของแผลในกระเพาะที่ตัดออก ส่วนใหญ่จะเกิดกับเทคนิคการผ่า ที่ตัดกระเพาะเหลือน้อยจนเกินไป การผ่าตัดมาตรฐานมักจะตัดออกไป 75% ของเนื้อกระเพาะทั้งหมด มากกว่านี้ไม่ได้ เสี่ยงสูงเกินไป ที่นี่จึงตัดเพียงเท่านี้ และไม่เคยพบปัญหานี้เลย 3. อาการกรดไหลย้อน จะเป็นมากสำหรับการผ่าแบบสลีฟมากกว่าบายพาส ต้องสกรีนคนไข้ก่อนผ่าดีๆ ว่ามีอาการก่อนทำการผ่าตัดกระเพาะหรือไม่ 4. การขาดสารอาการจนผมร่วง เกิดจากการขาดโปรตีนเป้นหลักและคนไข้ส่วนใหญ่จะขาดวินัย มักจะทานอาหารเฉพาะที่อยากทานเช่นขนม หากทานโปรตีนครบ อย่างน้อย 60 กรัมต่อวัน และทานวิตามิน มักไม่เจอปัญหานี้ ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์ 086-570-7040
สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์ อาหารที่ควรรับประทานหลังการ ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนักระยะที่ 1 ของการผ่าตัด (1-7 วันหลังผ่าตัด)ผู้ป่วยควรรับประทานเฉพาะอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีลักษณะเหลวใส ไม่มีกากใย แก๊ส น้ำตาล และส่วนผสมของคาเฟอีน อาหารที่แนะนำ
ระยะที่ 2 (ช่วง 8-14 วันหลังการผ่าตัด)หากผู้ป่วยสามารถทนต่ออาหาร หรือเครื่องดื่มเหลวได้ โดยไม่มีอาการจุกแน่นท้อง หรือคลื่นไส้ อาจจะให้เริ่มรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีความข้นเพิ่มมากขึ้น แต่ต้องมี โปรตีนสูง ไขมันต่ำ ไม่มีกากใย และไม่ใส่น้ำตาล เช่น
ระยะที่ 3 (สัปดาห์ที่ 3 หลังการผ่าตัด)ผู้ป่วยอาจจะเริ่มรับประทานอาหารอ่อน หรือย่อยง่าย คล้ายกับอาหารเด็ก ได้แล้ว หากสามารถรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มเหลวข้นได้ เช่น
ระยะที่ 4 (สัปดาห์ที 4 หลังการผ่าตัด)หากสามารถทานอาหารอ่อนได้ดี ผู้ป่วยสามารถเริ่มทานอาหารธรรมดา ที่ปรุงสุกเน้นโปรตีนสูงเป็นหลัก ค่อยๆ กิน เริ่มจากปริมาณน้อยๆ
ระยะที่ 5 ( 1 เดือนหลังผ่าตัดกระเพาะ)หากสามารถทานอาหารอ่อนได้ดี ผู้ป่วยสามารถเริ่มทานได้ตามปกติ แต่เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ ไม่มัน ไม่ใส่น้ำตาลหรือหวานน้อย และควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดอย่างช้าๆ สำหรับผักและผลไม้ สามารถทานได้ตามปกติ เพื่อควบคุมพลังงานส่วนเกินและน้ำหนักตัว อาจจะรับประทานวิตามิน และแร่ธาตุเสริมตามคำแนะนำของแพทย์ สิ่งสำคัญคือหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ สุรา เบียร์ ไวน์เป็นต้น ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์ 086-570-7040
สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์ ข้อแนะนำในการรับประทานอาหารหลังการผ่าตัดกระเพาะ
ทำไมต้อง ผ่าตัดกระเพาะ ที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์ 086-570-7040
สแกน QR Code เพื่อแอดไลน์ รีวิว ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก
รายละเอียดการรักษา
เวลาผ่าตัด
วิธีดมยาสลบ
นอนโรงพยาบาล
แผลเล็ก เจ็บน้อย Alert : อาการแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังทำศัลยกรรมโดยทั่วไปเช่น มีเลือดออก,ติดเชื้อ หรืออาการอักเสบนั้น แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายในแต่ละบุคคล จึงควรปฏิบัติตามข้อควรระวังอย่างเคร่งครัด
บรรยากาศ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐานสากลพร้อมด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประสบการณ์กว่า 23 ปี
ตัดกระเพาะออกมีผลเสียไหมข้อเสียของการผ่าตัดเย็บกระเพาะอาหาร
1. มีความเสี่ยงในการผ่าตัด 2. ภาวะแทรกซ้อน ก็อาจเกิดขึ้นได้ 3. ภาวะการขาดวิตามิน เนื่องจากการผ่าตัดแบบนี้ อาหารจะถูกดูดซึมไม่หมด ดูดซึมไม่ดี บวกกับคนไข้กินได้น้อย ส่งผลให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณน้อยลง ฉะนั้นจะต้องกินวิตามินตลอดชีวิต
ผ่าตัดกระเพาะอาหารดีไหมการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร เป็นหนึ่งในวิธีรักษาผู้ที่มีภาวะอ้วนให้กลับมามีน้ำหนักตัวปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กลับมามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่มาพร้อมโรคอ้วน เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือข้อเข่าเสื่อมได้อีกด้วย
เย็บกระเพาะ อันตรายไหมถึงแม้การส่องกล้องเย็บกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักเป็นวิธีการที่ปลอดภัย แต่อาจมีผลข้างเคียงได้ เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งจะหายได้เองภายในเวลาไม่กี่วัน ทั้งนี้แพทย์จะให้ยาป้องกันการอาเจียนทั้งก่อนและระหว่างการส่องกล้อง มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะกรดไหลย้อนได้ แต่โอกาสเกิดน้อยกว่าการผ่าตัดกระเพาะแบบมาตรฐาน
ตัดกระเพาะมีกี่แบบวิธีการผ่าตัดที่นิยมทำมี 3 วิธีได้แก่. วิธีที่ 1 การผ่าตัดลดความอ้วนแบบใช้เข็มขัดรัดกระเพาะอาหาร (Gastric Banding) ... . วิธีที่ 2 การผ่าตัดลดความอ้วนแบบตัดต่อกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก (Gastric Bypass) ... . วิธีที่ 3 การผ่าตัดลดขนาดของกระเพาะลง (Sleeve Gastrectomy) ... . ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด ... . การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัด. |