เบโธเฟนได้เริ่มเรียนดนตรีอย่างจริงจังกับ คริสเตียน กอทท์ลอบ นีฟ (Christine Gottlob Neefe) ดังรูปที่ 2 ได้เริ่มงานด้านดนตรีในตาแหน่งนักออร์แกนประจำโบสถ์ นักเปียโนและนักไวโอลินในตำแหน่งผู้ช่วยของนีฟ และต่อมาได้รับตาแหน่งหัวหน้าวงของวงดนตรีในสานักของเจ้าเมืองบอนน์ เบโธเฟนเริ่มประพันธ์เพลงสาหรับเปียโนเมื่ออายุ 12 ปี และเมื่ออายุ 16 ปี เบโธเฟนเดินทางมากรุงเวียนนาเพื่อที่จะฝึกหัดดนตรีและเล่นดนตรีให้กับโมซาร์ท ซึ่งเมื่อโมซาร์ทฟังแล้วได้กล่าวว่า…. จงคอยดูเด็กคนนี้ให้ดี วันหนึ่งเขาจะดังก้องไปทั่วโลก (“Keep your eyes on him; somebody he will give the world something to talk about”) โมซาร์ทมีความชื่นชมในความสามารถทางด้านดนตรีของเบโธเฟน และยังกล่าวอีกว่าเบโธเฟนจะประสบความสาเร็จในโลกดนตรีต่อไป หลังจากนั้นเบโธเฟนเดินทางกลับมายังเมืองบอนน์และทางานในเป็นนักออร์แกนและไวโอลิน ในขณะเดียวกันก็ประพันธ์เพลงไปด้วย จนกระทั่งอายุ 22 ปี เบโธเฟนย้ายมาอยู่ที่กรุงเวียนนาด้วยความตั้งใจที่จะหาชื่อเสียงในการเล่นดนตรีและประพันธ์เพลง เขามีโอกาสได้ศึกษาดนตรีกับ Franz Joseph Haydn, Johann Albrechtsberger (1736 – 1809), Johnn Schenk (1753 – 1836) และ Antonio Salieri (1750 – 1825) เบโธเฟนมีความตั้งใจที่จะมุ่งมั่นหาชื่อเสียงในการเล่นดนตรีและประพันธ์เพลงต่างๆ ตามความสามารถของเขาให้ดีที่สุด ซึ่งลักษณะงานดนตรีของเบโธเฟนเต็มไปด้วยลีลาและความรู้สึกที่ระบายออกอย่างรุนแรงและงดงาม เบโธเฟนได้ตระเวนแสดงดนตรีตามแนวของเขาจนทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วกรุงเวียนนา มีลูกศิษย์มาเรียนดนตรีกับเขามากขึ้น และด้วยความสามารถทางดนตรีของเบโธเฟน ทาให้ได้รับการอุปถัมภ์จากหมู่ชนชั้นสูงอยู่เรื่อยมา ในงานแสดงคอนเสิร์ตครั้ง Symphony no. 9 ปี ค.ศ. 1824 ณ กรุงเวียนนา เบโธเฟนทาหน้าที่กากับเพลงและควบคุมวงดนตรีด้วยตนเอง ดังรูปที่ 3 สร้างความประทับใจและได้รับเสียงปรบมืออย่างล้นหลามและนี่คือการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนครั้งสุดท้ายของเขา เบโธเฟนเสียชีวิตด้วยอายุเพียง 57 ปี แต่อย่างไรก็ตามผลงานของเบโธเฟนได้รับการยกย่องในเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานทางดนตรีในรูปแบบใหม่จากยุคคลาสสิคมาสู่ยุคโรแมนติก ด้วยความตั้งใจและความเป็นอัจฉริยะทางด้านดนตรี เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประพันธ์เพลงที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล ลีลาการกำกับวงและอำนวยเพลง ลักษณะและผลงานทางดนตรี ผลงานของเบโธเฟนแบ่งได้เป็นสามระยะ ตามลักษณะดนตรีที่แตกต่างกัน ระยะแรก (1780 – 1802) ใช้รูปแบบการประพันธ์เพลงของดนตรียุคคลาสสิคอย่างเด่นชัด ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากไฮเดินและโมซาร์ท ระยะที่สอง (1802 – 1816) เบโธเฟนแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาอย่างเด่นชัด รูปแบบการประพันธ์มีการพัฒนาอย่างสง่างามมากขึ้น ความยาวในแต่ละส่วนแต่ละตอนมีมากกว่าเพลงในยุคแรก วงออร์เคสตราปรับปรุงเพิ่มจานวนเครื่องดนตรีให้มากขึ้น เพราะต้องการแสดงถึงความมีพลัง ความยิ่งใหญ่ ชัยชนะ การประสานเสียงโดยใช้คอร์แปลกๆ มากขึ้น จัดได้ว่าเป็นผลงานเพลงที่แตกต่างจากยุคคลาสสิคอย่างชัดเจน ระยะที่สาม (1816 – 1827) เป็นช่วงที่เบโธเฟนเปลี่ยนแนวการประพันธ์ไป เนื่องจากต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา ผลงานในช่วงท้ายมักจะแสดงออกถึงความเข้มแข็ง ไม่นุ่มนวลมากนักและหลายบทเพลงไม่เป็นที่รู้จัก ผลงานของเบโธเฟนประกอบด้วย ซิมโฟนี 9 บท เปียโนคอนแชร์โต 5 บท ไวโอลินคอนแชร์โต 1 บท โอเปรา 1 เรื่อง สติงควอเตท 16 บท เปียโนโซนาตา 32 บทและผลงานสาคัญอีกจานวนมาก นับว่าเบโธเฟนเป็นผู้เชื่อมต่อระหว่างยุคคลาสสิคและยุคโรแมนติกเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง ตัวอย่างบทเพลงของเบโธเฟน ที่มา: โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart, Austria 1756 – 1791) ชีวประวัติ โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท ดังรูปที่ 1 กำเนิดในครอบครัวนักดนตรีที่เมืองซาลซ์บวร์ก (Salzburg) ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1756 และถึงแก่กรรมที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1791 รูปที่ 2 Leopold (พ่อ) Nannerl (พี่สาว) และ Mozart โมซาร์ทเริ่มบรรเลงไวโอลินและฮาร์ปซิคอร์ดตั้งแต่อายุ 6 ปี ประพันธ์เพลงซิมโฟนีครั้งแรกอายุ 8 ปี เมื่ออายุ 11 ปีประพันธ์เพลงออราทอริโอ (Oratorio) และอายุ 12 ปีประพันธ์เพลงโอเปรา ความอัจฉริยะทางดนตรีของโมซาร์ททำให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในทวีปยุโรปในฐานะนักดนตรีและนักประพันธ์เพลง โมซาร์ทกับบิดาได้เดินทางไปแสดงดนตรีและผลงานต่อสาธารณชนในประเทศต่างๆ เช่น ออสเตรีย ฮังการี อังกฤษ ฮอลแลนด์และอิตาลี ดังรูปที่ 2.12 แสดงเมืองที่โมซาร์ทเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตและผลงาน นอกจากนี้โมซาร์ทยังเปิดการแสดงดนตรีและผลงานต่อพระพักตร์กษัตริย์หลายพระองค์ เช่น เจ้าชายแห่งบาวาเรีย (the Elector of Bavaria) และพระเจ้าโยเซฟที่ 3 (Joseph 3) ที่มิวนิค, พระนางมาเรีย เทเรซา (Emperor Maria Theresa) ที่กรุงเวียนนา, พระเจ้าหลุยซ์ที่ 15 (Louis XV) ที่พระราชวังแวร์ซายด์ และพระเจ้าจอร์ชที่ 3 (George 3) ที่ลอนดอน และขุนนางชั้นสูงต่างๆมากมาย ในช่วงระหว่างการเดินทางแสดงคอนเสิร์ต โมซาร์ทได้มีโอกาสศึกษาและฝึกฝนดนตรีของประเทศต่างๆ อย่างหลากหลายจนมีรูปแบบของตัวเอง ปี ค.ศ. 1771 โมซาร์ทเดินทางกลับมาที่เมืองซาลซ์บวร์ก ได้ทางานเป็นนักประพันธ์เพลงและนักไวโอลินของราชสำนักอาร์ชบิชอพที่ซาลซ์บวร์ก (Archship of Salzburg) แต่เนื่องจากโมซาร์ทเป็นคนที่มีอารมณ์ร้อนและมีความต้องการเพียงแต่การประพันธ์เพลงและแสดงดนตรีตามแบบของตนมากกว่าจะต้องทางานตามคำบัญชาจากเจ้านาย ทำให้โมซาร์ทประสบกับปัญหาในการปรับตัว ในที่สุดต้องมาดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง รูปที่ 3 St. Michael’s Square ในระยะหลังความนิยมในตัวโมซาร์ทเริ่มลดลง ผลงานของโมซาร์ทไม่ได้รับความนิยมมากนัก อันเนื่องมาจากแนวคิดในการประพันธ์เพลงของโมซาร์ทที่ก้าวหน้าเกินยุค คือเป็นลักษณะบทเพลงของยุคโรแมนติก ที่เน้นการแสดงของอารมณ์และความรู้สึก จนผู้ฟังไม่สามารถเข้าใจในบทเพลงได้ ต้องฟัง รูปที่ 4 อนุสรณ์โมซาร์ท ลักษณะและผลงานทางดนตรี ผลงานของโมซาร์ทมีจานวนมากกว่า 500 บทประพันธ์ ปี ค.ศ. 1862 ลุควิก ฟอน เคอเชล (Ludwig von Koechel) นักพฤกษศาสคร์มีใจรักดนตรี ได้เก็บรวบรวมและจัดเรียงลาดับผลงานของโมซาร์ท โดยใช้ระบบเตอเชล โดยใช้ตัวย่อว่า K. ผลงานของโมซาร์ทประกอบด้วย โอเปรา 18 เรื่อง ซิมโฟนี 49 บทแต่เป็นที่รู้จัก 41 บท เปียโนคอนแชร์โต 25 บท ไวโอลินคอนแชร์โต 5 บท คอนแชร์โตสาหรับเครื่องดนตรีอื่นๆ อีกจานวนหนึ่ง สติงควอเต็ทและแชมเบอร์มิวสิคประเภทอื่นๆ อีกกว่า 30 บท ผลงานสาหรับเปียโนและไวโอลิน ทั้งประเภทโซนาตาและอื่นๆ อีกจานวนหนึ่ง รวมทั้งเพลงร้องและเพลงเกี่ยวกับศาสนาด้วย ตัวอย่างผลงานของโมซาร์ท ที่มา: ฟรานซ์ โจเซฟ ไฮเดิน (Franz Joseph Haydn, Austria 1732 – 1809) ชีวประวัติ ฟรานซ์ โจเซฟ ไฮเดิน กำเนิดในครอบครัวที่มีฐานะยากจน ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1732 และถึงแก่กรรมที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1809 ไฮเดินศึกษาทางด้านดนตรีครั้งแรกด้วยวัย 5 ขวบ ดังรูปที่ 1.1 โดยการเป็นนักร้องประสานเสียงของโบสถ์เซนต์สตีเฟน (St. Stephen’s cathedral) ในกรุงเวียนนา ดังรูปที่ 1.2 ด้วยความรักในดนตรี ไฮเดินพยายามเรียนรู้ดนตรีด้วยตนเองและหารายได้โดยการร้องเพลง สอนดนตรี บรรเลงไวโอลินและฮาร์ปซิคอร์ด (Harpsichord) กับวงดนตรีตามท้องถนนของกรุงเวียนนา ไฮเดินได้เริ่มประพันธ์เพลงสติงควอเต็ทและซิมโฟนี และได้เป็นผู้นาวงออร์เคสตราของเคานต์มอร์ซิน (Morzin of Bohemia) ทำให้ไฮเดินมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ รูปที่ 1.1 ไฮเดินวัยเด็ก รูปที่ 1.2 โบสถ์เซนต์สตีเฟน รูปที่ 1.3 Esterhazy Palace ในปี ค.ศ. 1761 ไฮเดินได้เป็นนักดนตรีประจำในตำแหน่งผู้ควบคุมวงดนตรีในสำนักของตระกูลอีสเตอร์ฮาซี (Esterhazy) ดังรูปที่ 1.3 ซึ่งเป็นตระกูลเจ้านายชั้นสูงและมีอำนาจที่สุดในฮังการี ทาให้ไฮเดินพบกับความมั่นคงในชีวิตการทำงาน หน้าที่หลักของไฮเดินคือการประพันธ์เพลงและควบคุมวงดนตรีของสำนัก ตลอดการทำงานเกือบ 30 ปีในตระกูลอีสเตอร์ฮาซี ไฮเดินผลิตผลงานต่างๆ ออกมามากมาย เช่น ซิมโฟนี 60 บท สติงควอเตท 40 บท อุปรากร 11 เรื่องและยังมีบทเพลงอื่นๆ อีกหลายร้อยบทเพลง ผลงานของไฮเดินถูกนำมาแสดงในคอนเสิร์ตฮอลล์ของราชสำนัก และได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วยุโรป ทำให้วงดนตรีของตระกูลอีสเตอร์ฮาซี มีชื่อเสียงโด่งดังไปด้วย ไฮเดินเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตที่กรุงเวียนนาในปี ค.ศ. 1781 และได้พบกับโมซาร์ท โมซาร์ทมีความชื่นชมและนับถือในผลงานของไฮเดินมานาน และไฮเดินรู้สึกนับถือความเป็นอัจฉริยะทางดนตรีของโมซาร์ท ทำให้เกิดมิตรภาพที่ดีต่อกัน ลักษณะและผลงานทางดนตรี ไฮเดินเป็นผู้ประพันธ์ที่ผลิตผลงานออกมาตลอดระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่ เขาเป็นคนหนึ่งในนักประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคคลาสสิค ไฮเดินมีผลงานทางดนตรีเป็นจำนวนมาก ได้แก่ซิมโฟนี 104 บท สติงควอเต็ท 68 บท คอนแชร์โตสาหรับเครื่องดนตรีต่างๆ รวม 10 บท เปียโนโซนาตา 50 บท โอเปรา 15 เรื่อง แมส 12 บท เป็นต้น |