การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


บทที่ การสื่อสารกับผู้ปกครองเด็กปฐมวัย

บรรยากาศในการเรียน

ก่อนเริ่มการสอนอาจารย์ให้ทำกิจกรรมเล่นเกมส์เกี่ยวกับการสื่อสารสนุกมากค่ะจนห้องเรียนด้านข้างบอกให้เสียงเบาลง555 จากนั้นอาจารย์ก็เข้าสู่บทเรียนที่สามในเรื่องการสื่อสารกับผู้ปกครองเด็กปฐมวัย

ความหมายของการสื่อสาร

-การสื่อสาร (Communication) คือ กระบวน การส่งข่าวสาร ข้อมูล จาก   ผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ

-การติดต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ความคิด ทัศนคติ ทักษะ และประสบการณ์ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารให้มีความเข้าใจ ที่ตรงกันเพื่อนำไปสู่การดำรงชีวิตที่มีความสุข

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


ความสำคัญของการสื่อสาร

-ทำให้ได้รับรู้และเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม

-ทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันทั้ง ฝ่าย

-ทำให้สร้างมิตรภาพที่อบอุ่น

-ทำให้เกิดภาพแห่งความพึงพอใจ

-ช่วยในการพัฒนาอัตมโนทัศน์ เป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเองก่อให้เกิดความพอใจในชีวิต

รูปแบบของการสื่อสาร

-รูปแบบการสื่อสารของอริสโตเติล (Aristotle’s Model of Communication)

-รูปแบบการสื่อสารของลาล์สเวล (Lasswell’s Model of Communication)

-รูปแบบการสื่อสารของแชนนอนและวีเวอร์ (Shannon & Weaver’s Model of Communication)

-รูปแบบการสื่อสารของออสกูดและชแรมม์ (C.E Osgood and Willbur Schramm’s )

-รูปแบบการสื่อสารของเบอร์โล (Berlo’s Model of Communication)


การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


รูปแบบการสื่อสารของอริสโตเติล 

(Aristotle’s Model of Communication)

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


รูปแบบการสื่อสารของลาล์สเวล 

(Lasswell’s Model of Communication)

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


รูปแบบการสื่อสารของแชนนอนและวีเวอร์ 

(Shannon & Weaver’s Model of Communication)

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


รูปแบบการสื่อสารของออสกูดและชแรมม์

 (C.E Osgood and Willbur Schramm’s )

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


รูปแบบการสื่อสารของเบอร์โล

 (Berlo’s Model of Communication)

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


องค์ประกอบของการสื่อสาร

1. ผู้ส่งข่าวสาร (Sender)

2. ข้อมูลข่าวสาร (Message)

3. สื่อในช่องทางการสื่อสาร (Media)

4. ผู้รับข่าวสาร (Receivers)

5. ความเข้าใจและการตอบสนอง

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


ผู้ส่งสารและผู้รับสาร

-ผู้จัดกับผู้ชม

-ผู้พูดกับผู้ฟัง

-ผู้ถามกับผู้ตอบ

-คนแสดงกับคนดู

-นักเขียนกับนักอ่าน

-ผู้อ่านข่าวกับคนฟังข่าว

-คนเล่านิทานกับคนฟังนิทาน

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย



สื่อ

     ใช้วิธีพูด-เขียน หรือการนำเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น ใช้รูปภาพ รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ โดยวิธีการติดต่อนั้นต้องใช้ตัวกลางต่างๆ เช่น คลื่นเสียง ตัวหนังสือ แผ่นกระดาษที่มีตัวหนังสือเขียน คลื่นวิทยุโทรทัศน์ ตัวกลางเหล่านี้เรียกว่า สื่อ โดยการสื่อสารนั้นสามารถใช้สื่อหลายๆอย่างได้พร้อมๆกัน เช่น การเรียน การสอน ต้องใช้ทั้งหนังสือ กระดาน ภาพ

สาร

     คือ เรื่องราวที่รับรู้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น  ข้อเท็จจริง  ข้อแนะนำ  การล้อเลียน  ความปรารถนาดี  ความห่วงใย  มนุษย์จะแสดงออกมาให้เป็นที่รับรู้ได้ การสื่อสารจะเกิดขึ้นตามกาลเทศะ  และสภาพแวดล้อมต่างๆในสังคม

วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร

1.เพื่อแจ้งให้ทราบ หมายถึง การสื่อสารที่ผู้ส่งสารจะแจ้ง หรือบอกกล่าวข่าวสาร ข้อมูล เหตุการณ์ ความคิด ความต้องการของตนให้ผู้รับได้ทราบ

2.เพื่อสอนหรือให้การศึกษา หมายถึง การสื่อสารที่มุ่งจะให้ผู้รับมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางด้านองค์ความรู้ ความคิด สติปัญญา ฉะนั้นจึงมุ่งเน้นไปที่การเรียนการสอนหรือการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการโดยเฉพาะ

3.เพื่อสร้างความพอใจหรือให้ความบันเทิง หมายถึง การสื่อสารที่มุ่งให้เกิดผลทางจิตใจหรืออารมณ์ ความรู้สึกแก่ผู้รับสาร ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ส่งสารมีข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้รับสาร และมีกลวิธีในการนำเสนอเป็นที่พอใจ

4.เพื่อเสนอหรือชักจูงใจ มุ่งเน้นให้ผู้รับสารมีพฤติกรรมคล้อยตาม หรือยอมรับปฏิบัติตาม

        จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า วัตถุประสงค์ของการสื่อสารในแต่ละระดับมี จุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันไป ซึ่งจะสำเร็จได้ต้องขึ้นอยู่กับทั้งฝ่ายผู้ส่งสารและฝ่ายผู้รับสาร มีความต้องการที่สัมพันธ์กัน โดยรวมแล้วพอสรุปวัตถุประสงค์การสื่อสารได้ ดังนี้

1.เพื่อแจ้งให้ทราบ คือ การรับและส่งข่าวสารด้านต่างๆ การนำเสนอเรื่องราว ความรู้สึกนึกคิด ความรู้ หรือสิ่งอื่นใด ที่ต้องการให้ผู้รับสารรู้และเข้าใจข้อมูลนั้นๆ โดยมุ่งให้ความรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

2.เพื่อความบันเทิงใจ คือ การรับส่งความรู้สึกที่ดี และมุ่งรักษามิตรภาพต่อกัน เป็นการนำเสนอเรื่องราวหรือสิ่งอื่นใดที่จะทำให้ผู้รับสารเกิดความพึงพอใจ

3.เพื่อชักจูงใจ คือ การนำเสนอเรื่องราวหรือสิ่งอื่นใดเพื่อจูงใจให้เกิดความร่วมมือ สร้างกำลังใจ เพื่อให้ผู้รับสารเกิดความคิดคล้อยตาม หรือปฏิบัติตาม    ที่ผู้ส่งสารต้องการ และนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไข

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


ประเภทของการสื่อสาร

ได้มีจำแนกประเภทของการสื่อสารไว้แตกต่างกันหลายลักษณะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการจำแนก ในที่นี้จะแสดงการจำแนกประเภทของการสื่อสาร โดยอาศัยเกณฑ์ในการจำแนกที่สำคัญ ประการ คือ

 1. จำแนกตามกระบวนการหรือการไหลของข่าวสาร

 2. จำแนกตามภาษาสัญลักษณ์ที่แสดงออก

 3. จำแนกตามจำนวนผู้สื่อสาร

1. จำแนกตามกระบวนการหรือการไหลของข่าวสาร แบ่งเป็น ประเภทคือ

1.1 การสื่อสารทางเดียว (One-Way Communication) คือการสื่อสารที่ข่าวสารจะถูกส่งจากผู้ส่งไปยังผู้รับในทิศทางเดียว โดยไม่มีการตอบโต้กลับจากฝ่ายผู้รับ เช่น การสื่อสารผ่านสื่อ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ การออกคำสั่งหรือมอบหมายงานโดย ฝ่ายผู้รับไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็น ซึ่งผู้รับอาจไม่เข้าใจข่าวสาร หรือเข้าใจไม่ถูกต้องตามเจตนาของผู้ส่งและทางฝ่ายผู้ส่งเมื่อไม่ทราบปฏิกิริยาของผู้รับจึงไม่อาจปรับการสื่อสารให้เหมาะสมได้ การสื่อสารแบบนี้สามารถทำได้รวดเร็วจึงเหมาะสำหรับการสื่อสารในเรื่องที่เข้าใจง่าย

1.2 การสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) คือการสื่อสารที่มีการส่งข่าวสารตอบกลับไปมาระหว่างผู้สื่อสาร ดังนั้นผู้สื่อสารแต่ละฝ่ายจึงเป็นทั้งผู้ส่งและผู้รับในขณะเดียวกัน ผู้สื่อสารมีโอกาสทราบปฏิกิริยาตอบสนองระหว่างกัน ทำให้ทราบผลของการสื่อสารว่าบรรลุจุดประสงค์หรือไม่ และช่วยให้สามารถปรับพฤติกรรมในการสื่อสารให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ตัวอย่างการสื่อสารแบบสองทาง เช่น การพบปะพูดคุยกัน การพูดโทรศัพท์ การออกคำสั่งหรือมอบหมายงานโดยฝ่ายรับมีโอกาสแสดงความคิดเห็น

2. จำแนกตามภาษาสัญลักษณ์ที่แสดงออก

2.1 การสื่อสารเชิงวัจนะ (Verbal Communication) หมายถึงการสื่อสารด้วยการใช้ภาษาพูด หรือเขียนเป็นคำพูด ในการสื่อสาร

2.2 การสื่อสารเชิงอวัจนะ (Non-Verbal Communication) หมายถึงการสื่อสารโดยใช้รหัสสัญญาณอย่างอื่น เช่น ภาษาท่าทาง การแสดงออกทางใบหน้า สายตา ตลอดจนถึงน้ำเสียง ระดับเสียง ความเร็วในการพูด เป็นต้น

3. จำแนกตามจำนวนผู้สื่อสาร

กิจกรรม ต่างๆ ของบุคคลและสังคม ถือว่าเป็นผลมาจากการสื่อสารทั้งสิ้น ดังนั้นการสื่อสารจึงมีขอบข่ายครอบคลุมลักษณะการสื่อสารของมนุษย์ ลักษณะคือ 

3.1 การสื่อสารส่วนบุคคล (Intrapersonal Communication)

3.2 การสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication)

3.3 การสื่อสารมวลชน (Mass Communication)

การสื่อสารกับตนเอง

-การสื่อสารที่บุคคลเดียวเป็นทั้งผู้ส่งสารและรับสาร

-การคิดหาเหตุผลโต้แย้งกับตนเองในใจ

-เนื้อหาไม่มีขอบเขตุจำกัด

-บางครั้งมีเสียงพึมพำดังออกมาบ้าง

-บางครั้งเกิดความขัดแย้งในใจและไม่อาจตัดสินใจได้

-อาจเป็นการปลอบใจตนเอง การเตือนตนเอง การวางแผน หรือแก้ปัญหาใดๆ

การสื่อสารระหว่างบุคคล

-บุคคลตั้งแต่ คนขึ้นไป ไม่ถึงกับเป็นกลุ่ม

-เป็นเรื่องเฉพาะระหว่างบุคคล อาจไม่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น

-อาจเป็นความลับระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารเท่านั้น

-สารที่สื่ออาจเปิดเผยหากมีประโยชน์ต่อบุคคลอื่น

การสื่อสารสาธารณะ

-มีเป้าหมายจะส่งสารสู่สาธารณชน

-มีเนื้อหาที่อาจให้ความรู้และเป็นประโยชน์ ให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

-เป็นความคิดที่มีคุณค่าและเปิดเผยได้โดยไม่จำกัดเวลา

-เช่น การบรรยาย การปาฐกถา การอมรม การสอนในชั้นเรียน

การสื่อสารมวลชน

-ลักษณะสำคัญคล้ายการสื่อสารสาธารณะ

-ต้องอาศัยสื่อที่มีอำนาจการกระจายสูง รวดเร็ว กว้างขวาง เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ดาวเทียมและสื่อมวลชน

-ต้องคัดเลือกเฉพาะข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็นที่เห็นว่าควรนำเสนอ

-อาจสนองความต้องการและความจำเป็นของมวลชนมากหรือน้อยได้

การสื่อสารในครอบครัว

-เป็นการสื่อสารขั้นพื้นฐานของมนุษย์

-ประสิทธิภาพของการสื่อสารขึ้นอยู่กับความตั้งใจดีของสมาชิกในครอบครัว

-คุณธรรมที่ดีงามในครอบครัวจะช่วยพัฒนาการสื่อสารไปในทางดีงามเสมอ

-ต้องยอมรับและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่แตกต่างกัน

-คนต่างรุ่นต่างวัยในครอบครัวต้องพยายามทำความเข้าใจให้ตรงกัน

-ควรคำนึงถึงมารยาทที่ดีงามอยู่เสมอ

การสื่อสารในโรงเรียน

-ส่วนใหญ่เป็นการสื่อสารกับบุคคลที่คุ้นเคย

-เนื้อหามักเกี่ยวกับวิชาการ พื้นฐานอาชีพและหลักการดำเนินชีวิต

-มีทั้งการสื่อสารระหว่างบุคคล การสื่อสารในกลุ่มและการสื่อสารสาธารณะ

-อาจใช้เวลานานเพราะเรื่องราวมีปริมาณมาก

-อาจมีโอกาสโต้แย้งถกเถียง ควรยอมรับข้อเท็จจริงและไม่ใช้อารมณ์

-ข้อเท็จจริงและข้อสรุปบางเรื่องไม่ควรนำไปเผยแพร่

-ควรระมัดระวังคำพูดและกิริยามารยาท

-คุณธรรมด้านความซื่อสัตย์และการยอมรับอาวุโสเป็นเรื่องสำคัญ

การสื่อสารในวงสังคมทั่วไป

เริ่มด้วยการทักทายตามสภาพของสังคมนั้นๆ

การแสดงความยินดีหรือเสียใจ ไม่ควรมากหรือน้อยจนเกินไป

การติดต่อกับคนที่ไม่รู้จักมาก่อนควรพูดให้ตรงประเด็นและสุภาพพอควร

 -การคบหากับชาวต่างประเทศ ควรศึกษาประเพณีและมารยาทที่สำคัญๆของกันและกัน


การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


ธรรมชาติและพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้ปกครอง

ออเออร์บาค (Auerbach,1968) ได้กล่าวถึงธรรมชาติของผู้ปกครองไว้ดังนี้

-ผู้ปกครองสามารถเรียนรู้ได้

-ผู้ปกครองมีความต้องการที่จะเรียนรู้

-ผู้ปกครองเรียนรู้ได้ดีที่สุดในสิ่งที่เขาสนใจ

-การเรียนรู้จะมีความหมายที่สุดก็ต่อเมื่อเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวของผู้ปกครอง

-การมีอิสระในการเรียนรู้จะทำให้ผู้ปกครองเรียนรู้ได้ดีที่สุด

-ผู้ปกครองสามารถเรียนรู้ได้จากกันและกัน

-การให้ความรู้กับผู้ปกครองถือเป็นการให้ประสบการณ์ใหม่แก่ผู้ปกครอง

ธรรมชาติการเรียนรู้ของผู้ปกครองเด็กปฐมวัยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้

-เรียนรู้ได้ดีในเรื่องของการพัฒนาเด็ก

-เรียนรู้ได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีความสมานฉันท์

-มีความแปลกใหม่และมีประโยชน์ต่อเด็ก

-เรียนรู้ได้ดีจากการฝึกปฏิบัติ

-เรียนรู้ได้ดีในบรรยากาศที่เป็นวิชาการน้อยที่สุด

-ควรได้รับความต่อเนื่องในการเรียนรู้ทีละขั้นตอน

-เรียนรู้ได้ดีจากสื่อและอุปกรณ์ที่หลากหลาย

พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้ปกครอง

    ปัจจัยที่มีผลต่อการแสดงออกทางพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้ปกครอง

1.ความพร้อม คือ สภาพความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจที่จะเรียนรู้ โดยเตรียมความพร้อมในเรื่องดังนี้ พื้นฐานประสบการณ์เดิม สร้างความสนใจเห็นเห็นถึงความสำคัญของความรู้ ส่งเสริมความเชื่อมั่นในการเรียนรู้

2. ความต้องการ คือ ความต้องการให้ชีวิตดำเนินไปอย่างมีความสุข เช่น ต้องการให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรง มีการศึกษาที่ดี

3.อารมณ์และการปรับตัว คือ แนวโน้มที่จะปฏิบัติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มี ประเภทคือ อารมณ์ทางบวก เช่น ดีใจ พอใจ ฯลฯ อารมณ์ทางลบ เช่น โกรธ เสียใจ หงุดหงิด ซึ่งอารมณ์ทั้ง นี้มีผลต่อการเรียนรู้ ดังนั้นควรปรับอารมณ์ให้เกิดความสมดุลพร้อมที่จะเรียนรู้

4.การจูงใจ หมายถึง การกระตุ้นเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เช่น ต้องการรู้เพื่อแก้ปัญหาลูกหลาน ต้องการรู้เพื่อพัฒนาลูก ต้องการรู้เพื่อให้ลูกเป็นคนดี

5.การเสริมแรง คือ การสร้างความพึงพอใจหลังการเรียนรู้ให้แก่ผู้ปกครอง เช่น คำชมเชย รางวัล ฯลฯ

6.ทัศนคติและความสนใจ คือ การที่บุคคลมีการตอบสนองและแสดงความรู้สึกต่อสิ่งเร้าต่างๆ เช่น

-จัดสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ทำให้ผู้ปกครองพอใจและสนุกกับการเรียนรู้

-ช่วงเวลาในการจัดให้ความรู้ ควรมีเวลาที่สะดวกในการเข้าร่วมกิจกรรม

7.ความถนัด คือ ความสามารถของบุคคลในการทำกิจกรรมให้สำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


อุปสรรคที่สำคัญของการสื่อสาร

-ผู้ส่งข่าวสารขาดทักษะในการสื่อสารที่ดี เช่นใช้ภาษาที่อยากแก่การเข้าใจ หรือไม่เหมาะแก่ผู้รับ

-ข้อมูลข่าวสารมากเกินไป

-ได้ข่าวสารไม่ครบสมบูรณ์ ทำให้สื่อความหมายผิดๆ

-ข้อมูลที่ส่งไปผ่านหลายขั้นตอน

-เลือกใช้เครื่องมือในการส่งข่าวสารไม่เหมาะสม

-รีบเร่งด่วนสรุปข่าวสารเร็วเกินไป ขาดการไตร่ตรอง

-ผู้รับข่าวสารไม่ทบทวน หรือสอบถามให้เข้าใจเมื่อสงสัย

-อารมณ์ของผู้รับ หรือผู้ส่งอยู่ในสภาพไม่ปกติ

-ผู้ส่งหรือผู้รับมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น

7 c กับการสื่อสารที่ดี

-Credibility ความน่าเชื่อถือ: สามารถทำให้ผู้รับสารเกิดความเชื่อถือในสารนั้น ๆ

-Content เนื้อหาสาระ: มีสาระให้เกิดความพึงพอใจ เร่งเร้าและชี้แนะให้เกิดการตัดสินใจได้ในลักษณะอย่างไรบ้าง

-Clearly ความชัดเจน: การเลือกใช้คำหรือข้อความที่เข้าใจง่าย ๆ ข้อความไม่คลุมเครือ

-Context ความเหมาะสมกับโอกาส: การเลือกใช้ภาษาและใช้สิ่งที่ส่งสารเหมาะสม

-Channel ช่องทางการส่งสาร: การเลือกวิธีการส่งข่าวสารได้เหมาะสมและรวดเร็วที่สุด

-Continuity consistency ความต่อเนื่องและแน่นอน: การสื่อสารกระทำอย่างต่อเนื่องมีความแน่นอนถูกต้อง

-Clarity of audience ความสามารถของผู้รับสาร: การเลือกใช้วิธีการส่งสารซึ่งมั่นใจว่าผู้รับสารจะสามารถรับสารได้ง่ายและสะดวกโดยคำนึงถึงความรู้ เจตคติ อุปนิสัย ทักษะการใช้ภาษา สังคมวัฒนธรรมของผู้รับสารเป็นสำคัญ

คุณธรรมในการสื่อสาร

คุณธรรม คือ

-ความดีงามที่มีอยู่ในตัวบุคคล

-ต้องประกอบด้วยเหตุผลที่ดีของแต่ละบุคคล

-เกิดจากการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก

-เกิดจากการได้เห็น ได้ยิน ได้อ่าน

-เกิดจากการได้เห็นพฤติกรรมของคนที่เคารพรักเป็นแบบอย่าง

คุณธรรมที่สำคัญในการสื่อสาร

-ความมีสัจจะและไม่ล่วงละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน

-ความรัก ความเคารพและความปรารถนาดีต่อกัน

-ความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูดหรือกระทำ

-เป็นพฤติกรรมด้านนอกของการสื่อสาร หมายถึงพฤติกรรมที่ปรากฏให้เห็นชัดเจน เช่นกิริยาอาการ การเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำ การเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรรวมทั้ง รูปภาพ แผนภูมิและการใช้วัตถุต่างๆ

-เป็นกิริยาวาจาที่เรียบร้อยถูกต้องตามคตินิยมของสังคม

วิธีการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ปกครอง

-ศึกษาและพยายามทำตนให้เข้าใจกับผู้ปกครอง

-พยายามเรียนรู้ความต้องการของเขา และหาแนวทางตอบสนองตามความเหมาะสม

-พูดคุย พบปะกับผู้ปกครองในโอกาสต่างๆ

-หาโอกาสไปร่วมงานพิธีทางศาสนา เข้าร่วมกิจกรรมกับผู้ปกครอง

-ทำตนให้กลมกลืนกับผู้ปกครอง

-มีท่าทีเป็นมิตรอยู่เสมอ

-เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองร่วมกิจกรรม

สรุป

การสื่อสารที่ดีและมีประสิทธิภาพนับเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้งานการให้ความรู้ผู้ปกครองประสบผลสำเร็จ ผู้ที่เป็นครูจะต้องทำความเข้าใจเรื่องการสื่อสารให้กระจ่างชัดเจน ประกอบกับการศึกษาธรรมชาติและการเรียนรู้ของผู้ปกครอง พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อที่จะได้ทำการให้ความรู้ให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองได้ดีมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ผู้ปกครองเกิดความศรัทธา เชื่อมั่นและมีความอบอุ่นว่าสถานศึกษาจะมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นก็ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง บ้านโรงเรียน ชุมชนและสังคมเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเด็กร่วมกัน

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


คำถามท้ายบท


1.จงอธิบายความหมายและความสำคัญของการสื่อสารมาโดยสังเขป

ตอบความหมาย  กระบวน การส่งข่าวสาร ข้อมูล จากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ การติดต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ความคิด ทัศนคติ ทักษะ และประสบการณ์ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารให้มีความเข้าใจ ที่ตรงกันเพื่อนำไปสู่การดำรงชีวิต                                                                                       
ความสำคัญ  ทำให้ได้รับรู้และเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม  ทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันทั้ง ฝ่ายทำให้สร้างมิตรภาพที่อบอุ่น เกิดมิตรภาพ ช่วยในการพัฒนาอัตมโนทัศน์ เป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเองให้เกิดความพอใจในชีวิต

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย

2.การสื่อสารมีความสำคัญกับผู้ปกครองอย่างไร

ตอบ  การสื่อสารกับพ่อแม่เด็กมีความสำคัญไปกว่าการสื่อสารกับเด็กโดยตรง โดย โดยอาศัยหลักการสื่อสารที่ไม่แตกต่างจากการสื่อสารทั่วไปคือ ให้เขาเป็นศูนย์กลาง ใช้คำถามปลายเปิด พยายามทำความเข้าใจกับปัญหาและความกังวล โดยอาศัยทักษะการทวนซ้ำ สรุปความและสะท้อนอารมณ์ ช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหา และให้ข้อมูลที่ไม่มากจนเกินไป

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย

3.รูปแบบการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการให้ความรู้ผู้ปกครอง ควรเป็นรูปแบบใด จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง                                                                                                                         

ตอบ แบบจำลองของแชนนอนและวีเวอร์ แชนนอนและวีเวอร์ ( Shannon & Weaver) ได้เสนอแบบจำลองโครงสร้างของการสื่อสารขึ้นในลักษณะของการสื่อสารทางเดียวเชิงเส้นตรง ดังนี้

นักจิตวิทยายอมรับว่า รูปแบบของแชนนอนและวีเวอร์สอดคล้องกับลักษณะสื่อสารของมนุษย์อย่างแท้จริง เพราะมีผู้ส่ง(information source)เลือกสาร(message) ที่จะส่งได้แล้วซึ่งอาจเป็นคำพูด รูปภาพ เสียงดนตรี ก็จะส่งไปที่เครื่องส่ง (transmitter) เพื่อเปลี่ยนสารอยู่ในรูปของรหัส (signal) และส่งผ่านช่องทางของการสื่อสาร(communication channel) ไปถึงผู้รับสาร (receiver) เพื่อตีความให้เกิดความเข้าใจและมีปฏิกิริยาตอบสนอง อันเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการสื่อสาร (destination of message) การระบุถึงอุปสรรค (noise) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนให้การสื่อสารลดลง เพราะในบางครั้งสัญญาณที่ส่งไปอาจถูกรบกวนหรืออาจมีบางสิ่งบางอย่างมาขัดขวางสัญญาณนั้น ทำให้สัญญาณ ที่ส่งไปยังจุดหมายปลายทางอาจจะผิดเพี้ยนไป จะเป็นเหตุก่อให้เกิดความล้มเหลวของการสื่อสาร เนื่องจากข้อมูลที่ส่งไปกับข้อมูลที่ได้รับไม่ตรงกัน ทำให้รูปแบบนี้สอดคล้องกับความเป็นจริง มากจนได้รับการยอมรับและกล่าวถึงทุกครั้งที่พูดกันถึงเรื่องรูปแบบของการสื่อสาร                                                                              

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย

4.ธรรมชาติและการเรียนรู้ของผู้ปกครองควรมีลักษณะอย่างไร                                                     ตอบ 1.ผู้ปกครองสามารถเรียนรู้ได้

2.ผู้ปกครองมีความต้องการที่จะเรียนรู้

3.ผู้ปกครองเรียนรู้ได้ดีที่สุดในสิ่งที่เขาสนใจ

4.การเรียนรู้จะมีความหมายที่สุดก็ต่อเมื่อเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวของผู้ปกครอง

5.การมีอิสระในการเรียนรู้จะทำให้ผู้ปกครองเรียนรู้ได้ดีที่สุด

6.ผู้ปกครองสามารถเรียนรู้ได้จากกันและกัน

7.การให้ความรู้กับผู้ปกครองถือเป็นการให้ประสบการณ์ใหม่แก่ผู้ปกครอง

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


5.ปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนพฤติกรรมการเรียนรู้สำหรับผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองมีความเข้าใจเกี่ยวกับ การศึกษาของเด็ก ประกอบด้วยปัจจัยด้านใดบ้าง

ตอบ  1.ความพร้อม  คือ สภาพความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจที่จะเรียนรู้ โดยเตรียมความพร้อมในเรื่องดังนี้ พื้นฐานประสบการณ์เดิม สร้างความสนใจเห็นเห็นถึงความสำคัญของความรู้ ส่งเสริมความเชื่อมั่นในการเรียนรู้            

2.ความต้องการ คือ ความต้องการให้ชีวิตดำเนินไปอย่างมีความสุข เช่น ต้องการให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรง มีการศึกษาที่ดี

3.อารมณ์และการปรับตัว คือ แนวโน้มที่จะปฏิบัติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มี ประเภทคือ อารมณ์ทางบวก เช่น ดีใจ พอใจ ฯลฯ อารมณ์ทางลบ เช่น โกรธ เสียใจ หงุดหงิด ซึ่งอารมณ์ทั้ง นี้มีผลต่อการเรียนรู้ ดังนั้นควรปรับอารมณ์ให้เกิดความสมดุลพร้อมที่จะเรียนรู้                                                                            

4.การจูงใจ หมายถึง การกระตุ้นเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เช่น ต้องการรู้เพื่อแก้ปัญหาลูกหลาน ต้องการรู้เพื่อพัฒนาลูก ต้องการรู้เพื่อให้ลูกเป็นคนดี                                                                                            

5.การเสริมแรง คือ การสร้างความพึงพอใจหลังการเรียนรู้ให้แก่ผู้ปกครอง เช่น คำชมเชย รางวัล ฯลฯ

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย


ประเมินผล

ประเมินตนเอง : วันนี้ครูให้ทำกิจกรรมเกมส์การสื่อสารก็ร่วมกิจกรรมสนุกมากหลังจากนั้นก็สอนทฤษฎีเรียนก็ตั้งใจฟังและจดบันทึกเวลาที่ครูสอนค่ะ

ประเมินเพื่อน : เพื่อนๆตั้งใจเรียนและทำกิจกรรมเล่นเกมส์การสื่อสารได้อย่างสนุกและมีส่วนร่วมด้วยกันดีมากและคอยจดบันทึกในสิ่งที่ครูสอน

ประเมินอาจารย์ : อาจารย์ให้ทำกิจกรรมสนุกมากค่ะได้ผ่อนคลายสอนทฤษฎีเนื้อหาได้เข้าใจและละเอียดอธิบายในเนื้อหาที่สอนได้เข้าใจค่ะ

การสื่อสาร ในชั้นเรียน ปฐมวัย