นอกจากเรื่องของดีไซน์ที่ปรับเปลี่ยนไป รวมถึงความสามารถต่างๆที่เพิ่มเข้ามา อีกจุดหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ของเรือธง Samsung Galaxy S10
ก็ต้องเป็นเรื่องความสามารถด้านการถ่ายภาพที่มีการเอาเลนส์มุมกว้างเข้ามาเสริมทัพ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อช่วงครึ่งหลังปี 2018 ทาง Samsung ก็ได้มีการประเดิมชิมลางใช้กล้องหลัง 3 ตัว (Tripel Camera) กับตัวรุ่นกลาง Galaxy A7 ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวก็ถูกต่อยอดเอามาใส่ในซีรีส์ฉลอง 10 ปี ตระกูลเรือธง Galaxy S อย่าง Samsung Galaxy S10, Galaxy S10+ และ Galaxy S10e แนวความคิดในการพัฒนากล้องของเรือธงรุ่นนี้มาจากการศึกษาพฤติกรรมของการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟน ที่คนส่วนใหญ่ที่จะมีเป้าหมายในการถ่ายภาพ 3 อย่าง คือ
เพื่อให้ตอบโจทย์แบบรอบด้านทาง Samsung จึงตัดสินใจเอากล้องหลัง 3 ตัวมาใช้งานกับรุ่นท็อปอย่าง Galaxy S10 และ Galaxy S10+ เสริมความสามารถด้วยของใหม่อย่าง เลนส์ Ultra-Wide ที่ให้มุมมองรับภาพ 123 องศา เท่ากับระยะการมองเห็นด้วยสายตาของมนุษย์ โดยส่วนประกอบของกล้องหลังจะมีดังนี้
ในส่วนของ Galaxy S10e ยังเป็นกล้องคู่ (Dual-camera) แต่ปรับกล้องเสริมให้เป็นเลนส์มุมกว้างโดยมีส่วนประกอบดังนี้
อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้เราเพิ่งมีโอกาสได้ทดลองกล้องของ Galaxy S10+ เท่านั้น แต่ฟังค์ชั่นต่างๆของแต่ละรุ่นเชื่อว่าไม่ได้หลุดไปจากกันมาก เรื่องการถ่ายภาพนิ่ง Samsung Galaxy S10 ได้นำความสามารถของ AI เข้ามาใช้งาน ทั้ง Optimized Scenes หรือการใช้ระบบ AI ในการปรับแต่งกล้องให้เหมาะกับซีนที่ถ่ายซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่รุ่น Galaxy Note9 ในตัว S10 ก็ขยายขอบเขตจาก 20 ซีนเป็น 30 ซีน เพิ่มซีนอย่าง เสื้อผ้า, ใบหน้า, ฝูงชน, รองเท้า, เวที, ยานพาหนะ, เครื่องดื่ม, แมว, สุนัข และ เด็ก นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Shot suggestion โหมดช่วยแนะนำการจัดองค์ประกอบภาพเพื่อให้รูปออกมาดีที่สุด ซึ่งตัว AI จะเรียนรู้การจัดองค์ประกอบภาพโดยใช้การวิเคราะห์รูปถ่ายกว่า 100,000,000 ภาพที่มีในฐานข้อมูล ขณะเดียวกันตัวกล้องก็ยังมีระบบแนะนำให้ใช้โหมดถ่ายภาพที่เหมาะสมกับซีนที่ถ่าย อาทิเช่น ถ้าเราจะถ่ายภาพวิวตัวกล้องก็จะแนะนำให้ปรับไปใช้เลนส์มุมกว้างเพื่อให้เก็บบรรยากาศได้ครบ, ถ้าถ่ายเอกสารหรือตัวหนังสือ กล้องก็จะแนะนำให้ใช้โหมด Document Scan แทน หรือถ้าถ่ายกลางคืน ก็จะแนะนำโหมด Starburst เพื่อใส่ลูกเล่นในจุดที่เป็นดวงไฟในภาพ ส่วนการถ่ายภาพในที่แสงน้อยตัว Galaxy S10 มีฟีเจอร์ Bright Night ที่จะถ่ายภาพเดียวกัน 7 ช็อต แล้วนำมาวางซ้อนกันเพื่อให้ภาพถ่ายมีรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้น โดยที่ใช้เวลาในการประมวลผลเพียง 3 วินาทีเท่านั้น ขณะที่ตัวเลนส์มุมกว้างที่เสริมเข้ามาก็ช่วยในการถ่าย Panorama ได้ออกมาสวยกว่าเดิม ด้านกล้องหน้าของ Galaxy S10e กับ S10 ก็อัพเกรดโดยเป็นรุ่นแรกของโลกที่มีกล้องหน้า UHD ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล มุมมองรับภาพ 80 องศา มีรูรับแสง f/1.9 และเป็นรุ่นแรกที่มีระบบโฟกัส Dual Pixel ที่ตัวกล้องหน้า ขณะที่ Galaxy S10+ ยกระดับเป็นกล้องหน้าคู่ กล้องหลัก 10 ล้านพิกเซล เหมือนกับสองรุ่นแรก เสริมทัพด้วยกล้อง RGB Depth ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 มุมมองรับภาพ 90 องศา ซึ่งช่วยให้การถ่าย Live Focus ด้วยกล้องหน้ามีความเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น ในเรื่องกล้องนอกจากภาพนิ่งที่เป็นหัวใจหลักแล้วทาง Samsung ก็ยังให้ความสำคัญกับการถ่ายภาพเคลื่อนไหวซึ่งเป็นไปทางเทรนด์ในปัจจุบันที่คนนิยมคอนเทนท์ที่เป็นวีดีโอกันมากขึ้น กล้องหน้าของ Galaxy S10 รองรับการถ่ายวีดีโอได้ถึงระดับ 4K ขณะที่ตัว AR Emoji ก็มีการอัพเกรดให้แสดงสีหน้าได้หลากหลายมีความเนียนเป็นธรรมชาติ แถมยังเก็บรายละเอียดการแสดงออกบนใบหน้าได้ยันการเคลื่อนไหวของลูกตาและลิ้น แถมมี Body motion tracking เพื่อจับการแสดงท่าทางของร่างกายไปใส่ในตัว Emoji แบบเรียลไทม์ สำหรับกล้องหลังก็รองรับการถ่ายวีดีโอในระดับ HDR10+ ซึ่งเป็นระดับที่ใช้กันในงานโปรดักซ์ชั่น ทำให้คุณภาพของวีดีโอที่ได้มีโทนสีที่ตรงตามจริง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์กันสั่น Super steady เพื่อใครอยากจะถ่ายคลิปแอคชั่นกันเบาๆ ซึ่งตัวโหมดนี้ที่จะรองรับเฉพาะกับกล้องหลังตัวหลักเท่านั้น ขณะที่โหมด Super-slomo ก็เป็นแบบ 960fps และสามารถถ่ายวิดีโอแบบซูเปอร์สโลโมชั่นได้นานขึ้นเป็น 0.4-0.8 วินาที หรือนับเป็น 2 เท่าของ Galaxy S9 แถมยังสามารถปรับแต่งได้ จากภาพรวมจะเห็นว่าตัวเรือธงรอบนี้ทาง Samsung ให้ความสำคัญกับเรื่องการถ่ายภาพเคลื่อนไหวเป็นอย่างมากเนื่องจากมองว่าเป็นก้าวต่อไปของการทำคอนเทนท์ซึ่งพัฒนาไปตามเทคโนโลยีเครือข่าย ขณะที่ตัวภาพนิ่งเองก็ไม่ได้ทิ้งแถมยังพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับราคาของ Samsung Galaxy S10 ในไทยพร้อมสเปคที่ขายมีดังนี้
ใครที่ลงทะเบียน Blindbooking กันไว้ก็เตรียมเป็นเจ้าของกันได้ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ ขณะที่พรีออเดอร์เริ่มตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 4 มีนาคม ขายจริงจะเป็นวันที่ 8 มีนาคมเป็นต้นไป |