ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ประวัติ

ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ประวัติ

15 ก.ค. 64 - นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ พี่สาวนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โพสต์เฟซบุ๊ก โดยอ้างอิงบทสัมภาษณ์ในนิตยสาร Forbes เมื่อเดือน ก.ค.2561 ซึ่งครบเป็นเวลา 3 ปีที่ได้เคยให้สัมภาษณ์โดยระบุว่า “ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากลุ่มไทยซัมมิทต้องเผชิญความผันผวนในหลายด้าน ตั้งแต่ภัยน้ำท่วมปี 2554 นโยบายรถคันแรก หรือแม้แต่ช่วงราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จึงทำให้ตัวเลขรายได้รวมของกลุ่มไทยซัมมิทมีความผันผวน อย่างไรก็ตาม รายได้ยังเติบโตเฉลี่ย 5 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี และเติบโตสูงสุดที่ 7.5 หมื่นล้านบาทในปี 2555 จากนโยบายคืนภาษีรถคันแรก ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ในประเทศสูงถึง 2.4 ล้านคัน และมียอดขายในประเทศถึง 1.4 ล้านคัน แม้หลังจากนั้นยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศจะไม่เคยแตะ 2 ล้านคันอีกเลย เช่นเดียวกับที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศก็ไม่เคยขึ้นไป 9 แสนคัน จึงตั้งเป้าต่อจาดปีนี้ตั้งเป้าว่าหากมาตรการภาษีรถคันแรกจบ ยอดขายรถยนต์ในประเทศน่าจะขึ้นไปได้ถึง 8 แสนคัน”

นางชนาพรรณ กล่าวว่า จากบทสัมภาษณ์ดังกล่าวหากอ่านให้ครบถ้วนกระบวนความ จะเข้าใจความหมายได้ว่า ถ้อยคำได้มุ่งเน้นว่า ยอดการผลิตรถยนต์ของไทยในปี 2555 สูงมากเนื่องจากมีนโยบายรถคันแรก เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมโดยรวมเนื่องจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีก่อนหน้า ซึ่งโรงงานส่วนใหญ่ที่โดนน้ำท่วมเป็นโรงงานผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน และหลายบริษัทเป็นบริษัทญี่ปุ่น จึงมีการทวงถามจากบริษัทต่างชาติและการทวงถามในเชิงรัฐต่อรัฐถึงการช่วยเหลืออย่างมาก รัฐบาลจึงออกหลักเกณฑ์รถคันแรกขึ้น ซึ่งเป็นธรรมดาว่าเมื่อยอดขายของลูกค้าคือผู้ผลิตรถยนต์มีมากขึ้น ในฐานะของผู้ผลิตชิ้นส่วนก็ย่อมขายมากไปด้วย

นางชนาพรรณ กล่าวว่า คำสัมภาษณ์ดังกล่าวผ่านมา 3 ปี และเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านมาเกือบ 10 ปี แต่ก็ยังมีผู้พยายามนำเรื่องนี้ไปโยงการเมือง ว่ามีการออกนโยบายรถคันแรกเพื่อเอื้อไทยซัมมิท ทั้งๆ ที่ในช่วงเวลานั้น ไม่มีบุคคลในครอบครัวคนใดข้องเกี่ยวกับทางการเมืองเลย และมีข่าวให้เห็นมากมายว่าผู้ที่เดือดร้อน และกดดันรัฐบาลคือนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม จากที่มีผู้โจมตีบิดเบือนว่า งบ 9.1 หมื่นล้านที่รัฐบาลในขณะนั้นออกมาเพื่อช่วยเหลือ ไทยซัมมิทกวาดงบรัฐไป 7.5 หมื่นล้าน ความเป็นจริงก็คือ ตัวเลขดังกล่าวคือยอดขายของไทยซัมมิททั้งหมดในปีนั้น แต่บริษัทก็มีฐานยอดขายของตัวเองเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว และไทยซัมมิทก็ไม่ได้เป็นผู้เรียกร้องวิ่งเต้นใดๆ ในเรื่องนโยบายนี้เลย การขึ้นลงของรายได้เป็นไปตามปกติจากคำสั่งซื้อของลูกค้าเท่านั้น ซึ่งเรื่องนโยบายรถคันแรก ก็ไม่ได้ส่งผลกับผู้ประกอบการมากเท่ากับผู้ซื้อเอง ที่เป็นประชาชนคนไทยทั่วไป งบประมาณเหล่านี้ยังถูกนำไปช่วยสนับสนุนแก่ประชาชนผู้ถูกน้ำท่วมและประชาชนที่ซื้อรถ เป็นนโยบายที่สร้างประโยชน์แก่ประชาชน ไม่ได้เป็นการสนับสนุนบริษัทใดๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนเป็นพิเศษ

"เข้าใจได้ว่าการมีคนในครอบครัวเข้ามายุ่งการเมือง ทำให้ต้องถูกโจมตีบ้างเป็นธรรมดา แต่การบิดเบือนข้อมูลจากคำสัมภาษณ์มาตลอดแบบเดิมๆ เป็นระยะเวลา 3 ปี ทำให้ตนเอง และบริษัทได้รับความเสื่อมเสีย และข้อความนี้ก็ยังถูกนำมาใช้ และใช้อย่างบิดเบือนอยู่ตลอดแม้จนถึงปัจจุบันเมื่อต้องการโจมตีให้บริษัทเข้าไปพัวพันกับการเมือง ดังนั้นตนจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้ชี้แจ้งข้อเท็จจริงแก่พี่น้องประชาชน เพื่อทำความเข้าใจ และใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข่าวสาร และตนอยากขอความเป็นธรรมให้แก่กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ที่ประกอบกิจการด้วยความซื่อสัตย์โปร่งใสตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาด้วย"

ไทยจะเป็นผู้ชนะในศึกอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างไร มองครบทุกมิติ กับ ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ

มีนาคม 31, 2021 | By Techsauce Team

จากอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปแบบดั้งเดิม สู่ยานยนต์ไฟฟ้านั้น ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแค่ภายนอก แต่คือ การเปลี่ยนทั้ง Supply Chain ความสะอาดของรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นอยู่กับที่มาของพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อน รวมไปถึง Ecosystem ที่ต้องเอื้อต่อการใช้งาน การรองรับความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ได้เน้แค่ Supply แต่ความท้าทายมากกว่านั้นคือ การสร้าง Demand


ประเทศไทยผู้เป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับต้น ๆ ของโลก เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะสามารถกลายเป็นผู้ชนะอีกครั้งได้อย่างไร ถ้าจะดึงดูดการลงทุนให้กลับเข้าประเทศอีกครั้ง เงื่อนไขแบบไหนที่จะ Win-Win

ร่วมพูดคุยมุมมองในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบทุกมิติ กับ คุณชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานอาวุโส กลุ่มบริษัท ไทยซัมมิท

Key

  • แนวโน้มการลงทุนของต่างชาติในประเทศไทย

  • การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์จากดั้งเดิมสู่ไฟฟ้านั้นมีวิธีอย่างไร

  • การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอย่างไร

  • รถยนต์ไฟฟ้าจะให้พลังงานสะอาด จริงหรือไม่

    ฟัง Podcast ผ่านช่องทางต่างๆ ได้ที่

การขับเคลื่อนกลุ่มไทยซัมมิทให้ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ระดับโลกเพื่อส่งต่อกิจการไปยังทายาทรุ่นหลัง คือภารกิจของ ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้นำรุ่นสองที่รับไม้ต่อจากบิดาและผู้ก่อตั้ง พร้อมตั้งเป้ารายได้ทะยานสู่แสนล้านภายใน 5 ปี

อาณาจักร “ไทยซัมมิท” ได้เริ่มต้นขึ้นจากการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำของประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2520 โดยโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มไทยซัมมิทสามารถแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม ตามประเภทผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต โดยมีกลุ่ม Automotive Metal Forming (ผลิตโครงสร้างเหล็กทั้งหมด) และกลุ่ม Interior and Exterior (ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกทั้งหมด) เป็นกลุ่มที่สร้างฐานรายได้หลักให้กับองค์กร มีฐานผลิตผ่าน 13 โรงงานใน 6 ประเทศแถบเอเชียและอเมริกาเหนือ

กลุ่มไทยซัมมิทตั้งเป้าหมายมุ่งทำรายได้ทั้งกลุ่มให้เทียบเท่าองค์กรระดับโลกที่ราว 1.1 แสนล้านบาทภายใน 5 ปี จากการเปิดเผยของ ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการ บริษัท ไทยซัมมิท โอโตพาร์ท อินดัสตรี จำกัด ในฐานะทายาทสาวคนโตวัย 40 ปี ผู้ได้รับมอบหมายให้รับช่วงกิจการต่อจาก พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้เป็นบิดาและผู้ก่อตั้งกลุ่มไทยซัมมิท

ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ประวัติ

“ยอมรับว่าเป็นเป้ารายได้ที่ท้าทายแต่ก็พยายามไปให้ถึง โดยเฉพาะในสภาพตลาดที่ยอดผลิตรถยนต์หดตัวจาก 2.4 ล้านคัน/ปี เหลือไม่ถึง 1.8 ล้านคัน/ปี และยังไม่เห็นปัจจัยชัดเจนที่จะทำให้ตลาดขยายตัวกว่านี้ จึงต้องหวังพึ่งรายได้จากต่างประเทศมากขึ้น แต่ถ้าทำได้ง่ายๆ ก็ไม่รู้จะตั้งเป็นเป้าหมายทำไม”

หล่อหลอมสู่ผู้นำ

ก่อนจะมาเป็นผู้บริหารหัวโต๊ะของกลุ่มไทยซัมมิทในวันนี้ ชนาพรรณผ่านการเรียนรู้งานภายใต้กิจการของครอบครัวมาหลากหลายตั้งแต่เด็ก จนถึงช่วงเวลาที่ชนาพรรณเพิ่งสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจากคณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการจัดการการผลิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกำลังฝึกงานอยู่ที่ Mitsubishi Corporation ที่ญี่ปุ่น ในปี 2545 ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจต้องเผชิญกับมรสุมความสูญเสียครั้งใหญ่ อันนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในอาณาจักรและภารกิจท้าทายของบัณฑิตใหม่ที่ต้องรับผิดชอบบริษัทในฐานะทายาท ร่วมนำทัพธุรกิจกับมารดา (สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการ)

“เราถูกปลูกฝังความรับผิดชอบและธุรกิจในสายเลือดของเรา หลังจากคุณพ่อเสีย เราต้องมานั่งหัวโต๊ะทันทีในตำแหน่งรองประธานของกลุ่ม โดยไม่มีช่วงที่เรียนรู้งานบริหารอย่างจริงจัง นับว่าเป็นความท้าทายและช่วงที่หนักหน่วงของครอบครัวรวมถึงตัวเองพอควร เพราะเป็นเด็กจบใหม่และยังไม่มีประสบการณ์”

การทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เป็นทางเลือกเดียวสำหรับชนาพรรณที่จะสร้างการยอมรับทั้งจากพนักงาน คู่ค้า และลูกค้า ภายใต้คำแนะนำเชิงนโยบายของมารดา ซึ่งเป็นประธานบริษัท ชนาพรรณเป็นผู้แสดงฝีมือด้านการวางแผนและตัดสินใจงานบริหาร

คำว่า “Build to Be” และ “การทำงานหนัก” เป็นสะพานให้เธอผ่านพ้นจนกระทั่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย พร้อมขยับชั้นระดับประเทศสู่หัวแถวของภูมิภาค ด้วยตัวเลขรายได้รวมชี้วัดความสำเร็จจากการผลิตของกลุ่มไทยซัมมิท ณ วันแรกที่ชนาพรรณก้าวขึ้นรับตำแหน่งอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านไต่ระดับถึง 7.2 หมื่นล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2559

ภารกิจส่งต่อรุ่นสาม

ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ประวัติ
ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการ บริษัท ไทยซัมมิท โอโตพาร์ท อินดัสตรี จำกัด

ชนาพรรณเน้นย้ำในภารกิจของเธอว่า “ต้องไม่ให้กลุ่มไทยซัมมิทพังในรุ่นเรา” โดยต้องเริ่มจากสร้างให้กลุ่มธุรกิจของครอบครัวเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งและมีมาตรฐานระดับโลก

“บริษัทที่มีรายได้แต่ไม่มีกำไรก็เจ๊งแต่บริษัทที่กำไรดีแต่ยอดขายไม่โตก็ไม่สามารถขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งได้ ดังนั้น ถ้าต้องการเป็นบริษัทที่แข็งแรงและเป็นเบอร์หนึ่งก็ต้องดูทั้งรายได้และกำไร ที่เราต้องวัดตัวเองกับบริษัทข้ามชาติที่เป็น listed company เพื่อเทียบตัวเรากับบริษัทระดับโลกเหล่านั้น”

ขณะที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากลุ่มไทยซัมมิทต้องเผชิญความผันผวนในหลายด้าน ตั้งแต่ภัยน้ำท่วมปี 2554 นโยบายรถคันแรก หรือแม้แต่ช่วงราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จึงทำให้ตัวเลขรายได้รวมของกลุ่มไทยซัมมิทมีความผันผวน อย่างไรก็ตาม รายได้ยังเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี และเติบโตสูงสุดที่ 7.5 หมื่นล้านบาทในปี 2555 จากนโยบายคืนภาษีรถคันแรก ส่งผลให้ยอดผลิตถยนต์ในประเทศสูงถึง 2.4 ล้านคัน และมียอดขายในประเทศถึง 1.4 ล้านคัน แม้หลังจากนั้นยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศจะไม่เคยแตะ 2 ล้านคันอีกเลย เช่นเดียวกับที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศก็ไม่เคยขึ้นไป 9 แสนคัน

“ปีนี้ตั้งเป้าหมายว่าเมื่อมาตรการภาษีรถคันแรกจบ ยอดขายรถยนต์ในประเทศน่าจะขึ้นไปได้ถึง 8 แสนคัน” ชนาพรรณกล่าว

สู่ World-Class

เส้นทางสำคัญที่จะนำพากลุ่มไทยซัมมิทให้ขับเคลื่อนสู่การเป็นองค์กรระดับ worldclass ได้ ชนาพรรณย้ำว่า การขยายฐานการผลิตไปปักหมุดต่างประเทศยังเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ ขณะเดียวกันก็ต้องมีความชัดเจนในเรื่องขององค์ความรู้ (know how) และเทคโนโลยี โดยชนาพรรณเน้นย้ำว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่สามารถผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ได้เช่นเดียวกันแต่แตกต่างกันที่คุณภาพความแข็งแรงของผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ รวมถึงการจัดการต้นทุน

ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ประวัติ
หนึ่งในโรงงานของกลุ่มไทยซัมมิทตั้งอยู่ที่ กม.16 ถนนบางนา-ตราด

“เราต้องบอกลูกค้าให้ได้ว่า แม้สินค้าเหมือนกัน แต่ความแม่นยำและคุณภาพสม่ำเสมอกว่า โดยความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการผลิตรถยนต์”

นอกจากนั้น ทางกลุ่มไทยซัมมิทยังได้จัดตั้ง ศูนย์ทดสอบงานเหล็กและศูนย์ทดสอบงานพลาสติก ขึ้น ด้วยงบประมาณราว 200 ล้านบาทต่อศูนย์ เพื่อยกระดับทางการวิจัยและพัฒนา รวมถึงพิสูจน์คุณภาพสินค้าของบริษัท

ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ประวัติ

สำหรับในส่วนการควบคุมต้นทุน เพื่อสร้างระดับกำไรให้เป็นมาตรฐาน ชนาพรรณเล่าว่า เริ่มจากการพัฒนาคนให้มีศักยภาพก่อน เพื่อให้เกิดอัตราการสร้างรายได้ต่อพนักงานที่ 5.1 ล้านบาท/หัว/คน ภายใน 5 ปี ซึ่งเมื่อย้อนหลังไปเมื่อ 5 ปีก่อนอยู่ที่ราว 3.1 ล้านบาท/หัว/คน

เช่นเดียวกับที่ต้องพุ่งเป้าการใช้แรงงานคนในงานที่มีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ใช้การจ้างบริษัทภายนอก เครื่องจักรขนาดใหญ่ และหุ่นยนต์มาทดแทนแรงงานคนสำหรับงานที่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม จากเดิมที่กลุ่มไทยซัมมิทเคยลงทุนซื้อหุ่นยนต์มาใช้งานเพียง 900 ตัวราว 5 ปีก่อนจึงเพิ่มเป็น 1,700 ตัวในปัจจุบัน

รวมถึงยังมุ่งในเรื่องปรับกระบวนการผลิตให้มีส่วนสูญเสียน้อยที่สุด ด้วยการพัฒนาระบบการผลิตที่เป็นของบริษัทในชื่อระบบ TSPS หรือ Thai Summit Production System เพื่อนำไปใช้ในทุกโรงงานของเครือ

ชนาพรรณทิ้งท้ายถึงภาพรวมวงการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของเมืองไทยว่า “แม้จะภูมิใจที่กลุ่มไทยซัมมิทสามารถยืนหยัดบนมาตรฐานระดับโลกได้ แต่ก็เสียใจที่ทุกวันนี้เหลือผู้ประกอบการในธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่เป็นองค์กรไทยที่ยืนอยู่เป็นเพื่อนเราน้อยลงมากจนมีไม่ถึง 10 ราย เพราะอย่างน้อยถ้าเราไม่ได้งานนี้บริษัทไทยอีกแห่งก็น่าจะได้ แต่ตอนนี้มองไปมีแต่บริษัทต่างชาติ เราจึงอยากเห็นผู้เล่นที่เป็นบริษัทไทยซึ่งสามารถยืนหยัดในตลาดมีจำนวนมากกว่านี้”

ภาพ: กิตติเดช เจริญพร


คลิกอ่าน "ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ "Build to Be" พิสูจน์ฝีมือ” โฉมใหม่ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กรกฎาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine

ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ประวัติ