Show
อิทธิพลดนตรีตะวันตกที่มีต่อดนตรีไทยนั้น จะเห็นได้จากหลักฐานต่างๆ เช่น คำบอกเล่า จดหมายเหตุต่างๆ วรรณกรรมต่างๆ บันทึกต่างๆ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น. เริ่มมีหลักฐานที่ชัดเจนมาตั้งแต่ สมัยกรุงธนบุรี เมื่อคราวสมโภชพระแก้วมรกตก็ปรากฏว่ามีการบรรเลงมโหรีไทยสลับกับมโหรีแขก ญวน และเขมรอยู่หลายวัน ปรากฏตามหมายรับสั่งตอนหนึ่งว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิณพาทย์ไทย พิณพาทย์รามัญ และมโหรีไทย มโหรีแขก ฝรั่ง ญวน เขมร ผลัดเปลี่ยนกันสมโภชสองเดือนกับสิบสองวัน ครั้นมาถึง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น นั้น อิทธิพลของดนตรีตะวันตกเริ่มมีมากขึ้นในสมัยของ รัชกาลที่ 4 ดังปรากฏตามที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงบันทึกไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 (วังหน้า) ได้ทรงคิดประดิษฐ์ระนาดทุ้มเหล็กขึ้น โดยยึดหลักจากกล่องเพลงที่ฝรั่งนำมาขายสมัยนั้น กล่องเพลงนี้ภายในมีโลหะคล้ายรูปหวี มีขนาดสั้นเรียงไปหายาว เมื่อไขลานแล้วจะมีแท่งโลหะรูปทรงกระบอกหมุนบนผิวกระบอกนั้นมีปุ่มโลหะซึ่งจัดไว้ให้หมุนไปสะกิดหวีโลหะนั้น เหมือนเราใช้เล็บกรีดหวีเล่น ก็จะเกิดเป็นเสียงออกมา และในช่วงรัชกาลที่ 4 – 5 นั้นได้เกิดวงแตรวง – โยธวาธิต ขึ้นมา เป็นวงที่ใช้ในยุโรปและสหรัฐอเมริกามาแต่โบราณ เข้ามามีบทบาทในไทยสมัยมีการฝึกแถวทหารแบบอังกฤษ โดยมีครูฝึกดนตรีเพื่อการสวนสนามเข้ามาวางรากฐานให้ เช่น ร.อ. น็อกซ์ ร.อ. อิมเปย์ ภายหลังสมเด็จฯเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพัธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดีกระทรวงทหารเรือและทหารบก ได้นดนตรีเครื่องเปล่ามาเล่นเพลงพระนิพนธ์ซึ่งเป็นเพลงไทยดัดแปลงและเพลงไทยใหม่ จากนั้นก็ได้รับความนิยมแพร่หลายจากกองทัพสู่ประชาชนในเวลาต่อมา ทำให้เกิดแตรวงชาวบ้านขึ้นมา ในอดีตจนถึงปัจจุบัน คนไทยนิยมใช้แตรวงประโคมแห่ในงานพิธีกรรมที่มีชาวบ้านมาชุมนุมกัน เช่น งานบวชนาค ทำขวัญ งานแห่ขันหมาก งานศพ ฯลฯ บทเพลงที่แตรวงนำมาบรรเลงมีนานาประเภททั้งเพลงไทยแบบแผนดั้งเดิม ไปจนถึงเพลงรำวง เพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง เพลงมารช์ เป็นต้น ชาวแตรวงสามารถจดจำมาเล่นได้อย่างสนุกสนาน เครื่องดนตรีในวงแตรวงประกอบด้วยเครื่องเป่าลมไม้ เครื่องเป่าทองเหลือง และเครื่องกระทบจังหวะเป็นหลัก นอกจากนี้อาจผสมเครื่องอื่นๆเข้าไปด้วย เช่น ตะโพน เปิงมางคอก กลองแขก คีย์บอร์ด เบสไฟฟ้า และเครื่องกระทบอื่นๆ เป็นต้น สำหรับวงโยธวาธิต (Military Band) เป็นการผสมวงดุริยางค์เครื่องเป่าที่มีแบบแผนกว่าแตรวงชาวบ้าน เมื่อเริ่มแรกมักเล่นกันในหมู่ทหาร จึงตั้งชื่อว่า Military Band ปัจจุบันตามโรงเรียนต่างๆ ส่งเสริมให้มีการจัดวงดนตรีชนิดนี้ขึ้น ใช้บรรเลงเดินแถว สวนสนาม แปลขบวน เรียกชื่ออีกอย่างว่า มาร์ชชิงแบนด์ (Marching Band) นอกจากอิทธิพลของดนตรีตะวันตกดังกล่าวแล้ว มาถึงในยุคสมัยรัชกาลที่ 6 นั้น การติดต่อค้าขายมีความสัมพันธ์ไมตรีเจริญแล้ว จึงมีอิทธิพลด้านภาษา การค้า การบริโภค แนวความคิด งานศิลปะ จึงมาเกี่ยวข้องกับสังคมไทยในยุคนั้นมาก ศิลปินชาวไทยจึงนำเอาเครื่องดนตรีของต่างชาติเข้ามาผสมกับเครื่องดนตรีไทยเป็นวงบรรเลงขึ้นใหม่ และนำเอาเครื่องเล่นมาดัดแปลงสู่ระเบียบวิธีแบบไทย ในรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ไว้มาก ราวๆ 60 ชื่อ แต่บรรดาศักดิ์เฉพาะนักดนตรีไทยนี้สัมผัสกันกับกองเครื่องสายฝรั่งหลวงด้วย เพราะถือว่าสัมพันธ์กัน และรัชกาลที่ 6 ท่านทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนพรานหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ขึ้น ให้เด็กๆ นักเรียนศึกษาวิชาสามัญและวิชาศิลปะต่างๆ ตามสังกัด (โขน,ละคร,ดนตรีไทย,ดนตรีฝรั่ง) เมื่อจบแล้วก็เข้ารับราชการในกรมมหรสพ หรือกรมอื่นๆในพระราชสำนัก นับเป็นรัชกาลที่การโขนละครและดนตรีไทยและดนตรีฝรั่งเจริญอย่างสูงสุด ต่อมาในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 อิทธิพลทางดนตรีตะวันตกที่มีผลต่อดนตรีไทย นั้น จะเห็นได้จาก เพลงพระราชนิพนธ์ ของพระองค์ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง ซึ่งแลเห็นได้ว่าได้รับอิทธิพลจากศิลปะตะวันตก ได้แทรกซึมเข้ามาในพระราชหฤทัยมิใช่น้อย ในการพระราชนิพนธ์บทเพลง ต่อมาถึงช่วงรัตนโกสินทร์ตอนปลาย ในสมัยรัชกาลที่ 8 – 9 รัชกาลปัจจุบัน อิทธิพลดนตรีตะวันตกที่มีต่อดนตรีไทยหลักๆ จะเห็นได้จาก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านทรงมีพระปรีชาสามารถในทางดนตรีตะวันตกอย่างเชี่ยวชาญ ทรงพระราชนิพนธ์เพลงขึ้นไว้หลายเพลง พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนให้กรมศิลปากร จัดพิมพ์เพลงไทย เป็นโน้ตสากลออกจำหน่าย และโปรดเกล้าฯ ให้อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตรวจวัดความสั่นสะเทือนเสียงเครื่องดนตรีไทยเพื่อวัดระดับเสียงเพื่อที่จะวางมาตรฐานของดนตรีไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเกี่ยวข้องกับเรื่องดนตรีต่างๆนั้น เริ่มตั้งแต่สมัยที่ยังทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ในรัชกาลที่ 8 ทรงศึกษาอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยทรงฝึกเครื่องดนตรีที่โปรดมากที่สุด เครื่องในตระกูลเครื่องลมไม้ เช่น คลาริเนต แซกโซโฟน โดยทรงฝึกตามโน้ตและการบรรเลงแบบคลาสสิค ทั้ง ๆ ที่ทรงมีพระราชหทัยโปรดที่จะทรงดนตรีแบบแจ๊ส ภายหลังเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติจึงได้ฝึกทรงเปียโนเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อทรงใช้ประกอบการพระราชนิพนธ์เพลง และทรงเปียโนเพื่อร่วมกับวงดนตรีเป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(ในรัชกาลปัจจุบัน) ทรงสนพระทัยการพระราชนิพนธ์เพลง และทรงทราบว่า ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริฯ ทรงเป็นนักแต่งเพลง จึงได้นัดหมายให้มาเข้าเฝ้าให้ทรงช่วยแต่งคำร้องด้วย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงทรงมีการพระราชนิพนธ์เพลงขึ้นและได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานไปยังวงดนตรีต่างๆในสมัยนั้น เช่น วงดนตรีสุนทราภรณ์ วงดนตรีดุริยโยธิน รวมทั้งวงดนตรีประจำมหาวิทยาลัยต่างๆ ในโอกาสต่อมา เพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์เพลงแรกคือ เพลงแสงเทียน พ.ศ. 2489 เป็นเพลงบลูส์ แต่เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น จึงยังไม่โปรดเกล้าฯ พระราชทานออกมา แต่ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานเพลง ยามเย็น และเพลง สายฝน ซึ่งเป็นที่ซาบซึ้งและประทับใจของพสกนิกรอย่างมาก และเพลงลำดับต่อมาเป็นเพลง ใกล้รุ้ง ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในสมัยยังทรงเป็นพระอนุชาธิราช ของรัชกาลที่ 8 ตอนปลายรัชสมัย คำร้องภาษาไทยโดย ศ.ดร.ปะเสริฐ ณ นคร และ ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริฯ ทรงช่วยแก้ไขให้ด้วย เพลงนี้โปรดเกล้าฯให้นำออกบรรเลงครั้งแรกในงานของสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2489 บรรเลงโดยวงดนตรีสุนทราภรณ์ ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงการยกตัวอย่างอิทธิพลดนตรีตะวันตกที่มีต่อดนตรีไทยตามประวัติศาสตร์ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์บางส่วนเท่านั้น ยังมีหลักฐานอื่นอีกมากซึ่งในที่นี้ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวถึง เพื่อความรวบรัดในการนำเสนอ แต่อย่างไรก็ตามอิทธิพลของดนตรีตะวันตกนั้น ส่งผลต่อดนตรีของไทยเราเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีอิทธิพลโดยตรงต่อสังคม ประเทศชาติ อีกด้วย ทำให้เกิดบทเพลง ประเภทเพลงเกียรติยศขึ้นมา เช่น เพลงชาติไทย และ เพลงสรรเสริญพระบารมี กว่าจะมาเป็นเพลงชาติไทยและเพลงสรรเสริญพระบารมีในปัจจุบัน ได้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งเนื้อร้องและทำนองแล้วมาหลายครั้ง แนวคิดเรื่องเพลงชาติของไทยได้รับอิทธิพลจากประเทศตะวันตกที่มีเพลงประจำชาติมาก่อน โดยเฉพาะประเทศอังกฤษ โดยในปลายรัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2395 นายทหารอังกฤษ ร้อยเอกอิมเปย์ และร้อยเอกน็อกซ์ ซึ่งเข้ามาเป็นครูฝึกทหารในวังหลวงและวังหน้า ได้ใช้เพลง God Save the Queen ซึ่งเป็นทั้งเพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมีของอังกฤษ เป็นเพลงฝึกสำหรับทหารแตร ต่อมาพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูล) ได้ประพันธ์เนื้อร้องขึ้นใหม่ (ใช้ทำนองเดิม) และตั้งชื่อเพลงขึ้นใหม่ว่า จอมราชจงเจริญ นับเป็นเพลงชาติฉบับแรกของประเทศสยาม ต่อมาในปี พ.ศ. 2414 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองสิงคโปร์ ในขณะนั้นสิงคโปร์เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอยู่ กองทหารดุริยางค์ของสิงโปร์บรรเลงเพลง God Save the Queen เพื่อถวายความเคารพ พระองค์ทรงตระหนักดีว่าประเทศมีความจำเป็นที่จะต้องมีเพลงชาติเป็นของตัวเอง เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกราชของชาติ จึงได้โปรดให้คณะครูดนตรีไทยปรึกษาหาเพลงชาติที่มีความเป็นไทยมาใช้แทนเพลง God Save the Queen ได้นำเพลง บุหลันลอยเลื่อน ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 2 นำมาเรียบเรียงใหม่ให้มีความเป็นสากลขึ้นโดย เฮวุตเซน (Hevutzen) นับเป็นเพลงชาติไทยฉบับที่ 2 ใช้บรรเลงในระหว่างปี พ.ศ. 2414 – 2431 เพลงชาติไทยฉบับที่ 3 คือเพลงสรรเสริญพระบารมี (ฉบับปัจจุบัน) ประพันธ์โดย ปโยตร์ สชู-โรฟสกี้ (Pyotr Schurovsky) นักประพันธ์ชาวรัสเซีย คำร้องเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ต่อมา รัชกาลที่ 6 ได้ทรงแก้ไขเพิ่มเติมใช้บบรเลงเป็นเพลงชาติในระหว่างปี พ.ศ. 2431 – 2475 เพลงชาติไทยฉบับที่ 4 เป็นเพลงชาติที่ใช้ระหว่างการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ได้ประพันธ์คำร้องขึ้นและอาศัยทำนองของเพลงมหาชัย จึงเรียกว่า เพลงชาติมหาชัย ทั้งนี่เพื่อใช้ขับร้องปลุกเร้าใจให้เกิดความรักชาติ สามัคคีในระหว่างที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เนื่องจากเห็นว่าเพลงสรรเสริญพระบารมีนั้นเป็นเพลงสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ เพลงชาติไทยฉบับที่ 5 คือฉบับประพันธ์ทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยกร) คำร้องโดยขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์) ใช้เป็นเพลงชาติแทนเพลงชาติมหาชัยหลังเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ไม่นานใช้มาถึงปี พ.ศ. 2477 แต่ยังไม่ได้มีประกาศรับรองจากทางราชการ เพลงชาติฉบับที่ 6 คือฉบับของพระเจนดุริยางค์ ที่เพิ่มคำร้องของ นายฉันท์ ขำวิไล เข้าต่อจากคำร้องของขุนวิจิตรมาตรา โดยเป็นผลจากการจัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติขึ้น ฉบับนี้ใช้ในปี พ.ศ. 2477 – 2482 นับเป็นเพลงชาติที่ทางราชการรับรองเป็นฉบับแรก ต่อมาในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก สยาม เป็น ประเทศไทย จึงเกิดปัญหาเรื่องเนื้อเพลงชาติซึ่งมีคำว่า สยาม อยู่หลายวรรค รัฐบาลจึงจัดประกวดเพลงชาติอีกครั้งใน พ.ศ. 2482 โดยให้ใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์เดิม แต่ให้เนื้อเพลงสั้นลงเหลือเพียงแปดววรค ผลปรากฏว่าเนื้อร้องของ พันเอก หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ได้รับการคัดเลือก รัฐบาลจึงประกาศให้ใช้เพลงชาติไทยฉบับใหม่นี้ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 อีกหนึ่งเพลงที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีตะวันตกคือเพลงมหาฤกษ์ เพลงมหาฤกษ์ เป็นอีกหนึ่งเพลงที่สำคัญ เป็นเพลงทำนองอัตราสองชั้น เพลงมหาฤกษ์ เป็นเพลงคู่กัน กับเพลงมหาชัย เรียกติดปากกันว่า มหาฤกษ์มหาชัย สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยทั่วไปใช้ในการเปิดสถานที่หรือเปิดงานตามฤกษ์ยามที่กำหนด เนื่องจากการดำเนินทำนองเพลงมหาฤกษ์นั้นผู้ฟังจะได้ยินเสียงกระหึ่มของดนตรีที่บรรเลงพร้อมเพรียงกัน ก่อให้เกิดความปิติยินดีและความศรัทธา ต่อมาสมเด็จฯเจ้าฟ้าบริพัตรสขุมพันธ์กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงดัดแปลงมหาฤกษ์ทางไทย ออกเป็นทางประสานเสียงตามแบบสากล โดยยึดหลักทำนองเดิม แต่แก้ไขเฉพาะตอนขึ้นต้นและลงท้ายให้สง่าผ่าเผยขึ้น ซึ่งการประสานเสียงตามแบบสากลนี้ช่วยให้ผู้ฟังเกิดความเร้าใจขึ้นเป็นอันมาก เพลงมหาชัย มีปรากฏอยู่ในเพลงตับมโหรีเรื่องทำขวัญครั้งกรุงเก่า ความหมายของเพลงมหาชัยนั้นบอกถึงการอวยชัยให้พร พ.ศ. 2438 สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ขณะทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ทรงนิพนพธ์เพลงมหาชัยขึ้น แล้วประทานให้พระยาวาทิตบรเทศ นำไปแต่งแยกเสียงประสานสำหรับแตรวงทหารบรรเลงเป็นเพลงเดิน และประทานให้ ร้อยตรี ยาคอบ ไฟต์ (บิดา พระเจนดุริยางค์) ครูแตรวงทหารบกในขณะนั้น นำไปแยกเสียงประสานสำหรับแตรวงทหารม้า ในสมัยรัชกาลที่ 6 สมเด็จฯเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงพิจารณาแก้ไขปรับปรุงให้เป็นทางสากลกะทัดรัดมากขึ้น โดยให้วงดุริยางค์ทหารบกและทหารเรือบรรเลงกันเป็ฯเพลงเคารพ หรือเพลงคำนับประทานของงานที่มีศักดิ์ (แต่ไม่เทียบเท่าเพลงสรรเสริญพระบรมีซึ่งใช้กับพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีเท่านั้น) ปัจจุบันเพลงมหาชัยใช้บรรเลงแสดงความเคารพหรือต้อนรับบุคคลคือ พระบรมวงศานุวงศ์และสมเด็จพระราชชนนี ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และนายกรัฐมนตรี. จากทั้งหมดที่นำเสนอมา เห็นได้ว่าอิทธิพลดนตรีตะวันตก มีความสำคัญต่อ ดนตรีไทย สังคมไทย พิธีกรรม ราชพิธี ต่างๆ เป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดเจนจากเพลงชาติไทยเพราะเรารับเอาวัฒนธรรมดนตรีของชาติตะวันตกมาปรับเปลี่ยน ดัดแปลงเข้ากับวัฒนธรรมดนตรีของไทยเราเอง จนเกิดมาเป็นเพลงชาติไทยที่เราร้องกันอยู่ถึงปัจจุบันนี้ อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัฒนธรรมดนตรีตะวันตกเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยดนตรีตะวันตก เริ่มเข้ามาสู่ประเทศไทยและไทยรับมาใช้ในราชการตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทหารชาวอังกฤษสองคนชื่อ นอกซ์ (Knox) และ อิมเป (Impey) ได้นำแตรฝรั่งเข้ามาเป่าแตรสัญญาณและบรรเลงเพลงถวายความเคารพพระมหากษัตริย์ ต่อมาจึงพัฒนาขึ้นมาเป็นแตรวงของทหาร ใช้บรรเลงนำขบวนแห่และบรรเลงเพลงไทย ...
ดนตรีมีความสําคัญต่อสังคมอย่างไรบ้างอิทธิพลของดนตรีกับบุคคลและสังคม
ดนตรีถูกสร้างมาสนับสนุนการดาเนินชีวิตของมนุษย์ • ดนตรีช่วยจุดประกายแสงสว่างให้แก่เหตุการณ์สาคัญต่างๆ ทั้งในยามสุขและทุกข์ • ดนตรีช่วยให้บุคคลที่มีอารมณ์ตึงเครียดผ่อนคลายลงได้ • ดนตรีช่วยให้บุคคลมีความภาคภูมิใจในความเป็นหมู่คณะและความเป็นชาติของตน
เพราะเหตุใดจึงกล่าวว่าดนตรีมีบทบาทในการสะท้อนสังคม1. ดนตรีให้ความสนุกสนาน ผ่อนคลายความเครียด ปลุกเร้าอารมณ์และจิตใจให้มีความสุข มีสุขภาพจิตดี 2. ดนตรีช่วยเสริมสร้างความสามัคคีของคนในสังคมให้มีความรักชาติ ทำให้ชาติเป็นสังคมที่สงบสุข เช่น เพลงปลุกใจ เพลงชาติไทย
ดนตรีเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยอย่างไร1. ดนตรีให้ความสนุกสนาน ผ่อนคลายความเครียด ปลุกเร้าอารมณ์และจิตใจให้มีความสุข มี สุขภาพจิตดี 2. ดนตรีช่วยเสริมสร้างความสามัคคีของคนในสังคมให้มีความรักชาติ ทาให้ชาติเป็นสังคมที่สงบ สุข เช่น เพลงปลุกใจ เพลงชาติไทย
|