เมื่อมีอายุครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์ คนไทยทุกคนจะต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประชาชนต่อแถวรอออกเสียงเลือกตั้ง

การเลือกตั้งในประเทศไทย เป็นกระบวนการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้ได้มาซึ่งบุคคลเข้าไปทำหน้าที่ในการปกครองประเทศไทยทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น ในระดับชาติมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอาจรวมถึงสมาชิกวุฒิสภาในรัฐธรรมนูญบางฉบับ ปัจจุบันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนโดยใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดและระบบบัญชีรายชื่อ แต่การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาถูกยกเลิกไปตามรัฐธรรมนูญปี 2560 แล้ว ส่วนตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นนั้น ได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายกเมืองพัทยา นายกองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และสภา

กฎหมายที่กำหนดการเลือกตั้งในประเทศไทย มีทั้งรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชกฤษฎีกาและระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในอดีตการจัดการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย ก่อนจะเปลี่ยนให้มาเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญปี 2538[1]

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง[แก้]

การเลือกตั้ง จัดขึ้นภายใต้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป (universal suffrage) ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 อย่างไรก็ตาม มีข้อกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอยู่บางประการ

  • มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด หรือแปลงสัญชาติเป็นไทยมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี
  • มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์
  • มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง

ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม คือ ต้องไม่เป็นพระสงฆ์ สามเณร นักพรตหรือนักบวช, ต้องไม่อยู่ในระหว่างเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง, ต้องไม่ถูกคุมขังด้วยหมายของศาลหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย, ต้องไม่เป็นคนสติฟั่นเฟือน[2]

การเลือกตั้งทั่วไป[แก้]

ระบบการเลือกตั้ง[แก้]

เมื่อมีอายุครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์ คนไทยทุกคนจะต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

เนื้อหาในบทความนี้ล้าสมัย โปรดปรับปรุงข้อมูลให้เป็นไปตามเหตุการณ์ปัจจุบันหรือล่าสุด ดูหน้าอภิปรายประกอบ

ในระบบบัญชีรายชื่อ จะมีการคัดเลือกด้วยขั้นตอนดังนี้[5]

  1. ให้แต่ละพรรค ส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครจำนวนไม่เกิน 125 คน
    1. บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องประกอบด้วยรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเป็นธรรม และต้องคำนึงถึงโอกาส สัดส่วนที่เหมาะสมและความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชาย
    2. รายชื่อในบัญชีต้องไม่ซ้ำกับบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองอื่นจัดทำขึ้น และไม่ซ้ำกับรายชื่อของผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
    3. จัดทำรายชื่อเรียงตามลำดับหมายเลข (จาก 1 ลงไป)
  2. หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง ให้นับคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อของทุกพรรคการเมืองรวมกันทั้งประเทศ แล้วหารด้วย 125 จะได้คะแนนเฉลี่ยต่อผู้แทน 1 คน
  3. นำคะแนนของแต่ละพรรคการเมือง หารด้วยคะแนนเฉลี่ยที่คำนวณไว้ จะได้จำนวนผู้แทนระบบบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น
    1. เศษทศนิยม ให้ปัดทิ้งทั้งหมด แต่ให้เก็บข้อมูลเศษทศนิยมของแต่ละพรรคไว้ (เช่น พรรค ก ได้ 52.7 คน ปัดทิ้งเหลือ 52)
    2. รวมจำนวนผู้แทนของทุกพรรค หากยังได้ไม่ครบ 125 ให้กลับไปดูที่เศษทศนิยมของแต่ละพรรค พรรคใดที่มีเศษเหลือมากที่สุด ให้เพิ่มจำนวนผู้แทนจากพรรคนั้น 1 คน หากยังไม่ครบ ให้เพิ่มผู้แทนจากพรรคที่มีเศษเหลือมากเป็นอันดับสองขึ้นอีก 1 คน ทำเช่นนี้ตามลำดับจนกว่าจะได้ครบ 125 คน (เช่น พรรค ก ได้ 52.7 คน ตอนแรกได้ 52 เศษ 0.7 แต่ถ้าจำนวนผู้แทนยังไม่ครบ และไม่มีพรรคใดมีเศษมากกว่า 0.7 พรรค ก จะได้เพิ่มเป็น 53 คน)
  4. เมื่อได้จำนวนผู้แทนในระบบนี้ที่ลงตัวแล้ว ผู้สมัครของพรรคนั้น จากอันดับหนึ่ง ไปจนถึงอันดับเดียวกับจำนวนผู้แทนของพรรคนั้น จะได้เป็นผู้แทนราษฎร (เช่น พรรค ก ได้ 53 คน ผู้ที่มีรายชื่อตั้งแต่อันดับ 1 ถึง 53 จะได้เป็นผู้แทน)

ระบบแบ่งเขต[แก้]

เกณฑ์การแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 เขตนั้น ตามรัฐธรรมนูญ ได้ประกาศให้มีหลักเกณฑ์ในการแบ่ง ดังต่อไปนี้[6]

  1. นำจำนวนราษฎรทั้งประเทศ จากทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีก่อนการเลือกตั้ง หารด้วยจำนวนผู้แทนในระบบเขต (คือ 375) จะได้อัตราส่วนของราษฎรต่อผู้แทน 1 คน
  2. นำจำนวนราษฎรในแต่ละจังหวัด หารด้วยอัตราส่วนที่คำนวณไว้ จะได้จำนวนเขตเลือกตั้งที่มีในจังหวัด
    1. จังหวัดที่ผลหารต่ำกว่า 1 เขต (เช่น 0.86 เขต) ให้ปัดขึ้นเป็น 1 เขต (ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีจังหวัดใดเข้าข่ายกรณีนี้)
    2. จังหวัดที่ผลหารมากกว่า 1 และมีเศษทศนิยม ให้ปัดเศษทิ้งทั้งหมด แต่ให้เก็บข้อมูลของเศษทศนิยมไว้ (เช่น 4.93 ปัดทิ้งเหลือ 4)
    3. รวมจำนวนผู้แทนของทั้ง 77 จังหวัด หากยังไม่ครบ 375 เขต ให้เพิ่มจำนวนเขตในจังหวัดที่มีเศษทศนิยมเหลือมากที่สุดขึ้นไป 1 เขต หากยังไม่ครบอีก ให้เพิ่มจำนวนเขตในจังหวัดที่มีเศษทศนิยมเหลือเป็นอันดับสองขึ้นไปอีก 1 เขต ทำเช่นนี้ไปตามลำดับ จนกว่าจะได้จำนวนครบ 375
  3. จังหวัดใดมีจำนวนเขตมากกว่า 1 เขต จะต้องแบ่งเขตโดยให้พื้นที่ของแต่ละเขตติดต่อกัน และแต่ละเขตต้องมีจำนวนราษฎรที่ใกล้เคียงกันด้วย (หลังจากการเลือกตั้ง ผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงที่สุดในแต่ละเขต จะได้เป็นผู้แทน)

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[แก้]

ครั้งที่ [7]วันที่วิธีการเลือกตั้งจำนวน
ผู้สมัคร
จำนวน
ส.ส.
ผู้มีสิทธิ
เลือกตั้ง
ผู้มาใช้สิทธิ
เลือกตั้ง
ร้อยละจังหวัดที่มีผู้ใช้
สิทธิมากที่สุด
ร้อยละจังหวัดที่มีผู้ใช้
สิทธิน้อยที่สุด
ร้อยละหมายเหตุ
1 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ทางอ้อม - 78 4,278,231 1,773,532 41.45 เพชรบุรี 78.82
2 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 แบ่งเขต - 91 6,123,239 2,462,535 40.22 นครนายก 80.50 แม่ฮ่องสอน 22.24
3 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 แบ่งเขต - 91 6,310,172 2,210,332 35.05 นครนายก 67.36 ตรัง 16.28
4 6 มกราคม พ.ศ. 2489 แบ่งเขต - 96 6,431,827 2,091,827 32.52 บุรีรัมย์ 54.65 สุพรรณบุรี 13.40
5 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 แบ่งเขต - 5,819,662 2,026,823 34.92 สกลนคร 57.49 นราธิวาส 16.62 เลือกตั้งเพิ่มเติมตามจำนวนพลเมือง (รธน. 2489)
6 29 มกราคม พ.ศ. 2491 รวมเขต - 99 7,176,891 2,177,464 29.50 ระนอง 58.69 สมุทรปราการ 15.68
7 5 มิถุนายน พ.ศ. 2492 รวมเขต - 21 3,518,276 870,208 24.27 สกลนคร 45.12 อุดรธานี 12.02 เลือกตั้งเพิ่มเติมตามจำนวนพลเมือง (รธน. 2492)
8 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 รวมเขต - 123 7,602,591 2,961,191 38.95 สระบุรี 77.78 พระนคร 23.03
9 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 รวมเขต 699 160 9,859,039 5,668,666 57.50 สระบุรี 93.30
10 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 รวมเขต 813 160 9,917,417 4,370,789 44.07 ระนอง 73.30 อุดรธานี 29.92
11 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 รวมเขต 1,253 219 14,820,400 7,289,837 49.16 ระนอง 73.95 พระนคร 36.66
12 26 มกราคม พ.ศ. 2518 แบ่งเขต
รวมเขต
2,199 269 20,243,791 9,549,924 47.17 ภูเก็ต 67.87 เพชรบูรณ์ 32.31
13 4 เมษายน พ.ศ. 2519 แบ่งเขต
รวมเขต
2,369 279 20,623,430 9,072,629 43.69 นครพนม 63.53 เพชรบูรณ์ 26.64
14 22 เมษายน พ.ศ. 2522 แบ่งเขต
รวมเขต
1,523 301 21,283,790 9,344,045 43.90 ยโสธร 77.11
15 18 เมษายน พ.ศ. 2526 แบ่งเขต
รวมเขต
1,880 324 24,224,470 12,295,339 50.76 ยโสธร 79.62
16 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 แบ่งเขต
รวมเขต
3,613 347 26,224,470 16,670,957 61.43 ชัยภูมิ 85.15
17 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 แบ่งเขต
รวมเขต
3,612 357 26,658,638 16,944,931 63.56 ยโสธร 90.42
18 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 แบ่งเขต
รวมเขต
2,851 360 31,660,156 19,622,322 61.59 มุกดาหาร 87.11
19 13 กันยายน พ.ศ. 2535 แบ่งเขต
รวมเขต
2,417 360 31,660,156 19,622,322 61.59 มุกดาหาร 90.43
20 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 แบ่งเขต
รวมเขต
2,372 391 37,817,983 23,462,748 62.04 มุกดาหาร 83.80
21 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 แบ่งเขต
รวมเขต
2,310 395 38,564,836 24,040,836 62.42 สระแก้ว 87.71 กรุงเทพมหานคร 48.97
22 6 มกราคม พ.ศ. 2544 แบ่งเขต
บัญชีรายชื่อ
2,276
940
400
100
42,759,001 29,904,940
29,909,271
69.94
69.95
ลำพูน 83.78
23 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 แบ่งเขต
บัญชีรายชื่อ
1,707
582
400
100
44,572,101 32,337,611
32,341,330
72.55
72.56
ลำพูน 86.56 หนองคาย 62.55
24 2 เมษายน พ.ศ. 2549 แบ่งเขต
บัญชีรายชื่อ
การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
หมายเหตุ เนื่องจากพรรคไทยรักไทยได้ว่าจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กในลงรับสมัครรับเลือกตั้งโดยที่คะแนนเสียงเลือกไม่ถึง 20% ตามคำพิพากษาในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549
และ พรรคไทยรักไทยโดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้งหมด 111 คน คนละ 5 ปี
25 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 แบ่งเขต
สัดส่วน
3,894
1,260
400
80
44,002,593 32,775,868
32,792,246
74.49
74.52
26 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 แบ่งเขต
บัญชีรายชื่อ
2,422
1,410
375
125
46,939,549 35,220,377
35,220,208
75.03 ลำพูน 88.61 หนองคาย 68.59
27 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 แบ่งเขต
บัญชีรายชื่อ
การเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
หมายเหตุ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ กำหนดให้เลือกตั้งครั้งนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะไม่สามารถเลือกตั้งให้แล้วเสร็จทั่วประเทศได้ภายในวันเดียวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 วรรคสอง และเมื่อพระราชกฤษฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งนี้จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไปด้วย[8]
คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ถือว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ (หรือเสมือนไม่เคยเกิดขึ้น) แต่ถือว่าการเลือกตั้งได้เกิดขึ้นแล้ว 1 ครั้ง [9]
28 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 แบ่งเขต
บัญชีรายชื่อ
350
150
51,239,638 38,268,375 74.69

การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา[แก้]

ในรัฐธรรมนูญฉบับปีพุทธศักราช 2560 ความส่วนหนึ่งคือจะมีคณะสรรหาคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา 250 คนและจะต้องผ่านการลงมติเห็นชอบจากทางสภาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาจะมีเสียงในสภาโดยมีวาระ 5 ปี

ครั้งที่วันที่วิธีการเลือกตั้งจำนวน
ผู้สมัคร
จำนวน
ส.ว.
ผู้มีสิทธิ
เลือกตั้ง
ผู้มาใช้สิทธิ
เลือกตั้ง
ร้อยละจังหวัดที่มีผู้ใช้
สิทธิมากที่สุด
ร้อยละจังหวัดที่มีผู้ใช้
สิทธิน้อยที่สุด
ร้อยละหมายเหตุ
1 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 แบ่งเขต - 200
2 19 เมษายน พ.ศ. 2549 แบ่งเขต 1,477 200
3 2 มีนาคม พ.ศ. 2551 รวมเขต - 76
4 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 รวมเขต 468 77 43,840,305 18,634,864 42.51

การเลือกตั้งท้องถิ่น[แก้]

การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร[แก้]

การเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา[แก้]

การเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้]

การลงประชามติ[แก้]

ในประเทศไทยมีการลงประชามติแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2550 และ การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2559 เพื่อรับร่างรัฐธรรมนูญที่ยกร่างในช่วงคณะรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง

ดูเพิ่ม[แก้]

  • การเลือกตั้ง
  • การฉ้อราษฎร์บังหลวงในประเทศไทย#การโกงเลือกตั้ง

อ้างอิง[แก้]

  1. "ความเป็นมา". สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดอ่างทอง. สืบค้นเมื่อ 14 May 2022.
  2. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เก็บถาวร 2013-05-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. คณะกรรมการการเลือกตั้ง. สืบค้น 6-7-2554.
  3. เดลินิวส์. "กกต.ประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งแต่ละจังหวัดแล้ว" [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: [1] 2556. 21 ธันวาคม 2556.
  4. ทำความรู้จัก375เขต. เดลินิวส์. (13 พฤษภาคม 2554). สืบค้น 16-5-2554.
  5. ราชกิจจานุเบกษา, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๔, เล่ม ๑๒๘, ตอน ๑๓ก, ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔, หน้า ๑
  6. ราชกิจจานุเบกษา, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๔, เล่ม ๑๒๘, ตอน ๑๓ก, ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔, หน้า ๑
  7. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
  8. เปิด คำวินิจฉัยกลาง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง 2 ก.พ. โมฆะ เก็บถาวร 2015-11-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. มติชน. สืบค้นเมื่อ 21 มีนาคม 2557.
  9. เลือกตั้ง2กพ.ไม่โมฆะ! กกต.เผยทีมกม.ชี้คำวินิจฉัยศาลรธน.ระบุแค่ขัดรธน.. มติชน. สืบค้นเมื่อ 25 มีนาคม 2557.