ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา
Call Number : 347.14 ป6ป 2514
Author : ปันโน สุขทรรศนีย์
Detail
Collection Type
หนังสือ
Color symbol
กฏหมาย
Call Number
347.14 ป6ป 2514
ชื่อบุคคล
ปันโน สุขทรรศนีย์
ชื่อเรื่อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา
การแจ้งความรับผิดชอบ
ปันโน สุขทรรศนีย์
สถานที่พิมพ์ สถานที่จัดจำหน่าย ฯลฯ
กรุงเทพฯ
ชื่อสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ ผู้จัดจำหน่าย ฯลฯ
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปีที่พิมพ์
2514
จำนวนหน้า แผ่น เล่ม
399 หน้า
ขนาด (เซนติเมตร)
22 ซม.
หัวเรื่อง
นิติกรรม
หัวเรื่องที่ 2
สัญญา
URL
Refer
ปันโน สุขทรรศนีย์. (2514). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ปันโน สุขทรรศนีย์
. 2514. "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา". กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ปันโน สุขทรรศนีย์
" ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา". กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2514. Print.
Attachment
- Document not found -
Scan For Read This Page
Full items Result {{ total }} List
{{ ((key+1) + page_key) }} | {{ data.barcode }} {{ data.copy_desc }} | {{ data.location }} | {{ data.status }} {{ data.reservation }} | {{ data.date }} | |
- ไม่พบข้อมูล - |
Related Items
มนุษย์มีความผูกพันกับกฎหมายมาตั้งแต่แรกเกิด กฎหมายกำหนดไว้ว่า “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอด แล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย” กฎหมายไทยย่อมใช้บังคับเฉพาะแต่ในราชอาณาจักร ซึ่งหมายความถึงให้ใช้บังคับแก่การกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร แต่จะบังคับใช้บุคคลใดจะใช้ “หลักดินแดน” หมายความว่ากฎหมายไทยย่อมบังคับแก่บุคคลทุกคนที่อยู่ภายในราชอาณาจักร
ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างด้าว กฎหมายแบ่งแยกตามเนื้อความของกฎหมายได้เป็น 3 ประเภท นิติกรรม คือการใด ๆ อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ สัญญา คือนิติกรรมชนิดหนึ่ง แต่เป็นนิติกรรมที่มีบุคคล 2 ฝ่ายหรือมากกว่านั้นมาตกลงกัน โดยแสดงเจตนาเสนอและสนองตรงกัน ก่อให้เกิดสัญญาขึ้นสัญญาย่อมก่อให้เกิดหนี้ เกิดความผูกพันระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้
โดยที่เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามกฎหมาย สัญญาระหว่างคู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่ายที่เป็นเอกชนจะใช้กฎหมายเอกชน แต่หากคู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งเป็นภาครัฐก็จะใช้กฎหมายมหาชน
บทความนี้จะเน้นไปที่สัญญาจ้างทำของซึ่งมักใช้ในงานวิศวกรรม สัญญาจ้างทำของคือสัญญาที่ผู้รับจ้างตกลงทำการงานสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่ผู้ว่าจ้าง โดยที่ผู้ว่าจ้างตกลงให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จของงานนั้น สาระสำคัญของสัญญาจ้างทำ ของคือผลสำเร็จของงานที่จ้าง ลักษณะจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ควรรู้ ได้แก่
มาตรา
587
อันว่าจ้างทำของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้รับจ้าง ตกลงจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น
มาตรา 592
ผู้รับจ้างจำต้องยอมให้ผู้ว่าจ้างหรือตัวแทนของผู้ว่าจ้างตรวจตราการทำงานได้ตลอดเวลาที่ทำอยู่นั้น
มาตรา 593
ถ้าผู้รับจ้างไม่เริ่มทำการในเวลาอันควร หรือทำการชักช้า
ฝ่าฝืนข้อกำหนดแห่งสัญญาก็ดี หรือทำการชักช้าโดยปราศจากความผิดของผู้ว่าจ้างจนอาจคาดหมายล่วงหน้าได้ว่า การนั้นจะไม่สำเร็จภายในกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ก็ดี ผู้ว่าจ้างชอบที่จะเลิกสัญญาเสียได้ มิพักต้องรอคอยให้ถึงกำหนดส่งมอบของนั้นเลย
มาตรา 596
ถ้าผู้ว่าจ้างส่งมอบการที่ทำ ไม่ทันเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาก็ดีหรือถ้าไม่ได้กำหนดไว้ในสัญญา เมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดีผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลงหรือถ้าสาระสำคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา ก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้
การที่ผู้รับจ้างปฏิบัติงานตามสัญญาถูกต้องตามแบบ รูป รายการและระยะเวลาที่กำหนดไว้ย่อมไม่เป็นปัญหา แต่ปัญหาที่พบเห็นบ่อยคือกรณีคู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญา และต้องมีการปรับจนบางครั้งต้องยกเลิกสัญญากัน จะมีข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องคือ
มาตรา 381
ถ้าลูกหนี้ได้สัญญาไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ถูกต้องตามสมควร เช่นว่า ไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้เป็นต้น นอกจากเรียกให้ชำระหนี้แล้ว
เจ้าหนี้จะเรียกเอาเบี้ยปรับอันพึงจะริบนั้นด้วยก็ได้
ถ้าเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในมูลชำระหนี้ไม่ถูกต้อง สมควร ท่านให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 380 วรรค 2
ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้ว จะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้เช่นนั้นในเวลารับชำระหนี้
มาตรา 383
ถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรเพียงใดนั้น ท่านให้พิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สิน เมื่อได้ใช้เงินตามเบี้ยปรับแล้ว สิทธิเรียกร้องขอลดก็เป็นอันขาดไป
มาตรา 391
เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม แต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิบุคคลภายนอกหาได้ไม่
ส่วนเงินอันจะต้องใช้คืนในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น ท่านให้บวกดอกเบี้ยเข้าด้วย คิดตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้ และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์สินนั้น การจะชดใช้คืน ท่านให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆหรือถ้าในสัญญามีกำหนดให้ใช้เงินตอบแทน ก็ให้ใช้ตามนั้น
กรณีที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งคือภาครัฐ และเป็นสัญญาปกครองที่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้คู่สัญญาเข้าดำเนินการบริการสาธารณะ สัญญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดให้มีสิ่งที่เป็นสาธารณูปโภค หากท่านเป็นผู้บริหารโครงการ และท่านได้รับความเดือดร้อนเสียหายอันเนื่องมาจากคู่สัญญาได้ใช้สิทธิตามสัญญาหักเงินค่าปรับมากเกินสมควร หรือดำเนินการบอกเลิกสัญญา ท่านสามารถนำคดีขึ้นสู่ศาลปกครองในเขตอำนาจศาลที่ดูแลสัญญาพิพาท ดังกล่าว โดยขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาให้คืนค่าปรับบางส่วนหรือทั้งหมดในกรณีที่การปรับไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ พิพากษาให้จ่ายค่างานที่ได้กระทำไปก่อนบอกเลิกสัญญา แนวทางการสู้คดีกรณีผู้ว่าจ้างเรียกค่าปรับสูงเกินควร ให้อ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 383 มาตรา 391 ประกอบกับข้อกำหนดในสัญญาที่ยึดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ที่ระบุว่า ในกรณีที่คู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงไว้ และต้องมีการปรับตามสัญญา หรือข้อตกลงนั้น หากจำนวนเงินค่าปรับเกินร้อยละสิบของวงเงินค่าพัสดุหรือค่าจ้าง ให้หน่วยงานพิจารณาดำเนินการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง เว้นแต่คู่สัญญาจะยินยอมเสียค่าปรับโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น ก็ให้พิจารณาผ่อนปรนการบอกเลิกสัญญาได้เท่าที่จำเป็น เจตนารมณ์ก็เพื่อให้หน่วยงานบริหารสัญญามิให้เกิดความล่าช้า เพื่อป้องกันความเสียหายเนื่องจากการปฏิบัติตามสัญญาล่าช้าเกินแล้ว ยังเพื่อมิให้จำนวนค่าปรับมากเกินสมควรซึ่งเป็นภาระต่อคู่สัญญา เนื่องจากมิได้มุ่งให้หน่วยงานแสวงหาประโยชน์จากค่าปรับจนถึงขนาดเงินค่าปรับสูงเกินส่วน สำหรับกรณีผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาก็ใช้มาตรา 391 ที่ให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม การงานอันได้กระทำให้ และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์สินนั้น การจะชดใช้คืนท่านให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น
ท้ายสุด นิติกรรมอีกชนิดหนึ่ง เมื่อผู้รับจ้างทำงานแล้วเสร็จและคณะกรรมการตรวจการจ้างตัวแทนผู้ว่าจ้างได้ตรวจสอบและลงลายมือชื่อในใบตรวจรับงานเป็นหลักฐาน หากผู้รับจ้างต้องการเบิกเงินก่อนระหว่างรอขั้นตอนการเบิกจ่ายก็สามารถทำ ได้ เรียกว่าการโอนสิทธิเรียกร้อง ความหมายคือ การที่เจ้าหนี้ตกลงยินยอมให้โอนสิทธิที่เรียกให้ลูกหนี้ใช้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง มีผลให้บุคคลผู้รับโอนเข้ามาเป็นเจ้าหนี้คนใหม่แทนเจ้าหนี้คนเดิม และมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้เช่นเจ้าหนี้เดิม ในทางปฏิบัติผู้รับโอนส่วนใหญ่จะเป็นสถาบันการเงินโดยใช้ใบตรวจรับงานเป็นหลักประกัน จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่ 2 มาตรา ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา
303
สิทธิเรียกร้องนั้น ท่านว่าจะพึงโอนกันได้ เว้นไว้แต่สภาพแห่งสิทธินั้นเองจะไม่เปิดช่องให้โอนกันได้ ความที่กล่าวมานี้ย่อมไม่ใช้บังคับ หากคู่กรณีได้แสดงเจตนาเป็นอย่างอื่น การแสดงเจตนาที่ว่านี้ท่านห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต
มาตรา 306
การโอนหนี้อันพึงจะต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้น ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่ง การโอนหนี้นั้น ท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้หรือบุคคลภายนอกได้
แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมการโอนนั้นคำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ต้องทำเป็นหนังสือ
นิติกรรมสัญญาที่วิศวกรควรรู้โดยมีตัวบทกฎหมายประกอบ
ที่มา: อินทาเนีย ฉบับที่ 3 ปี พ.ศ. 2563 คอลัมน์ เก็บมาฝาก โดย ชัยภัทร ศรีไทย วศ.17