บทที่ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การศึกษามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและในด้านคุณภาพจริยธรรมให้รู้จักใช้เหตุในการคิดและการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลเพื่อในการดำรงชีวิตที่ถูกต้องและไม่ให้เกิดปัญหาทางสังคมโดยได้มีการจัดการศึกษาในระดับประถมศึกษาเป็นการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตที่รัฐเป็นผู้จัดให้ประชาชนทุกคนพัฒนาพฤติกรรม บุคลิกภาพ
และสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคม เนื่องจากในปัจจุบันทางสังคมได้มีปัญหามากขึ้นต้องทำให้ผู้ปกครองต้องคอยมาแก้ปัญหาให้โดยไม่รู้จักการแยกแยะการใช้เหตุผลในการตัดสินใจเพราะขาดคุณธรรมจริยธรรมในการไม่นำไปใช้ให้ถูกต้องซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศเพื่อให้จริยธรรมทำให้มีอิทธิพลต่อมนุษย์ในยุคปัจจุบันเห็นความสำคัญของวัตถุมากกว่าจิตใจเป็นสังคมที่ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคมและสภาพแวดล้อมทำให้จิตใจของมนุษย์เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี
เนื่องจากสังคมขาดคุณธรรมจริยธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทำให้เยาวชนของชาติได้รับรู้และนำไปปฏิบัติโดยไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งไหนถูกหรือสิ่งไหนผิดจึงทำให้ขาดด้านคุณธรรมจริยธรรมที่หดหายไปจากสังคมนั้นเองโดยสอดคล้องกับ ศักดิ์ชัย มโนวงศ์ (2547:1) เนื่องจากการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมของนักเรียนนักเรียนยังต้องใช้เหตุผลในการตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องและนำไปปฏิบัติจึงจะต้องจัดการเรียนการสอนเพื่อปลูกฝังพฤติกรรมเชิงจริยธรรมของผู้เรียนทั้งภายในโรงเรียน
และสนับสนุนให้ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมแก่ผู้เรียน โดยแนวคิดของประภาศรี สีหอำไพ(2540 : 40) ได้กล่าวไว้ว่าการปลูกฝังพฤติกรรมเชิงจริยธรรมนั้นจึงต้องใช้วิธีการฝึกให้เด็กใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมในการตัดสินใจเลือกปฏิบัติ โดยสอนให้เด็กรู้จักคิดว่าคุณธรรมต่างๆ มีคุณต่อผู้ประพฤติและเป็นประโยชน์ต่อสังคม จากสภาพปัญหาเด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบันที่กล้าคิด กล้าทำ
มากกว่าอดีต แต่ปัจจุบันการปลูกฝังจริยธรรมแก่เยาวชนยังไม่ได้ผล ไม่ได้เกิดพฤติกรรมเชิงจริยธรรมในตัวผู้เรียน ความจริงที่ปรากฏและกำลังเป็นปัญหาโคลเบอร์ก (Kohlberg.1976:4-5) ได้เสนอแนะว่า พฤติกรรมด้านจริยธรรมที่สำคัญที่สุดในตัวมนุษย์ คือ การให้เหตุผลเชิงจริยธรรม เพราะเหตุผลเชิงจริยธรรมเป็นจิตลักษณะที่สำคัญต่อการแสดงพฤติกรรมมากที่สุด ปัจจุบันโลกมีการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ส่งผลให้มนุษย์จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ โดยอาศัยการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นประชากรที่มีประสิทธิภาพจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ว่าด้วยแนวการจัดการศึกษาในมาตรา ๒๒ กล่าวว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
โดยกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ ในด้านของการจัดกระบวนการเรียนรู้กล่าวว่าจะต้องจัดให้มีการฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหา รวมถึงมาตรฐานการศึกษาเพื่อการประเมินภายนอกและจึงได้สรุปเหตุผลเชิงจริยธรรมทั้งหมด 6 ขั้นซึ่งมีดังนี้ ขั้นที่ 1.
บุคคลใช้เกณฑ์ทางจริยธรรม ขั้นที่ 2. บุคคลใช้กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตน ขั้นที่ 3. บุคคลทำตามความคาดหวังและการยอมรับในสังคม ขั้นที่ 4. บุคคลยึดกฎและระเบียบ ขั้นที่ 5. บุคคลยึดหลักสัญญาประชาคม ขั้นที่ 6. บุคคลยึดหลักการคุณธรรมสากล นอกจากนี้ ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2548
: 77) ได้กล่าวว่า ช่วงเด็กแรกเกิดจนถึงอายุก่อน 10 ปีนี้เป็นช่วงที่เด็กมีความไวต่อการปลูกฝังและส่งเสริมจริยธรรมและวัฒนธรรมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเด็กยังเป็น “ไม้อ่อนที่ดัดง่าย” ฉะนั้นการปฏิบัติต่อเด็กอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการทางจิตใจของเด็กเล็กและเด็กโตจะเป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ได้มาก
ดังนั้นโรงเรียนในฐานะเป็นสถาบันทางการศึกษา ถือเป็นหน้าที่หลักที่จะพัฒนาและส่งเสริมให้เด็กพัฒนาการคิดเชิงเหตุผลด้านจริยธรรมได้มากขึ้น โดยเฉพาะเหตุผลเชิงจริยธรรมเรื่องความอดทน ความซื่อสัตย์สุจริต ความเมตตากรุณา ความกตัญญูกตเวทีและความสามัคคีมาสอดแทรกเข้าไปในนิทานเพื่อให้เด็กเกิดทักษะและความเข้าใจ พร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีงาม
เพราะคุณธรรม จริยธรรม 5 ประการนี้ เป็นคุณธรรมจริยธรรมที่ควรปลูกฝังให้แก่เด็กซึ่งสอดคล้องกับที่ได้กำหนดคุณธรรม 8 ประการ คือ ความมีวินัย ความมีสติ ความกตัญญู ความเมตตา ความอดทน ความซื่อสัตย์ การประหยัด ความขยันและพึ่งตนเอง
เพราะเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น การจัดการเรียนการสอนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2551 ที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้ ต้องใช้ เทคนิค วิธีการสอนที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียน เรียนอย่างมีความสุข เทคนิคการสอน ที่น่าสนใจ คือ การเรียนแบบร่วมมือ ( Cooperative Learning) เป็นวิธีที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางซึ่งนักเรียนจะอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ทุกคนทำงานร่วมกัน
สมาชิกทุกคนในกลุ่มสามารถแสดงความคิดเห็นมีความรับผิดชอบต่องานกลุ่ม สามารถตรวจสอบการทำงานร่วมกันซึ่งผู้เรียนจะบรรลุตามเป้าหมายของการเรียนได้ดี ก็ต่อเมื่อสมาชิกทุกคนในกลุ่มบรรลุเป้าหมายของการเรียนได้ดี หรือสมาชิกทุกคนในกลุ่มบรรลุเป้าหมายเดียวกัน ดังนั้นสมาชิกทุกคนต้องช่วยเหลือ สนับสนุน เพื่อนๆ ทุกคนให้บรรลุเป้าหมายไปด้วยกันซึ่งตรงกับงานวิจัยของนิตยา เจริญนิเวศนุกูล (2541 : 2)และยังได้สอดคล้องกับอินสวน สาธุเม (2549 :บทคัดย่อ)
ได้พัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ สรุปได้ว่าประสิทธิภาพและประสิทธิผลเหมาะสม สามารถใช้ในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น มีความพึงพอใจต่อการเรียน และมีความคงทนในการเรียนรู้ การเรียนการสอนแบบบทบาทสมมุติ สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะความกล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้องอย่างเหมาะสม
ตามบทบาทและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ตลอดจนให้นักเรียนใช้ในการสถานการณ์จำลองแบบบทบาทสมมุติและสามารถยอมรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่นและรู้จักในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างถ่วงทีและยังสามารถส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ตามสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่พึงมี ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมร่วมกันซึ่งได้สอดคล้องกับเรืองศักดิ์ ภาคีพร (2548 : บทคัดย่อ) ที่พบว่า
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบทบาทสมมุติ ทำให้นักเรียนมีความสุข สนุกสนาน ทำให้ผู้เรียนมีความคิดอย่างมีระบบ และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อน นอกจากนี้สมฤดี เชยสอาด (2547 : บทคัดย่อ)ที่พบว่า วิธีสอนแบบบทบาทสมมุติ ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความกล้าแสดงออก ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือกันและรู้จักบทบาทของตนเองเมื่ออยู่ในกลุ่ม
ทำให้ผู้เรียนเกิดความสำนึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมากขึ้น ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์และมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม จากเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจการใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติจะสามารถส่งเสริมให้นักเรียนมีการพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมมากขึ้นจึงต้องหานวัตกรรมใหม่ๆ
เพื่อพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติเพื่อให้นักเรียนมีความสุขต่อการเรียนและมีเหตุผลเชิงจริยธรรมในทางที่ดีและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและสามารถนำไปใช้กับการจัดการเรียนรู้ได้ทุกวิชาและทุกระดับชั้นโดยการวิจัยในครั้งนี้จะช่วยให้ทราบถึงเหตุผลเชิงจริยธรรมและความคิดเห็นของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในวิชาทักษะชีวิตให้บรรลุจุดประสงค์
และสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมได้มากยิ่งขึ้น วัตถุประสงค์การวิจัย สมมุติฐานการวิจัย
เหตุผลเชิงจริยธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังจากที่ได้รับกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติสูงกว่าก่อนเรียน
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง เขตดอนเมือง แขวงสีกัน กรุงเทพฯ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 ในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จำนวน 271 คน จากนักเรียน 7 ห้อง
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง เขตดอนเมือง แขวงดอนเมือง กรุงเทพฯ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง 28 คน ที่ได้มาจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม (Group Sampling) โดยใช้ ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม
2. ตัวแปรการวิจัย
ตัวแปรต้น ได้แก่การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติ
ตัวแปรตาม ได้แก่การพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรม
3. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าโดยดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 โดยใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าทั้งหมด 12 คาบ คาบละ 50 นาที
4. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเนื้อหาเรื่องด้านความกตัญญูกตเวที ด้านความซื่อสัตย์สุจริต ด้านความเสียสละ ในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช่วงชั้นที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. เหตุผลเชิงจริยธรรม หมายถึง ความสามารถของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในการใช้เหตุผล เลือกที่จะกระทำพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อตัดสินปัญหาทางด้านจริยธรรมตามสถานการณ์ที่อยู่ในแบบทดสอบได้จากคะแนนการทำแบบทดสอบ การให้เหตุผลเชิงจริยธรรม แบ่งเป็น 4 ระดับคือ
ระดับที่ 1 เลือกพฤติกรรมที่พึงประสงค์โดยยึดหลักเคารพเชื่อฟังและหลบหลีกการลงโทษ
ระดับที่ 2 เลือกพฤติกรรมที่พึงประสงค์โดยยึดหลักแสวงหาผลประโยชน์หรือสิ่งตอบแทน
ระดับที่ 3 เลือกพฤติกรรมที่พึงประสงค์โดยยึดหลักการทำตามที่ผู้อื่นเห็นชอบตาม แบบแผนที่คนส่วนใหญ่ยึดถือปฏิบัติ
ระดับที่ 4 เลือกพฤติกรรมที่พึงประสงค์โดยยึดหลักการทำตามกฎและรักษาระเบียบของสังคมซึ่งถือว่ามีความสำคัญในตัวมันเอง
2. แบบทดสอบวัดเหตุผลเชิงจริยธรรม หมายถึง แบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อวัดพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการให้เหตุผลในการตัดสินใจเลือกที่จะกระทำหรือไม่กระทำพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งของนักเรียน
3. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติ หมายถึง สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีเป้าหมายเดียวกัน และสมาชิกทุกคนต้องช่วยเหลือสนับสนุน เพื่อนๆ ทุกคนให้บรรลุเป้าหมายไปด้วยกันและนำทักษะความกล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม ตามบทบาทและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จากสถานการณ์จำลองแบบบทบาทสมมุติและสามารถยอมรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น โดยมีขั้นตอน 5 ขั้นตอนที่สำคัญดังต่อไปนี้
1. ขั้นเตรียมนำเข้าสู่บทเรียน เป็นการจัดกิจกรรมโดยให้นักเรียนนั่งสมาธิเพื่อระลึกถึงความดีที่เราควรปฏิบัติพร้อมแจ้งจุดประสงค์ให้นักเรียนทราบในการทำกิจกรรมแล้วให้นักเรียนฟังเพลงเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมแล้วถามเหตุผลของการฟังว่ามีความรู้สึกอย่างไร
2. ขั้นแสดงบทบาทสมมุติ เป็นการจัดกิจกรรมโดยครูเป็นผู้ชี้แจงเรื่องที่จะให้นักเรียนแสดงว่ามีบทบาทอะไรบ้างและครูอธิบายพร้อมให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเป็น 2 กลุ่มโดยเป็นกลุ่มผู้แสดงบทบาทตามเนื้อเรื่องที่กำหนด พร้อมให้นักเรียนจับสลากกลุ่มนักเรียนที่ไม่ได้แสดงบทบาททำหน้าที่สังเกตการณ์ผู้แสดง
3. ขั้นทำงานกลุ่มระดมสมอง เป็นการจัดกิจกรรมโดยนักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแสดงบทบาทสมมุติที่ได้รับ
4. ขั้นทำงานกลุ่ม เป็นการจัดกิจกรรมโดยนักเรียนเป็นผู้จัดเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงบทบาทสมมุติที่ได้รับพร้อมนักเรียนเป็นผู้แสดงบทบาทสมมุติที่ได้รับ
5. ขั้นสรุป เป็นการจัดกิจกรรมโดยครูและนักเรียนช่วยกันวิเคราะห์ในด้านผลดีต่อผู้ปฏิบัติ
4. นักเรียน หมายถึง นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง ปีการศึกษา 2554
ประโยชน์ที่ได้รับจากวิจัย
1. ทำให้ทราบถึงการพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติ
2. ทำให้ทราบถึงผลเปรียบเทียบเหตุผลเชิงจริยธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติ
3. เป็นแนวทางในการนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมของนักเรียนเพื่อความเข้าใจในระดับอื่นๆ
กรอบแนวคิดในการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ ใช้กรอบแนวคิดการวิจัยพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการแสดงบทบาทสมมุติโรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง
แผนภูมิที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย