Download เอกสารประกอบการฝ กอบรม Adobe Acrobat XI X Pro...
เอกสารประกอบการฝึกกอบรม อบรม เอกสารประกอบการฝึ AdobeAcrobat Acrobat XI X Pro Adobe Pro
ประสิทธิ์ คล่องงูเหลือม Technology Consultant Thai Photo and Print
Page 2
การแปลงไฟล์PDF วิธีการแปลงไฟล์PDFเพื่อใช้ในสำ�นักงาน
1.แปลงโดยการสั่งพิมพ์จากโปรแกรมต่างๆ การแปลงไฟล์PDFด้วยวิธนี ี้จะต้องอาศัยPrinterDriverซึ่งทำ�หน้าที่ได้แปลงไฟล์PDFเช่นAdobePDF PrinterของAdobe 2.แปลงโดยการ DragandDropหรือคลิก-ขวาที่รูปสัญลักษณ์ไฟล์งานเพื่อแปลงไฟล์PDF 3.แปลงโดยตรงจากโปรแกรมทั่วไป โดยอาศัยเครื่องมือ หรือคำ�สั่งที่มีอยู่ในโปรแกรม หรือมีการเพิ่มเครื่องเข้าไปในภายหลัง เพื่อใช้ในการ แปลงไฟล์PDFเช่นP DFMakerที่เพิ่มเข้าไปในโปรแกรมชุดMicrosoftOffice 4.แปลงจากโปรแกรมหรือเครื่องมือสำ�หรับแปลงไฟล์PDFโดยเฉพาะเช่นโปรแกรมAcrobatDistiller 5.แปลงโดยตรงจากโปรแกรมAdobeAcrobat
การแปลงPDFจากโปรแกรมชุดMicrosoftOffice(W indows)โดยใช้ Adobe PDFMaker
ใน Windows เมื่อทำ�การติดตั้งAdobeAcrobatเข้าสู่คอมพิวเตอร์จะมีการติดตั้งแถบเครื่องมือAcrobatPDFMakerและเมนู Adobe PDF ไปพร้อมกันAcrobatPDFMakerเป็นMacroที่ทำ�งานร่วมกับโปรแกรมชุดของ Microsoft เช่นMicrosoftOffice,MicrosoftProject, MicrosoftPublisher,MicrosoftVisioเป็นต้น สามารถเลือกใช้แถบเครื่องมือ AcrobatPDFMakerหรือเมนู Adobe PDF สำ�หรับการแปลงไฟล์PDFซึ่งจ ะทำ�ให้ ง่ายและสะดวกในการแปลงไฟล์เอกสารต่างๆ ในเมนู Adobe PDF มีคำ�สั่งสำ�คัญซึ่งเกี่ยวกับข้อกำ�หนดของการแปลงไฟล์ PDF อยู่ด้วย และก่อนที่จะทำ�การ แปลงไฟล์PDFแนะนำ�ว่าควรจะเข้ามาตรวจเช็คและแก้ไขข้อก�ำ หนดของการแปลงไฟล์PDFให้ถูกต ้องและเหมาะสม เสียก่อนที่จะลงมือท�ำ การแปลงไฟล์ สำ�หรับ Microsoft Office 2007 และเวอร์ชั่นล่าสุด เช่น โปรแกรม Word, Excel, และ PowerPoint, ข้อกำ�หนด สำ�หรับการแปลงไฟล์ PDF สามารถเลือกใช้ได้จาก Acrobat ribbon หมายเหตุ: ถ้าคุณไม่เห็นปุ่มแถบเครื่อง PDF ในโปรแกรม คุณจะต้องกำ�หนดให้แสดง หรือเปิดใช้งานแถบเครื่อง มือ PDF เสียก่อน การแสดง หรือเปิดใช้งาน PDFMaker ใน Microsoft Office และ Lotus Notes ถ้าปุ่มแถบเครื่องมือ PDF ไม่ปรากฎในโปรแกรม Microsoft Office หรือ Lotus Notes ให้ท�ำ อย่างใดอย่างหนึ่งดัง ต่อไปนี้ เพื่อแสดง หรือเปิดใช้งาน PDFMaker. สำ�หรับ Lotus Notes 8 หรือเวอร์ชั่นล่าสุด, เลือก File > Preferences. ใน dialog box ที่ปรากฏขึ้นมา, เลือก Toolbar > Toolbars, และเลือก Visible สำ�หรับ Acrobat PDFMaker สำ�หรับ Office 2003 หรือเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้, เลือก View > Toolbars > Acrobat PDFMaker สำ�หรับ Office 2007 หรือ Office 2010, ให้ทำ�ตามขั้นตอนต่อไปนี้: 1. เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ - โปรแกรม Outlook 2007 เลือก Tools > Trust Center - โปรแกรม Office 2007 อื่นๆ คลิกปุ่ม Office และจากนั้นคลิกที่ปุ่ม [Application] Options, ที่ [Application] คือชื่อโปรแกรม Office ตัวอย่างเช่น ใน Word, ชื่อปุ่ม คือ Word Options Page 3
- โปรแกรม Office 2010 คลิกที่แถบ File และจากนั้นคลิก Option 2. คลิก Add-Ins อยู่ด้านซ้ายของ ของ dialog box 3. เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้: - ถ้า PDFMOutlook หรือ Acrobat PDFMaker Office COM Add-in ไม่มีอยุ่ในรายการ, เลือก COM Add-Ins จากรายการ Manage pop-up และคลิก Go - ถ้า PDFMOutlook หรือ Acrobat PDFMaker Office COM Add-in มีอยู่ในรายการ ภายใต้ Disabled Application Add-ins, เลือกหัวข้อ Disabled จากรายการ Manage pop-up และคลิก Go 4. เลือก PDFMOutlook หรือ Acrobat PDFMaker Office COM Add-in และคลิก OK 5. ปิด และเปิดโปรแกรม Office ใหม่
การแปลงไฟล์PDF
ดูการตั้งค่า PDFMaker สำ�หรับการแปลงไฟล์ PDF
1.เปิดไฟล์ทตี่ ้องการจะแปลงในโปรแกรมMicrosoftOffice 2. คลิกปุ่ม Convert To Adobe PDF บนแถบเครื่องมือ Acrobat PDFMaker สำ�หรับโปรแกรม Microsoft Office 2007 หรือ 2010 เช่น Word, Excel, และ PowerPoint, คลิกที่ปุ่ม Create PDF บน Acrobat ribbon 3. พิมพ์ชื่อไฟล์ และกำ�หนดตำ�แหน่งในการจัดเก็บไฟล์ PDF, และคลิก Save
การตั้งค่า PDFMaker สำ�หรับการแปลงไฟล์ PDF จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของไฟล์ ตัวอย่างเช่น ตัวเลือก สำ�หรับไฟล์ PowerPoint จะไม่เหมือนกับตัวเลือกของไฟล์ Word ดังนั้น คุณจะต้องเลือกการตั้งค่าการแปลงทุกไฟล์ ก่อนการแปลงไปเป็น PDF 1. เปิด PDFMaker-จากโปรแกรมที่กำ�ลังเปิดใช้งานอยู่ (เช่น Word หรือ Excel) 2. ดำ�เนินการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: - Lotus Notes, เลือก Actions > Change Adobe PDF Conversion Settings - โปแกรม Office 2007 หรือ 2010 ใน Acrobat หรือ Adobe PDF ribbon, คลิก Preferences - โปรแกรมอื่นๆ ทั้งหมด เลือก Adobe PDF > Change Conversion Settings 3. (หากต้องการ) เพื่อกลับไปยังค่าเริ่มต้นเดิม, คลิก Restore Defaults บนแถบ Settings
Page 4
รายละเอียดการตั้งค่าข้อกำ�หนดต่างๆ ในChangeConversionSettings ตั้งค่าที่แถบ ของ Adobe PDFMaker Preferences การตั้งค่าข้อกำ�หนดต่างๆ สำ�หรับ PDFMaker ขึ้นอยู่กับแต่ละโปรแกรมที่คุณกำ�ลังใช้งาน
Settings จะแยกออกเป็นPDFMakerS ettingและApplicationSetting
P DFMakerS etting(ข้อก�ำ หนดของPDFMaker) -ConversionSettingกำ�หนดตัวเลือกส�ำ หรับการแปลงไฟล์ -ViewAdobePDFresultแสดงไฟล์PDFขึ้นมาหลังจ ากมีการแปลงไฟล์ -PromptforAdobePDFFile Nameจะปรากฏข้อความเตือนเพื่อให้ตั้งชื่อไฟล์ และกำ�หนดตำ�แหน่งในการจัดเก็บไฟล์ หากไม่ได้เลือกตัวเลือกนี้ จะ Save ไฟล์ และจัดเก็บอยู่ในโฟว์เดอร์เดียวกับไฟล์ต้น ใช้ชื่อเหมือนกัน แต่นามสกุลจะเป็น .pdf -CreatePDF/A-1a:2005compliantfileทำ�การแปลงไฟล์มาตรฐานPDF/A -ConvertDocumentInformationทำ�การใส่รายละเอียดของเอกสารไปที่ไฟล์PDF ซึ่งนำ�ข้อมูลมาจากใน Properties ของไฟล์ต้นฉบับ ApplicationSetting(ข้อกำ�หนดของโปรแกรม) -AttactsourceFiletoAdobePDFจะแนบไฟล์ต้นทางไปที่PDF -AddbookmarkstoAdobePDFใส่bookmarksที่ใช้ในไฟล์ต้นทางไปที่PDF -AddlinkstoAdobePDFใส่linkที่ใช้ในไฟล์ต้นทางไปที่PDF -EnableaccessibilityandreflowwithTaggedPDFเปิดใช้ระบบเพิ่มความสะดวกในการอ่านไฟล์PDF และการจัดตัวอักษรตามการปรับขนาดของหน้างานโดยการTaggedPDF หมายเหตุขอ้ กำ�หนดในPDFMakerของโปรแกรมชุดMicrosoftOfficeจะเหมือนกนั แต่ข ้อก ำ�หนดของApplicationจะแตกต่างกันออกไปในแต่โปรแกรมในชุดMicrosoftOffice Security: เป็นการกำ�หนดเงื่อนไขของระบบป้องกันในไฟล์PDF -DocumentOpenPasswordกำ�หนดรหัสผ ่านส�ำ หรับเปิดเอกสารPDF -PremissionsPasswordกำ�หนดรหัสผ่านเพื่ออนุญาติให้แก้ไขเอกสารและการสั่งพิมพ์PDF :PrintingAllowedอนุญ าติเกี่ยวกับการสั่งพิมพ์เช่นไม่ให้พิมพ์,พิมพ์ค วามละเอียดต�่ำ 150dpi :ChangesAllowedอนุญาติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเช่นการแยกหน้างาน,การกรอกแบบฟอร์ม :Enablecopyingoftext,images,andothercontentsสามารถท�ำ ส�ำ เนาตัวอ ักษร,ภาพ และ ข้อมูลอื่นๆ :EnabletextaccessforScreenreaderdeviecsforthevisullyimpairedสิทธิ์ในการปรับ ใช้ตัวอักษรบนหน้าจอของอุปกรณ์อ่านไฟล์PDFเพื่อจ�ำ ลองดคู วามไม่สมบูรณ์ของการอ่านตัวอักษร
Page 5
การแปลงไฟล์ Word และ PowerPoint ไปเป็น PDF
1. เปิดไฟล์ ใน Word หรือ PowerPoint 2. ดำ�เนินการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: - โปรแกรม Office 2003 หรือรุ่นที่เก่ากว่า, จากเมนู Adobe PDF, เลือก Convert To Adobe PDF - โปรแกรม Office 2007 หรือ 2010, จาก Acrobat ribbon, เลือก Create PDF, Create And Attach to Email, หรือ Create And Send For Review 3. ใน dialog box ของ Save Adobe PDF File As, ระบุชื่อไฟล์ และตำ�แหน่งสำ�หรับ PDF 4. คลิกเลื่อกปุ่ม Options เพื่อเปลี่ยนการตั้งค่าของการแปลง PDF (ดูรายละเอียด การตั้งค่าข้อกำ�หนด) 5. เลือก Page Range (Word) หรือ Slide Range (PowerPoint) 6. คลิก OK, จากนั้นคลิก Save เพื่อทำ�การสร้างไฟล์ PDF
การฝังไฟล์มัลติมีเดีย ในเอกสาร Word และ PowerPoint (เฉพาะโปรแกรม Acrobat Pro เท่านั้น) 1. ดำ�เนินการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: - โปรแกรม Office 2003 หรือรุ่นที่เก่ากว่า, เลือก Adobe PDF > Embed Video And Convert To Flash Format - โปรแกรม Office 2007 หรือ 2010, ใน Acrobat ribbon, คลิก Embed Flash 2. ใน dialog box ของ Insert Flash, เลือไฟล์มัลติมีเดียจากรายการ หรือ คลิก Browse ไปยังตำ�แหน่งของไฟล์ที่จัดเก็บไฟล์ และเลือกไฟล์ที่ต้องการ 3. (หากต้องการ) ทำ�การเลือกเฟรมของวิดีโอ เฟรมใดเฟรมหนึ่ง เพื่อที่จะกำ�หนดให้เป็นภาพโปสเตอร์, จากนั้น คลิก Set Poster Image From Current Frame 4. เลือกรูปแบบของ skin ที่ใช้แสดงสื่อ จากในรายการ 5. คลิก OK, โปรแกรม Acrobat จะทำ�การแปลงไฟล์ไปเป็นรูปแบบ FLV และใส่เข้าไปในเอกสาร PDF
Page 6
ข้อกำ�หนดอื่นๆ สำ�หรับApplication Setting สำ�หรับโปรแกรม Microsoft Word Word:เป็นการก�ำ หนดคุณสมบัตเิกี่ยวกับMicrosoftWord
-ConvertdisplaycommentstonotesinAdobePDF: เปลี่ยนcommentจากw ordไปเป็นnotesในPDF -Convertcross-referencesandtableofcontentstolinkes: เปลี่ยนจากcross-referencesและtableofcontensจากWordไปเป็นlinksในPDF -Convertfootnoteande ndnotelinks:เปลี่ยนfootnoteและendnoteจากWordไปเป็นPDF -Enableadvancedtagging:สามารถใช้การtagข้อมูลระดับสูงได้ Bookmarks:กำ�หนดตัวเลือกเกี่ยวกับBookmarks คุณสามารถกำ�หนดตัวเลือกของelementเช่นหัวเรื่อง,Indexเพื่อให้เป็นbookmarksในไฟล์PDF โดยคลิกเลือกที่กรอบสี่เหลี่ยมในรายการBookmarks สำ�หรับMicrosoft PowerPoint:เป็นการก�ำ หนดคุณสมบัติเกี่ยวกับMicrosoftPowerpoint
ApplicationSetting(ข้อกำ�หนดของโปรแกรม เฉพาะที่แตกต่างจาก MS Word)
Page 7
-ConvertMultimediatoPDFMultimedia:แปลงมัลติมีเดียจากpowerpoint ไปเป็นมัลติมีเดียในPDF -SaveAnimationinAdobePDF:จัดเก็บเอนิเมชั่นจากpowerpoint ไปไว้ในAdobePDF -SaveSlideTransitioninAdobePDF:จัดเก็บสไลด์ทรานซิชั่นไปไว้ในAdobePDF -ConverthiddenslidetoPDFpages:แปลงสไลด์ที่ซ่อนไว้ไปเป็นหน้าPDF -ConvertspeakernotestotextnoteinAdobePDF:แปลงspeakernotes ไปเป็นtextnoteในAdobePDF -PDFlayoutbaseonpowerpointprintersetting:โครงร่างหน้าPDF ยึดจากข้อกำ�หนดการพิมพ์ของPowerpoint การแปลงไฟล์MicrosoftExcelไปเป็น PDF 1.เปิดไฟล์ที่ต้องการจะแปลงจากโปรแกรมMicrosoftExcel 2. ดำ�เนินการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: - โปรแกรม Office 2003 หรือรุ่นที่เก่ากว่า, จากเมนู Adobe PDF, เลือก Convert To Adobe PDF - โปรแกรม Office 2007 หรือ 2010, จาก Acrobat ribbon, เลือก Create PDF 3. ใน dialog box ของ Acrobat PDFMaker, เลือก Conversion Range, จากนั้นเลือก Convert To PDF 4.เลือกข้อกำ�หนดอย่างใดอย่างหนึ่งจากในรายการConversionSetting 5.คลิกเลือกOKเพื่อยืนยันข้อก�ำ หนดที่มีการเปลี่ยนแปลง 6.เลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ดังต่อไปนี้เพื่อทำ�การแปลงเอกสารPDF :เลือกเมนูAdobePDF> และเลือกค�ำ สั่งท ี่ต้องการจะแปลงเอกสารPDF :คลิกปุ่มConverttoAdobePDFที่อยู่บนแถบเครื่องมือ เพื่อทำ�การแปลงไฟล์ไปเป็นเอกสารPDF :คลิกปุ่มConverttoAdobePDFandEmailที่อยู่บนแถบเครื่องมือ เพื่อท ำ�การแปลงไฟล์ไปเป็นเอกสารPDFและทำ�การผูกต ิดเอกสารPDF ไปกับEmail :คลิกปุ่มConverttoAdobePDFandSendforReview ทอี่ ยู่บนแถบเครื่องมือ 7.กรณีที่มีการเลือก PromptforselectingExcelsheetsไว้ จะปรากฏ dialog box สำ�หรับกำ�หนดเลือก sheets ที่ต้องการจะแปลงขึ้นมา เมื่อเลือก Sheets เรียบร้อยแล้ว ให้คลิกปุ่ม Convert to PDF
8. ระบุชื่อไฟล์และตำ�แหน่งในการจัดเก็บและจากนั้นคลิ๊กSave Page 8
หมายเหตุ โปรแกรมExcelเลือกAdobePDF>ConvertEntireWorkbook เพื่อท ำ�การแปลง Worksheets ทั้งหมดในไฟล์ Excel ถ้าข้อก ำ�หนดนไี้ม่ถูกเลือกไว้ จะแปลงเฉพาะหน้าที่เปิดอยู่ขณะนั้น โปรแกรมจะก�ำ หนดไว้ในเบื้องต้นให้ม ีการแปลงเฉพาะSheetที่ก�ำ ลังเปิดใช้งานอยู่ในExcelเท่านั้น
รายละเอียดต่างๆในChangeConversionSettings
ApplicationSetting(ข้อกำ�หนดของโปรแกรม เฉพาะที่แตกต่างจาก MS Word) -Convertcommentstonotes:แปลงcommentไปเป็นnoteในPDF -FitWorksheettoasinglepage:ปรับขนาดของworksheetให้พอดีกับหนึ่งหน้า -PromptforselectingExcelsheets
การแปลงไฟล์ email ข้อความ ข่าวสาร ไปเป็น PDF
สามารถใช้ PDFMaker เพื่อแปลงไฟล์ email ข้อความ ข่าวสาร เพียงหนึ่งข้อมูล หรือหลายข้อมูล จาก Microsoft Outlook หรือ Lotus Notes หรือข้อมูลที่มีอยู่ใน folders ทั้ง folders รวมเป็น PDF เพียงไฟล์เดียว หรือรวมอยู่ใน PDF Portfolio ใน PDF Portfolio ไฟล์ email ข้อความจะปรากฏแยกกันแต่ละไฟล์ ที่ dialog box ของ Acrobat PDFMaker จะมีตัวเลือก ให้ทำ�การกำ�หนดว่าต้องการให้ email รวมเป็น PDF ไฟล์ เดียว หรือรวมกันอยู่ใน PDF Portfolio คำ�สั่งควบคุมการแปลง email ไปเป็น PDF จะปรากฏอยู่ 2 ตำ�แหน่งในโปรแกรม email บนแถบเครื่องมือ Acrobat PDFMaker และบนเมนู ใน Outlook, ที่เมนูเรียกว่า Adobe PDF และปรากฏที่ด้านขวาของเมนู Outlook Help. ใน Lotus Notes, คำ�สั่ง PDF จะปรากฏอยู่ภายใต้เมนู Actions. Page 9
คุณสามารถแปลง email ที่กำ�ลังเปิดอยู่ ไปเป็น PDF โดยเลือกคำ�สั่ง File > Print, และเลือก Adobe PDF เป็น พริ้นเตอร์ ใน dialog box ของ Print กำ�หนด email ให้กลายเป็น PDF ที่รวมอยู่ในไฟล์เดียว หรือ PDF Portfolios 1. ทำ�อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: * (Outlook) เลือก Adobe PDF > Change Conversion Settings * (Lotus Notes) เลือก Actions > Change Adobe PDF Conversion Settings 2. ทำ�อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: * ทำ�การแปลง และรวม email ไปเป็นโดยมีหน้าเรียงต่อเชื่อมกัน อยู่ในเอกสารเพียงเอกสารเดียว, โดยที่ไม่เลือก คำ�สั่ง Output Adobe PDF Portfolio When Creating A New PDF File * ทำ�การแปลง email เข้าไปรวมเป็นส่วนประกอบอยู่ใน PDF Portfolio, ให้เลือก Output Adobe PDF Portfolio When Creating A New PDF File
แปลง email ที่เปิดอยู่ ไปเป็น PDF (Outlook)
แปลง email ไปเป็น PDF ไฟล์ใหม่
เลือก Adobe PDF > Convert To Adobe PDF
1. ใน Outlook หรือ Lotus Notes, เลือกแต่ละ email ที่ต้องการแปลง 2. ทำ�อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: * (Outlook) เลือก Adobe PDF > Convert Selected Messages > Create New PDF
* (Lotus Notes) เลือก Actions > Convert Selected Messages To Adobe PDF. 3. ใน dialob box ของ Save Adobe PDF As, เลือกตำ�แหน่งที่จะจัดเก็บไฟล์, พิมพ์ชื่อ, และคลิก Save Page 10
เพิ่ม email หรือ folders ไปที่ PDF ซึ่งกำ�ลังเปิดอยู่ 1. ใน Outlook หรือ Lotus Notes, เลือกแต่ละ email หรือ folders ที่ต้องการ 2. ทำ�อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: * (Outlook) เลือก Adobe PDF > Convert Selected Messages > Append To Existing PDF, หรือ Adobe PDF > Convert Selected Folders > Append To Existing PDF
* (Lotus Notes) เลือก Actions > Append Selected Message(s) To Existing Adobe PDF, หรือ Actions > Append Selected Folder(s) To Existing Adobe PDF 3. กำ�หนดตำ�แหน่ง และเลือก PDF หรือ PDF Portfolio ที่ต้องจะเพิ่ม emails ที่มีการแปลง, และคลิก Open ความสำ�คัญ: ไม่ต้องพิมพ์ชื่อใหม่ส�ำ หรับ PDF เพราะถ้าคุณพิมพ์จะปรากฏข้อความเตือนขึ้นมาบอกคุณ เกี่ยวกับ การแปลง PDF ไม่ผ่าน ให้คลิก OK และเลือกไฟล์ PDF โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนชื่อ 4. (เฉพาะ Outlook เท่านั้น) ถ้ามีข้อความปรากฏขึ้น เพื่อเตือนคุณเกี่ยวกับ PDF ที่กำ�ลังเปิดอยู่ มีการแปลงโดย ใช้ PDFMaker เวอร์ชั่นก่อนหน้า, ทำ�อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: * ทำ�การแปลง PDF Portfolio จาก PDF ต้นฉบับ ซึ่งเป็นไฟล์ที่แปลงเก็บไว้ครั้งแรก, คลิก Yes, และเลือกชื่อ และ ตำ�แหน่งเพื่อที่จะจัดเก็บไฟล์ใหม่ (ค่าตั้งต้น ชื่อไฟล์จะใส่ค�ำ ว่า _Portfolio ต่อจากชื่อไฟล์ PDF ต้นฉบับ) เมื่อทำ�การแปลง เสร็จสมบูรณ์แล้ว และ dialog box ของ Creating Adobe PDF ปิดไป, ไฟล์ที่จัดเก็บใหม่จะเปิดขึ้นมาใน Acrobat * คลิก No เพื่อยกเลิกการทำ�งาน แปลง folders ของ email ไปเป็น PDF ไฟล์ใหม่ PDFMaker สามารถทำ�การแปลงหลายๆ ไปเป็น PDF โดยการดำ�เนินการเพียงครั้งเดียว มันไม่จำ�เป็นที่จะเลือก folders ก่อนที่จะเริ่มขั้นตอนการแปลง เพราะว่าคุณสามารถเลือก folders ใน dialog box ที่ปรากฏขึ้นได้โดยอัตโนมัติ 1. ทำ�อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: * (Outlook) เลือก Adobe PDF > Convert Selected Folders > Create New PDF * (Lotus Notes) เลือก Actions > Convert Selected Folder(s) To Adobe PDF 2. ใน dialog box ของ Convert Folder(s) To PDF, เลือก folders หลังจากนั้นคลิกเลือก หรือไม่เลือก ตัวเลือก Convert This Folder And All Sub Folders
3. ใน Save Adobe PDF File As, เลือกตำ�แหน่ง และชื่อ สำ�หรับ PDF Portfolio เมื่อการแปลงเสร็จสมบูรณ์แล้ว ไฟล์ PDF ใหม่จะเปิดขึ้นมาใน Acrobat
Page 11
แปลงไฟล์ Visio ไปเป็น PDF PDF ที่แปลงจากไฟล์ Visio จะยังคงรักษาขนาดของหน้างาน และรองรับ layers, การค้นหาข้อความ, การเชื่อม โยง, bookmarks, และ comments, ขึ้นอยู่กับการกำ�หนดเงื่อนไขของการแปลง (เลือก Adobe PDF > Change Conversion Settings เพื่อตรวจดูข้อกำ�หนด) เมื่อคุณแปลงไฟล์ Visio, เฉพาะรูปทรง และไกด์ ที่กำ�หนดให้พิมพ์ และกำ�หนดให้มองเห็น ใน Visio เท่านั้น ที่จะ ถูกแปลง และปรากฏใน PDF รูปทรงที่มีการแปลง จะไม่ค�ำ นึงว่ามีการป้องกัน คุณสมบัติของรูปทรงที่สร้างขึ้น สามารถ ที่จะแปลงไปเป็นข้อมูลวัตถุที่ PDF เมือ่ คุณแปลงไฟล์ Visio ไปเป็น PDF, คุณสามารถคงสภาพเลเยอร์ทงั้ หมด หรือเฉพาะบางเลเยอร์ไว้, หรือสามารถ รวมเลเยอร์ทั้งหมด แปลงไฟล์ Visio 1. ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนข้อกำ�หนดของการแปลงไฟล์ ที่ PDFMaker, ให้เปิด Visio และเลือก Adobe PDF > Change Conversion Settings 2. ถ้าคุณต้องการแปลงแต่ละหน้าในไฟล์ Visio เพื่อคั่นหน้าหนังสือ ในไฟล์ PDF, เลือก Adobe PDF > Convert All Pages In Drawing ถ้าตัวเลือกนี้ ไม่ได้เลือก, เฉพาะหน้าที่เปิดอยู่เท่านั้น ที่จะมีการแปลง 3. ทำ�อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: * คลิกปุ่ม Convert To Adobe PDF ในแถบเครื่องมือ Adobe PDF * เลือก Adobe PDF > Convert To Adobe PDF * เลือก Adobe PDF > Convert To Adobe PDF And EMail * เลือก Choose Adobe PDF > Convert To Adobe PDF And Send For Review 4. ถ้าคุณต้องการที่จะรวมคุณสมบัติของรูปทรงที่สร้างขึ้น, ให้เลือกตัวเลือกนั้น 5. คลิก Continue. 6. เลือกตัวเลือกที่จะต้องการให้คงเลเยอร์อยู่ หรือรวมเลเยอร์ใน PDF ที่แปลงเสร็จแล้ว และคลิก Continue Note: ถ้าคุณเลือก Retain Some Layers In The Selected Page, จะมีระบบเตือนความจำ� เพื่อให้คุณเลือกเลเยอร์ Visio รวมไปด้วย 7. คลิก Convert To Adobe PDF, ระบุตำ�แหน่ง และตั้งชื่อไฟล์, และคลิก Save เลือกเลเยอร์ Visio เพื่อแปลง เลเยอร์ที่คุณแปลงจาก Visio ไปที่ PDF คุณสามารถที่จะทำ�การจัดการกับเลเยอร์เหล่านี้ได้ ในพาแนล Acrobat Layers 1. ด้วยเลเยอร์หลายๆ เลเยอร์ เปิดอยู่ใน Visio, คลิกปุ่ม ในแถบเครื่องมือ Adobe PDF,และเลือก Retain Some Layers In The Selected Page Note: ถ้าตัวเลือก Retain Some Layers In The Selected Page ไม่สามารถใช้ได้, ต้องไม่เลือก Convert All Pages In Drawing option 2. เลือกหนึ่งเลเยอร์ หรือหลายเลเยอร์ ในรายการ Layers In Visio Drawing 3. ทำ�การเพิ่มเลเยอร์ Visio ที่เลือก ใส่ไปที่รายการของเลเยอร์ เพื่อที่จะแปลงไปเป็นไฟล์ PDF, ทำ�อย่างใดอย่าง หนึ่งดังต่อไปนี้: Page 12
* ทำ�การแปลงเลเยอร์ Visio ที่เลือก เพื่อให้แยกเป็นแต่ละเลเยอร์ในไฟล์ PDF พร้อมด้วยชุดของเลเยอร์ใน PDF, คลิก Create Layer Set, และกำ�หนดตัวเลือกอื่นๆ, พิมพ์ชื่อเลเยอร์ * ทำ�การแปลงเลเยอร์ Visio ที่เลือก เพื่อให้แยกเป็นแต่ละเลเยอร์ (แต่ไม่รวมกลุ่ม ภายใต้ชุดของเลเยอร์), คลิกปุ่ม Add Layer(s) 4. ตัวเลือกเพิ่มเติม, ทำ�อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: * ทำ�การจัดลำ�ดับเลเยอร์ใหม่ ในรายการ Layers In PDF, ลากหัวข้อขึ้น หรือลงในรายการ * ทำ�ให้มีการรวมเอาคุณสมบัติที่จะกำ�หนดให้มองเห็นได้เอาไว้ด้วย โดยสามารถที่เปิด หรือปิดสลับไปมา จะต้อง ไม่เลือก Locked On การล็อคมีผลทำ�ให้เลเยอร์ PDF เปิดไว้ให้มองเห็น ให้เลือก Locked On * ทำ�การบันทึกข้อกำ�หนดที่มีการกำ�หนดใช้อยู่ ของเลเยอร์ Visio ที่เลือก, คลิก Save PDF Settings, และคลิก OK. ข้อกำ�หนดนี้จะถูกใช้ในครั้งต่อไปที่มีการแปลงไฟล์ Vision ไปเป็นไฟล์ PDF 5. คลิก Convert To PDF, ระบุ folder ใน Save In box ในที่ซึ่งจะมีการบันทึกไฟล์ PDF, พิมพ์ชื่อไฟล์ และจาก นั้นคลิก Save
Page 13
การสร้างเอกสารPDFโดยตรงจากAdobeAcrobat XI
ก ารสร้างไฟล์PDFโดยตรงจากโปรแกรมAdobe Acrobat Xเป็นอีกวิธีหนึ่งของการสร้างไฟล์PDFซึ่งเหมาะกับ ข้อมูลประเภทรูปภาพ เพราะมีข้อกำ�หนดไม่มากนัก จึงทำ�ให้มีความสะดวก และรวดเร็วในการแปลงไฟล์ หากเป็นไฟล์ ข้อมูลที่สร้างจากชุดโปรแกรม Microsoft ขอแนะนำ�ว่า ควรใช้วิธีการสร้างโดยตรงจากโปรแกรมเหล่านั้น หรือโดยวิธีการ สั่งพ ิมพ์เป็นไฟล์PDFซึ่งจะมีการกำ�หนดเงื่อนไขของการแปลงไฟล์PDFที่ดีกว่าการสร้างไฟล์จากรูปภาพ
การสร้างไฟล์PDFจากไฟล์ต่างๆทลี ะไฟล์ผ่านโปรแกรมAdobeAcrobat X 1.เปิดโปรแกรมAdobeAcrobat XIขึ้นม าจากนั้นเลือกค�ำ สั่งFile>CreatePDF>FromFile หรือคลิกที่ปุ่มCreatePDFที่อยู่บนแถบเครื่องมือและเลือกFromFile
2.เลือกชนิดของไฟล์จากกรอบรายการของFileofType(Windows)หรือShow(MacOS) จากนั้นค้นหาไฟล์งานที่ต้องการน�ำ มาแปลงเป็นPDF 3.คลิกปุ่มSettingถ้าต้องการแก้ไขข้อกำ�หนดส�ำ หรับการแปลงไฟล์ :จากนั้นให้คลิก OKเพื่อให้ได้ผลลัพท์ตามข้อก�ำ หนดใหม่ที่เปลี่ยนแปลง :ข้อก ำ�หนดทใี่ช้ในการแปลงไฟล์จะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของไฟล์ ที่จะน�ำ มาแปลง :กรณีที่ปุ่มSettingจางลงแสดงว่าไม่สามารถที่จะก�ำ หนดเงื่อนไขของการแปลงไฟล์ได้ 4.คลิก Openเพื่อท�ำ การแปลงไฟล์ที่เลือกไว้ให้เป็นPDF
การแปลงไฟล์หลายรูปแบบ เป็น PDF พร้อมการกำ�หนดกลุ่มไฟล์ PDF 1.เลือกคำ�สั่งFile>CreatePDF>Batch Create Multiple Files... และจากนั้นคลิกAddFilesหรือ Add Folders (ทุกไฟล์ที่บรรจุไว้ใน Folder)
Page 14
2 .เลือกไฟล์และโฟว์เดอร์ ที่ต้องการและคลิกปุ่มAddFilesหรือ Choose 3.ต้องการลบไฟล์คลิกRemove
4.คลิก OK จากนั้นจะปรากฏ dialog box ของ Output Options ขึ้นมา
: Target Folder (กำ�หนดโฟว์เดอร์สำ�หรับจัดเก็บไฟล์) - The Same Folder Seleted at Start (จัดเก็บไว้ในโฟว์เดอร์เดียวกันกับไฟล์ที่เลือกเริ่มต้น) - A Folder on My Computer >> เลือก Choose เพื่อกำ�หนดเลือกโฟว์เดอร์ (จัดเก็บไว้ในโฟว์เดอร์ใดโฟว์เดอร์หนึ่งในคอมพิวเตอร์ของเรา) : File Naming (การตั้งชื่อไฟล์) - Keep original file name (ใช้ชื่อไว้เดิม) - Add to original file names: (ใส่ชื่อเพิ่ม จากชื่อไฟล์เดิม) โดยแทรกก่อน (Insert Before) หรือแทรกหลัง (Insert After) ชื่อไฟล์เดิม 5. คลิก OK เพื่อทำ�การสร้างไฟล์ PDF Page 15
การรวมไฟล์(CombineFiles) การรวมไฟล์ด ้วยวิธีของการใช้คำ�สั่งCombineFiles -เป็นการรวมหลายๆไฟล์ให้ร วมอยู่ในPDFเพียงไฟล์เดียว -ง่ายต่อการเลือกใช้และการจัดเตรียมเอกสารและรูปภาพจากนั้นก็น�ำ ไฟล์ท ี่รวมกันไว้ไปจัดพิมพ์ -จะช่วยรักษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันรวมกันไว้และนำ�เสนอข้อมูลในทุกๆค�ำ สั่งท ี่ต้องการ -ผลิตไฟล์PDFสุดท้ายที่มีขนาดเล็กโดยใช้ตัวเลือกไม่ยุ่งยากในการลดขนาดของไฟล์
การรวมไฟล์สามารถช่วยอะไรคุณได้บ้าง
วิธีการรวมไฟล์
LegalDocument(เอกสารทางด้านกฏหมาย) เอกสารหลายๆไฟล์จัดร วบรวมให้เหลือเพียงไฟล์เดียว ทำ�การดึงเอกสารที่ความเชื่อมโยงกัน จากหล ายแหล่ง และหลายผู้สร้างไฟล์ มารวมเข้าด้วยกัน เพื่อส ร้างเอกสารที่เกี่ยวกับกฏหมายจากเอกสารที่หลากหลายให้เหลือเพียงไฟล์เดียวก่อนทจี่ ะส่งให้กับลูกค้าหรือศาล อาทิเช่นเอกสารสัญญา,เอกสารคำ�ร้อง,เอกสารญัตติเป็นต้น ProjectBinders จัดระบบไฟล์แผนงาน เก็บรักษาเอกสารแผนงานของทุกคน รวมไว้ในที่เดียวกัน สร้างแผนงานเพื่อเก็บรักษาเอกสารที่ เชื่อมโยงกันไว้ในไฟล์เดียวซึ่งจะสามารถทำ�ได้ง่ายๆเพื่อการจัดเก็บเอกสารออกแบบ,เอกสารส�ำ หรับส่งemail,เอกสาร สัญญาและเอกสารตารางเวลา การนำ�เสนอการขาย ความประทับใจกับการนำ�เสนอการขาย ทำ�ให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ ด้วยเอกสารระดับมืออาชีพ ใช้เพียงเอกสารเดียว เพื่อบรรยายข้อเสนอ ของคุณจัดเตรียมเอกสารของคุณในทุกคำ�สั่งเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสของคุณที่จะสามารถค้นหารายการได้อย่างรวดเร็วตาม ที่คุณต ้องการไม่ว่าจะเป็นโบว์ชัวร์,เอกสารน�ำ เสนอ,spreadsheetและเอกสารสัญญา 1.คลิกเครื่องมือCombineFiles into PDF ที่ Tools Pane > Pages > Insert Pages หรือเลือกเมนูFile>Create > CombineFiles into a Single PDF... หรือเลือกที่แถบเครื่องมือ Create > CombineFiles into a Single PDF...
2. ทำ�อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้:
Page 16
- Add Files... ถ้าต้องการนำ�ไฟล์ PDF มารวม โดยเลือกทีละหนึ่งไฟล์ - Add Folders... ถ้าต้องการเลือกไฟล์PDFทั้งfolder - Add PDF from Scanner.. ถ้าต้องนำ�ไฟล์ PDF จากการสแกนเอกสารจากโปรแกรม Acrobat - Add Webpage... ถ้าต้องการข้อมูลจากหน้าเว็บมารวมเป็นไฟล์ PDF - Add from Clipboard... ถ้าต้องการนำ�ข้อมูลที่ได้ copy ไว้ใน Clipboard มารวมเป็นไฟล์ PDF - Add Email... ถ้าต้องการนำ�ข้อมูลจาก Email มารวมเป็นไฟล์ PDF - เลือก ReuseFiles... ถ้าต้องการนำ�ไฟล์PDFที่มีการรวมไว้ก่อนหน้านี้กลับมาใช้ใหม่ - เลือก Add Open Files... ถ้าต้องการเลือกไฟล์ PDF ที่กำ�ลังเปิดอยู่ 3.เลือก AddFiles... จากนั้นเลือกไฟล์ PDF ที่ต้องการนำ�มารวม
A. ปุ่มแสดงไฟล์ PDF แบบรายการ และ Thumbnail B. แถบเลื่อนเพื่อเปลี่ยนขนาด Thumbnail C. ปุ่ม Undo และ Redo D. ปุ่มลบรายการที่เลือก E. แสดงสัญลักษณ์ + เป็นการแสดงรวมทุกหน้าในเอกสาร
4.คลิกเลือกปุ่ม Options เพื่อกำ�หนดตัวเลือกเพิ่มเติมสำ�หรับการรวมไฟล์
5. กำ�หนด File Size: (ขนาดของไฟล์) คลิกเลือกที่รูปสัญลักษณ์ที่อยู่ตรงกลาง (Defualt File Size) เป็น ขนาดไฟล์ที่เหมาะสำ�หรับใช้เป็นเอกสารธุรกิจ ไฟล์ PDF ที่อยู่ในรายการจะรักษาขนาด และคุณภาพ ของไฟล์ต้นฉบับไว้ 6. ที่ File Type: (ชนิดของไฟล์ที่ต้องการรวม) เลือกเป็น Single PDF Page 17
7.กำ�หนดตัวเลือกอื่น ใน dialog box ของ Options เรียบร้อยแล้ว จากนั้นคลิก OK 8. คลิกปุ่มCombine Files เพื่อทำ�การรวมไฟล์ เมื่อรวมไฟล์เสร็จเรียบร้อย ชื่อไฟล์จะกำ�หนดเป็น Binder1 9. ให้ทำ�การ Save และตั้งชื่อไฟล์ใหม่ตามต้องการ และกำ�หนดตำ�แหน่งการจัดเก็บ ตัวเลือกอื่นๆ -ต้องการเปลี่ยนตำ�แหน่งไฟล์ กรณี อยู่ในโหมดแสดงไฟล์ PDF แบบ List เลือกMoveUp (ย้ายไฟล์ขึ้นด้านบน),MoveDown
(ย้ายไฟล์ลงด้านล่าง)
กรณี อยู่ในโหมดแสดงไฟล์ PDF แบบ Thumnail ใช้การ Drag and Drop (ลากและปล่อย) Thumnail
-ต้องการลบไฟล์คลิกRemove การเลือกรวมเฉพาะบางหน้าของไฟล์ 1.คลิกเลือกไฟล์PDFที่ต้องการจะเลือกรวมเฉพาะบางหน้า 2.คลิกเลือก All Pages ที่อยู่ในแถวของ PageRangจากนั้นให้ระบบุหน้าที่ต้องการ
3.คลิกEnter บันทึก:ใส่เลขหน้าและ/หรือระหว่างหน้าที่แยกกันโดยใช้comma(,)
Page 18
การแปลงไฟล์หลายรูปแบบเป็น PDFและนำ�มารวมกันไว้ในPDF Portfolio
P DFP ortfolio เป็นการน�ำ ไฟล์P DFม ารวมไว้ท เี่ ดียวกันจ ะชว่ ยให้ค ณ ุ ร วมขอ้ มูลซ งึ่ เกีย่ วข้องแ ละเชือ่ มโยงกนั เข้าไป รวมไว้ในPDFเพียงไฟล์เดียวในขณะที่ยังคงรักษาคุณสมบัติของไฟล์PDFแต่ละไฟล์ให้อยู่เหมือนเดิมภายในPortfolio วิธีแปลงไฟล์PDFนำ�มารวมกันไว้ในPDF Portfolio เลือกคำ�สั่งFile>CreatePDF>Combine Files into a Single PDF หรือคลิกที่ปุ่มCreatePDFที่แถบเครื่องมือและเลือกCombine Files into a Single PDF และจากนั้นคลิกAddFilesหรือ Add Folder (ทุกไฟล์ที่บรรจุไว้ใน Folder) 2.เลือกไฟล์และโฟว์เดอร์ ที่ต้องการและคลิกปุ่มAddFilesหรือ Choose 3.ปรับเปลี่ยนลำ�ดับของไฟล์ตามที่ต้องการโดยใช้MoveUpหรือMoveDown และจากนั้นเลือกขนาดของไฟล์และข้อก�ำ หนดการแปลง ภายใต้หัวข้อ“FileSize” 4.เลือกPDFPortfolio 5. จากนั้นคลิกปุ่ม Create PDFPortfolio ห มายเหตุ:ร ายละเอียดของการกำ�หนดเงื่อนไข การเปลี่ยนแปลงการแสดงผล การเพิ่มไฟล์ รูปแบบอื่นๆ ใน PDF Portfolio สามารถดูเพิ่มเติมได้จากหัวข้อ “Create PDF Portfolio”
Page 19
PDF Portfolio กระเป๋าจัดเก็บเอกสาร ในโปรแกรม Adobe Acrobat XI PDF Portfolio เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติในโปรแกรม Adobe Acrobat XI เพื่อใช้ในการจัดเก็บเอกสารให้เป็น หมวดหมู่ รวบรวมเอกสาร ภาพวาด อีเมล์ ตารางสเปรดชีต และริชมีเดีย เช่น วิดีโอ, เสียง, ภาพ 3 มิติ และแผนที่ ไว้ใน PDF Portfolio ที่มีการบีบอัดข้อมูล คุณสามารถเลือกใช้เทมเพลตแบบมืออาชีพที่มีอยู่มากมาย เพื่อผนวกรวมคอนเทนต์ ต่างๆ และกำ�หนดรูปแบบการนำ�ทาง (Navigation) พร้อมทั้งปรับแต่ง PDF Portfolio ของคุณ นอกจากนี้ยังสามารถสร้าง แบรด์ และปรับแต่งเทมเพลตของคุณ ด้วยรายละเอียดต่างๆ เช่น โลโก้ ชุดรูปแบบสี ภาพถ่าย และข้อมูลติดต่อ และคุณ สามารถแบ่งปัน PDF Portfolio บทแพลตฟอร์มที่หลากหลาย Acrobat ในเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ จะมีค�ำ สั่งที่ใช้ในการจัดการ และบริหารไฟล์ PDF อยู่แล้ว ซึ่งมีชื่อว่า Organizer แต่ใน Portfolio มีการจัดการ และจัดเก็บไฟล์ไว้ในที่ที่เดียวกัน เหมือนการ Package ทั้ง Organizer และ Package จะทำ�งานภายใต้รูปแบบไฟล์ PDF ส่วนใน Portfolio นอกจากไฟล์ PDF แล้ว ยังสามารถนำ�รูปแบบไฟล์อื่นๆ มาบรรจุ ไว้ในกระเป๋า หรือซองเอกสารได้ด้วย แต่ละไฟล์ไม่ได้นำ�มารวมเป็นไฟล์เดียวกัน แต่จะแยกเป็นอิสระ และจัดเก็บไว้ใน โฟว์เดอร์ที่สร้างขึ้นไว้ใน PDF Portfolio เมื่อเรียกใช้งาน แต่ละไฟล์ก็จะไปเรียกเปิดจากโปรแกรมที่สามารถเปิดอ่าน หรือ ใช้งานไฟล์นั้นๆ สำ�หรับไฟล์ PDF ก็เช่นกัน เมื่อมาอยู่ใน PDF Portfolio ก็สามารถแสดงผลได้ตามปกติ สามารถปรับ เลื่อนหน้า, ย่อ-ขยาย เพื่อดูข้อมูล และหากต้องการให้ไฟล์ PDF เปิดขึ้นมาเพื่อใช้งานบนโปรแกรม Adobe Acrobat ก็ สามารถทำ�ได้ง่ายๆ เพียงคลิกปุ่ม Open ไฟล์ PDF ก็จะถูกส่งไปเปิดในโปรแกรม Adobe Acrobat ทันที PDF Portfolio มีระบบการจัดเก็บไฟล์เป็นหมวดหมู่โดยอาศัย folder (ระบบกระเป๋า) และระบบการ จัดเรียง ข้อมูลที่หลากหลายให้มีความน่าใช้ยิ่งขึ้น สามารถเลือกใช้ Layout ตามต้องการ, ใส่หน้าต้อนรับ และหัวข้อส่วนบน, ใส่ สีของรายการ, ระบุการแสดงรายละเอียดของไฟล์ และผลิตงานเพื่อแจกจ่ายเผยแพร่ โดยการบันทึกเป็นไฟล์ PDF แบบ Portfolio, จัดส่งไปทาง Email หรือส่งไปเพื่อใช้ไฟล์ร่วมกันบนเว็บ www.acrobat.com
Page 20
ใน PDF Portfolio, คุณสามารถ:
•
ทำ�การรวมไฟล์ PDF และไม่ใช่ไฟล์ PDF เข้าด้วยกัน ทำ�การ Import และแปลงไฟล์ที่ไม่ใช่ไฟล์ PDF รวบรวม, จัดประเภท และคัดกรอง เพื่อการส่งกลับข้อมูลที่กรอกในแบบฟอร์ม (Acrobat 9 Standard หรือ Professional) สร้างอีเมล์ Portfolio ขึ้น โดยใช้กลไกของ PDFMaker ที่ฝังอยู่ในโปรแกรม Outlook หรือ Lotus Notes รวมไฟล์เข้าด้วยกันเก็บไว้ในโฟร์เดอร์ แก้ไขไฟล์ที่ไม่ใช้ PDF ได้โดยตรงจาก Portfolio และบันทึกสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงกลับไปที่ Portfolio ทำ�การค้นหาเอกสาร (ทั้งไฟล์ PDF และไม่ใช่ไฟล์ PDF) ทำ�การพิมพ์เฉพาะเนื้อที่ได้เลือกไว้ ใส่ headers และ footers, watermarks หรือ backgrounds ไปที่ไฟล์ทั้งหมด หรือเฉพาะไฟล์ที่เลือก ใช้ลายเซ็นดิจิตอล
•
กำ�หนดใส่กลุ่มตัวเลข
• • •
• • • • • •
วิธีการสร้าง PDF Portfolio 1. เปิดโปรแกรม Adobe Acrobat XI Pro 2. เลือกคำ�สั่ง File > Create > PDF Portfolio... หรือคลิกปุ่ม Create > PDF Portfolio... บนแถบเครื่องมือ จากนั้นจะปรากฏหน้า Create PDF Portfolio ขึ้นมา เพื่อเลือกรูปแบบของเลย์เอ้าท์ Portfolio ที่คุณต้องการ
>> ให้คลิกเลือกรูปแบบเลย์เอ้าท์ ภายใต้หัวข้อ Choose a layout for your Portfolio (ให้สังเกตุตัวอย่างของ เลย์เอ้าท์ที่แสดงอยู่ด้านขวามือ >> คุณสามารถนำ�เข้าเลย์เอ้าท์ ที่คุณได้จัดเตรียมไว้เข้ามาใช้งานได้ โดยคลิกที่ปุ่ม Import Custom Layout... 3. คลิกปุ่ม Add Files เพื่อใส่ไฟล์ต่างๆ ใน PDF Portfoilo หรือคลิกปุ่ม Finish เพื่อจบการเลือกรูปแบบเลย์เอ้าท์ แล้วจึงค่อยไปใส่ไฟล์ต่างๆ ในภายหลัง ข้อสังเกตุ: หลังจากคลิกปุ่ม Add Files หรือ Finish จะแสดงชื่อไฟล์เป็น Portfolio1.pdf Page 21
หมายเหตุ: การแสดงไฟล์ใน PDF Portfolio จะต้องทำ�งานร่วมกับเทคโนโลยี Flash เพราะฉนั้น คุณจะต้องติด ตั้ง Flash Player ที่เข้ากันได้กับ Adobe Reader และ Acrobat
ภายใต้หน้าต่าง PDF Portfolio จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
- ส่วนที่ 1 เป็นแถบเครื่องมือด้านบนของหน้าต่าง เป็นปุ่มเครื่องมือ สำ�หรับใช้ในการแสดงผล, การบันทึก, การ พิมพ์, การ Share ข้อมูล และคำ�สั่งเพื่อปรับปรุง PDF Portfolio - ส่วนที่ 2 การแสดงผล เพื่อแสดงข้อมูลไฟล์ PDF และไฟล์อื่น ๆ โดยการแสดงผลจะเป็นไปตามเงื่อนไขที่ กำ�หนดจากคำ�สั่ง Edit Portfolio ภายใต้ Panel ด้านขวามือ - ส่วนที่ 3 พาเนลด้านขวา จะแยกตามหัวข้อ เช่น หัวข้อ Layout ก็จะประกอบไปด้วย คำ�สั่งสำ�หรับใส่เนื้อหา (Add Content), คำ�สั่งปรับเปลี่ยนเลย์เอ้าท์ (Portfolio Layouts), คำ�สั่งเปลี่ยนสี (Color Palettes) และคำ�สั่งกำ�หนดพื้นหลัง (Background) เพื่อเพิ่มความน่าใช้ และสะดวกต่อการเรียกใช้งาน 4. ทำ�การบันทึกชื่อของ Portfolio โดยกดปุ่ม ที่อยู่ด้านบนของหน้าต่าง เลือกคำ�สั่ง Save Portfolio และจากนั้นตั้งชื่อไฟล์ของ Portfolio ตามต้องการ
5. สร้างกระเป๋าเพื่อจัดเก็บไฟล์ ให้คลิกที่ปุ่ม Create New Folder ทำ�การตั้งชื่อกระเป๋า, คลิกปุ่ม OK กระเป๋าที่สร้างขึ้นมาใหม่จะปรากฏอยู่ในรายการ Portfolio Page 22
วิธีใส่ไฟล์ PDF และไฟล์อื่นๆ ใน PDF Portfolio
การใส่ไฟล์ PDF สามารถใส่เข้าไปทีละไฟล์ หรือใส่ทั้งกระเป๋าก็ได้ สามารถใส่ไฟล์เข้าไปตรงๆ ใน Portfolio หรือ ใส่เข้าไปให้อยู่ภายในกระเป๋าที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้ โดยให้ปฎิบัติดังต่อไปนี้ 1. คลิกปุ่ม Add Files จากนั้นเลือกไฟล์ PDF หรือไฟล์อื่นๆ ที่ต้องการใส่เข้าไปใน Portfolio, คลิก Open
2. คลิกปุ่ม Add Folder จากนั้นเลือกกระเป๋าที่ต้องการใส่เข้าไปใน Portfolio, คลิกปุ่ม OK ไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ในกระเป๋าก็จะถูกบรรจุเข้าไปพร้อมกันได้วย 3. หากต้องการใส่ไฟล์เข้าไปในกระเป๋าที่มีการสร้างไว้ก่อนหน้า ให้เลือกกระเป๋าที่ต้องการนำ�ไฟล์มาใส่ไว้ภายใน โดยการ Double-Click ที่กระเป๋า จากนั้นก็ทำ�การใส่ไฟล์ข้อมูลตามต้องการ จะใส่ทีละไฟล์ หรือใส่ทั้งกระเป๋าก็ได้ (ดูจากขั้นตอนที่ 1 และ 2)
วิธีการเรียกดูไฟล์ใน PDF Portfolio
1. คลิกที่ปุ่ม Preview บนแถบเครื่องมือด้านบน >> ให้เลือกไฟล์ที่ต้องการจะเรียกดู จากนั้นให้ทำ�การ Double-Click ที่ไฟล์นั้นๆ >> หากต้องการให้ไฟล์ เปิดขึ้นจากโปรแกรมต้นทางของไฟล์นั้นๆ ให้ทำ�การ Double-Click อีกครั้ง หรือใช้คลิกเลือกที่ปุ่ม Open File ที่แสดงอยู่มุมบนของ PDF Portfolio กรณี ไฟล์ที่มีหลายๆ หน้า จะปรากฏปุ่มเพื่อเลื่อนหน้าอยู่ด้านล่างไฟล์นั้นๆ หากต้องการเลื่อนหน้า ให้คลิกที่ ลูกศรขึ้น-ลงเพื่อเลื่อนหน้า หรือหากต้องการไปยังหน้าต่างๆ ให้คลิกลงในช่องเลขหน้า ป้อนเลขหน้าที่ต้องการ
>> หากไม่ต้องการเปิดไฟล์ที่เลือก ให้คลิกปุ่มกากบาท ซึ่งอยู่ด้านบนของไฟล์ที่เลือก เพื่อปิดไฟล์นั้นกลับไป Page 23
2. กรณีไฟล์ที่จะเรียกดูถูกจัดเก็บไว้ในกระเป๋าอีกชั้นหนึ่ง ให้ท�ำ การ Double-Click เพื่อเข้าไปภายในกระเป๋านั้นก่อน แล้วจึงเลือกไฟล์ที่ต้องการที่จะเปิดดู - การปรับเลื่อนไปยังไฟล์อื่นๆ ที่อยู่ในกระเป๋าเดียวกัน หรืออยู่ใน Portfolio เดียวกัน ให้คลิกที่รูปสัญลักษณ์ลูกศรซ้าย-ขวา ซึ่งแสดงอยู่ที่ตำ�แหน่งด้านซ้าย-ขวา ของแต่ละไฟล์ที่เปิดขึ้นมา
การแก้ไข เปลี่ยนแปลง PDF Portfolio การแก้ไข เปลี่ยนแปลง Portfolio จะสามารถทำ�ได้โดยการเลือกใช้เครื่องมือต่างๆ ที่อยู่ในพาแนลด้านขวามือ ของ Portfolio ภายใต้หัวข้อ Edit การที่เราปิดไฟล์ Portfolio และเปิดกลับขึ้นมาใช้ใหม่ทุกครั้ง จะกลับมาอยู่ใน โหมด Preview คำ�สั่งส่วนพาแนลจะ ถูกซ่อนไว้ เพื่อให้ส่วนของการแสดงข้อมูลมีพื้นที่ใน การแสดงผลมากขึ้น หากต้องการที่จะแก้ไข ก็ต้องไปเลือกคำ�สั่ง Edit Portfolio อยู่ที่แถบเครื่องมือด้านบน เมื่อเลือกปุ่มคำ�สั่ง Edit พาแนลการแก้ไขก็จะแสดงขึ้นมา หรือถ้าต้องการปิดก็กลับไปที่ปุ่มคำ�สั่ง Preview การเรียกใช้คำ�สั่งต่าง ๆ และการกำ�หนดเงื่อนไขใน Edit Portfolio โดยคลิกเลือกไปที่หัวข้อของคำ�สั่ง จากนั้นก็ เลือกคำ�สั่งย่อย ซึ่งก็จะทำ�การแสดงรายการเฉพาะหัวข้อที่เราเลือก ส่วนรายการในหัวข้ออื่นๆ ก็จะถูกซ่อนไว้
•
•
Layout เลือกรูปแบบเลย์เอ้าท์ของ Portfolio ซึ่งมีให้เลือกหลายรูปแบบ อาทิเช่น Click-Through, Freeform, Grid, Linear และ Wave นอกจากนั้นยังสามารถเลือก Themes ได้อีกด้วย จากรายการ Visual Themes เช่น Clean, Spring, Tech Office, Modern เป็นต้น Page 24
Color Palettes เลือกสีให้กับรูปแบบของ Portfolio ที่สร้างขึ้น โดยจะเป็นตารางสีให้เลือก หรือถ้าคุณไม่ต้องการสีที่มีอยู่ คุณก็ยัง สามารถที่จะสร้างสีขึ้นมาใช้เองได้ การสร้างสีขึ้นมาใช้เอง ให้คลิกเลือกที่ Create from Existing เมื่อเลือกชุดสีเสร็จแล้ว ให้คลิกปุ่ม Save ในชุดสีจะแบ่งเป็น 5 ส่วน Background Color (สีพื้นหลัง), Border (สีกรอบ)] Primary (สีอันดับแรกที่ใช้กับ กรอบ หรือป้ายรายการ), Accent (สีของบัตร หรือป้ายรายการ), Text (สีของตัวอักษร)
Details กำ�หนดรายละเอียดของไฟล์ ซึ่งประกอบไปด้วย Columns to Display (กำ�หนดคอลัมน์เพื่อการ แสดงรายละเอียดของไฟล์) และ Initial Sort (กำ�หนดอักษรแรกเพื่อการจัดเรียงลำ�ดับของไฟล์) ทั้ง 2 ข้อกำ�หนด ทั้งการแสดงผล และการจัดลำ�ดับ ยึดตามหัวข้อ Name, Description, Modified, Compressed size และ Create Page 25
Share การเผยแพร่ และกระจาย Portfolio โดยการ (SAVE) บันทึก, ส่งทาง Email และแบ่งบัน Portfolio
Page 26
Electronic Signature ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ในโปรแกรม Adobe Acrobat XI
การเซ็นในไฟล์ PDF ด้วย Adobe EchoSign Electronic Signature การเซ็นในไฟล์ PDF
ว ิธีการเซ็นในไฟล์ PDF, คุณสามารถใช้การพิมพ์, ใช้กล้องถ่ายภาพ หรือสแกนภาพลายเซ็นที่ เขียนด้วยลายมือ , การวาดภาพ หรือการใส่ภาพลายเซ็นของคุณ หรือการวางใบรับรองลายเซ็น คุณสามารถ ใส่ข้อความ เช่น ชื่อ, บริษัท, ตำ�แหน่ง หรือวันที่ เมื่อเอกสารสมบูรณ์ ลายเซ็น และข้อความจะเป็นส่วนหนึ่ง ของ PDF Type my signature พิมพ์ชื่อลงในช่อง Enter Your Name โปรแกรม Acrobat จะทำ�การสร้างลาย เซ็นให้คุณ คุณสามารถเลือกรูปแบบลายเซ็นจากรายการขนาดเล็ก คลิก Change Signature Style เพื่อดู ลักษณะที่แตกต่างของลายเซ็น เมื่อคุณพอใจกับลายเซ็นของคุณแล้ว, คลิก Accept 1. เปิดไฟล์ PDF ที่คุณต้องการเซ็น 2. เลือก Sign > I Need To Sign 3. ทำ�การใส่ข้อความ, เช่น ชื่อ, บริษัท, ตำ�แหน่ง หรือวันที่such, คลิก Add Text ในพาแนล I Need To Sign คลิกในเอกสารตำ�แหน่งที่คุณต้องการจะใส่ข้อความ และพิมพ์ข้อความ
4. ในพาแนล Need To Sign, คลิก Place Signature
ในการเซ็นครั้งแรก, dialog box ตัวเลือก Place Signature จะเปิดขึ้นมา เพื่ออนุญาติให้คุณทำ�การ สร้าง หรือนำ�เข้าลายเซ็นของคุณ Page 27
5. (การเซ็นครั้งแรก) ในพาแนล Place Signature, เลือกชนิดของลายเซ็นของคุณที่ต้องการจะวางใน เอกสาร PDF
6. คลิกใน PDF ตำ�แหน่งที่ต้องการวางลายเซ็นของคุณ 7. วิธีการย้าย, ปรับขนาด หรือหมุนลายเซ็น ให้ทำ�อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
A. pointer สำ�หรับการย้าย B. pointer สำ�หรับปรับขนาด C. pointer การหมุน Move: ให้นำ�เคอเซอร์ไปวางไว้บนลายเซ็น และทำ�การย้ายตำ�แหน่ง Resize: ลากจุดจับที่มุมใดมุมหนึ่งเพื่อปรับขนาด Rotate: วางตำ�แหน่งเคอร์เซอร์ไปที่จุดจับการหมุน (จุดจับอยู่ด้านบนตรงกลาง), เมื่อเคอร์เซอร์มีการ เปลี่ยนแปลงไปเป็นรูปลูกศรวงกลม ให้ทำ�การลากเพื่อหมุนลายเซ็น การสร้างลายเซ็นเพื่อเซ็นใน PDF คุณสามารถเพิ่มลายเซ็นของคุณไปที่ PDF โดยใช้เทคนิคใดเทคนิคหนึ่งที่แนะนำ�ด้านล่างนี้: พิมพ์ลายเซ็น พิมพ์ชื่อของคุณในช่อง Enter Your Name โปรแกรม Acrobat จะทำ�การสร้างลายเซ็นให้คุณ คุณ สามารถเลือกรูปแบบลายเซ็นจากรายการขนาดเล็ก คลิก Change Signature Style เพื่อดูลักษณะที่แตกต่าง ของลายเซ็น เมื่อคุณพอใจกับลายเซ็นของคุณแล้ว, คลิก Accept ใช้กล้องถ่ายภาพ ตัวเลือก Use Webcam เปิดเฟรมวิดีโอที่ช่วยให้คุณสามารถถ่ายภาพลายเซ็นของคุณ โดยใช้กล้อง ดิจิทัลระบบที่ใช้ถ่ายภาพเพื่อใช้งานบนเว็บ
Page 28
เซ็นชื่อของคุณด้วยหมึกดำ� บนกระดาษขาว เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดี และทำ�การถ่ายภาพด้วยกล้อง Webcam โดยการคลิกที่ปุ่ม Start Webcam เพิ่มเริ่มต้นถ่ายภาพลายเซ็น
หมายเหตุ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลายเซ็นของคุณอยู่ในแหน่งถูกต้อง บนเส้นสีน้ำ�เงินในกรอบการ แสดงผลวิดีโอ ดูตัวอย่างลายเซ็นจากภาพถ่าย เมื่อคุณถึงพอใจกับลายเซ็นของคุณแล้ว ให้คลิก Accept วาดลายเซ็น ภาพลายเซ็นของคุณในช่อง Draw Your Signature เมื่อคุณถึงพอใจกับลายเซ็นของคุณแล้ว ให้คลิก Accept ใช้รูปถาพ 1. เซ็นชื่อของคุณด้วยหมึกดำ�บนแผ่นกระดาษเปล่าสีขาวที่สะอาด เซ็นตรงกลางของกระดาษ เวลาที่ คุณถ่ายภาพ หรือสแกนจะได้ไม่ติดขอบกระดาษ 2. ถ่ายภาพ หรือสแกนลายเซ็นของคุณ ในขณะที่คุณถ่ายภาพลายเซ็น ต้องเช็คให้แน่ใจว่า บน กระดาษนั้นมีแสงสว่างเพียงพอ และไม่มีเงาตกกระทบอยู่ในลายเซ็น 3. ถ่ายโอนภาพถ่าย หรือสแกนไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ โปรแกรมจะรองรับไฟล์ JPG, PNG, GIF, BMP, TIFF, และ PDF เมื่อลายเซ็นคุณปรากฎใน dialog box, คลิก Accept ใช้ใบรับรอง คลิก Next ทำ�ตามคำ�แนะนำ�บนหน้าจอ เพื่อกำ�หนดว่าจะวางลายเซ็น, กำ�หนดลักษณะ และบันทึก ลายเซ็นในรูปแบบไฟล์ PDF
การเซ็นชื่อในไฟล์ PDF โดยใช้ Adobe EchoSign
คุณสามารถเซ็นเอกสารสาร โดยใช้ EchoSign ซึ่งเป็นบริการแบบออนไลน์ ช่วยให้คุณเซ็นเอกสารได้เร็วขึ้นในเว็บ บราวเซอร์ โดยไม่ต้องมี digital ID การบริการแบบออนไลน์ จะมีการติดตามการเซ็นชื่อทั้งกระบวน EchoSign จะบริการส่งอีเมลไปยังผู้เซ็นเอกสาร ที่คุณต้องการให้เซ็นเอกสารของคุณ พวกเขาตรวจสอบ และเซ็นใน Page 29
เอกสารผ่านเว็บไซต์ ภายใต้ระบบการรักษาความปลอดภัยของ EchoSign เมื่อมีการเซ็นเอกสาร, ทั้งคุณ และผู้เซ็น เอกสารของคุณ จะได้รับเอกสารที่เซ็นในรูปแบบไฟล์ PDF ทางอีเมล และ EchoSign จะทำ�การจัดเก็บเอกสารที่เซ็นใน บัญชีของคุณเพื่อนำ�มาใช้อ้างอิงในภายหลัง ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ให้เข้าไปที่เว็บไซต์: www.echosign.com 1. เปิด PDF ที่ต้องการจะเซ็น 2. เปิดคำ�สั่ง Sign (คลิก Sign บนแถบเครื่องมือด้านขวา)
3. คลิก Get Others To Sign เพื่อเปิดพาแนล
4. คลิก Send for Signature 5. เมื่อข้อความ “The document has been uploaded to Adobe EchoSign” ปรากฏขึ้นมา, คลิก Proceed to Adobe EchoSign เพื่อให้ดำ�เนินการต่อ
6. เมื่อเว็บไซต์ EchoSign เปิดขึ้นในเว็บบราวเซอร์ของคุณ ให้ปฏิบัติค�ำ แนะนำ�บนหน้าจอ เพื่อส่งไฟล์ PDF Page 30
Digital IDs (รหัสดิจิทัล)
เกี่ยวกับรหัสดิจิทัล
รหัสดิจิตอล รวมถึงคีย์ส่วนตัว ที่คุณใช้ป้องกัน และกุญแจสาธารณะ (ใบรับรอง ) ที่คุณใช้แบ่งปัน
รหัสดิจิทัล คืออะไร รหัสดิจิทัล เป็นเหมือนใบอนุญาตขับอิเล็กทรอนิกส์ หรือหนังสือเดินทาง ที่ใช้พิสูจน์ตัวตนของคุณ รหัสดิจิทัล มักจะมีชื่อของคุณ และที่อยู่อีเมล , ชื่อขององค์กรที่ออก, หมายเลข และวันหมดอายุ รหัส ดิจิทัลที่ใช้ส�ำ หรับการรักษาความปลอดภัยที่ผ่านการรับรอง และลายเซ็นดิจิตอล รหัสดิจิตอลมีสองคีย์: คีย์ล็อคสาธารณะ หรือเข้ารหัสข้อมูล; การปลดล็อคคีย์ส่วนตัว หรือถอดรหัส ข้อมูล เมื่อคุณเซ็นไฟล์ PDF, คุณใช้คีย์ส่วนตัวเพื่อใช้ลายเซ็นดิจิตอลของคุณ คีย์สาธารณะที่อยู่ในใบรับ รอง คุณใช้ส�ำ หรับแจกจ่ายให้กับผู้อื่น ตัวอย่างเช่น คุณสามารถส่งใบรับรองไปยังผู้ที่ต้องการตรวจสอบลาย เซ็น หรือตัวตนของคุณ เก็บรหัสดิจิทัลของคุณ ในสถานที่ที่ปลอดภัย เพราะมีคีย์ส่วนตัวของคุณ ที่คนอื่น ๆ สามารถใช้ในการถอดรหัสข้อมูลของคุณ ทำ�ไมต้องใช้ รหัสดิจิทัล คุณไม่จ�ำ เป็นต้องใช้รหัสดิจิทัลสำ�หรับงานส่วนมากที่คุณทำ�ในไฟล์ PDF ตัวอย่างเช่น คุณไม่จำ�เป็น ต้องมีรหัสดิจิทัล ในการสร้างไฟล์ PDF, ใส่ความเห็นในไฟล์ PDF และแก้ไขไฟล์ PDF แต่คุณต้องมีรหัส ดิจิทัลที่จะลงนามในเอกสาร หรือการเข้ารหัสไฟล์ ที่ผ่านการรับรอง จะได้รับรหัสดิจิทัลอย่างไร คุณจะได้รับรหัสดิจิทัล จากผู้ให้บริการ บุคคลที่สาม หรือคุณสามารถสร้างรหัสดิจิทัล เพื่อใช้ในการ ลงนามตนเอง รหัสดิจิทัลสำ�หรับลงนามตนเอง รหัสดิจิทัลลงนามตนเอง เพียงพอสำ�หรับการใช้งานส่วนบุคคล หรือธุรกิจขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาด กลาง การใช้งาน ควรจะจำ�กัดให้แก่บุคคล ที่ได้สร้างความไว้วางใจซึ่งกัน และกัน Page 31
รหัสการรับรองจากหน่วยงาน การดำ�เนินธุรกิจ ส่วนใหญ่ต้องการรหัสดิจิทัล จากผู้ให้บริการ บุคคลที่สาม ที่เชื่อถือได้ เรียกว่า การ รับรอง เพราะผู้มีอ�ำ นาจในการรับรองเป็นผู้รับผิดชอบ ในการตรวจสอบตัวตนของคุณ ให้กับผู้อื่น ให้เลือก บริษัทที่มีความไว้วางใจ ควรเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ท�ำ ธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต ในเว็บไซต์ Adobe จะให้ชื่อคู่ ค้า ของ Adobe ที่ทำ�ธุรกิจเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย ที่มีบริการรหัสดิจิตอล และโซลูชั่นรักษาความ ปลอดภัย อื่น ๆ ดูรายละเอียดได้ที่ www.adobe.com/security/partners/index.html การสร้างรหัสดิจิทัล สำ�หรับลงนามตนเอง การทำ�ธุรกรรมที่มีความสำ�คัญระหว่างธุรกิจโดยทั่วไป ต้องการรหัสจากผู้มีอำ�นาจในการรับรอง มากกว่าหนึ่งคนในลงนาม 1. ใน Preferences เลือก Signatures 2. เลือก Identities & Trusted Certificates และ คลิก More 3. เลือก Digital IDs อยู่ทางด้านซ้าย แล้ว คลิกปุ่ม Add ID 4. เลือกตัวเลือก New Digital ID I Want To Create Now และ คลิก Next 5. ระบุตำ�แหน่งที่ต้องการจัดเก็บรหัสดิจิทัล และคลิก Next New PKCS#12 Digital ID File เก็บข้อมูลรหัสดิจิตอลในแฟ้มที่มีนามสกุล .pfx ใน Windows และ .p12 ใน Mac OS คุณสามารถใช้ไฟล์ที่สลับกันระหว่างระบบปฏิบัติการ ถ้าคุณย้ายไฟล์จาก ระบบปฏิบัติการหนึ่งไปยังอีกระบบระบบปฏิบัติการหนึ่ง โปรแกรม Acrobat จะทำ�การจำ�แนกได้เอง Windows Certificate Store (Windows only) เก็บรหัสดิจิทัลไปยังสถานที่ที่พบได้ง่ายจาก การใช้งาน ทั่วไปของโปรแกรมบน Windows นอกจากนี้ยังสามารถเรียกดูได้ง่าย 6. พิมพ์ชื่อ, ที่อยู่, อีเมล และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ สำ�หรับรหัสดิจิทัลของคุณ เมื่อคุณรับรอง หรือลง นามในเอกสาร ชื่อจะปรากฏในพาแนล Signatures และในฟิลด์ Signature 7. เลือกตัวเลือกจากเมนู Key Algorithm สำ�หรับตัวเลือก 2048-bit RSA จะมีความปลอดภัยสูงกว่า 1024-bit RSA แต่ 1024-bit RSA เป็นที่ยอมรับ และใช้กันแพร่หลาย 8. จาก เมนู Use Digital ID For ให้เลือกว่าคุณต้องการใช้รหัสดิจิทัล สำ�หรับเซ็นชื่อ, การเข้ารหัส ข้อมูล หรือทั้งสองอย่าง 9. พิมพ์รหัสผ่าน สำ�หรับไฟล์รหัสดิจิทัล การกดแป้นพิมพ์แต่ละตัวอักษร จะเป็นการวัดถึงรหัสผ่า นที่ดี หรือความมั่นคงของรหัสผ่าน การประเมินรหัสผ่านของคุณ และแสดงถึงรหัสผ่านที่ดี จะใช้รูปแบบสี ยืนยันรหัสผ่านของคุณ คุณสามารถ export และส่งไฟล์ใบรับรองของคุณ ไปยังรายชื่อ ที่สามารถใช้เพื่อทำ�การตรวจสอบ ลายเซ็นของคุณ หมายเหตุ: ทำ�สำ�เนา สำ�รองของแฟ้ม ID ดิจิตอลของคุณ ถ้าแฟ้ม รหัสดิจิทัล ของคุณสูญหายหรือ เสียหายหรือ หากคุณลืม รหัสผ่านของคุณ คุณไม่สามารถใช้ รายละเอียด ที่ จะเพิ่ม ลายเซ็น Page 32
ลงทะเบียนรหัสดิจิทัล เพื่อที่จะใช้รหัสดิจิทัลของคุณ จะต้องทำ�การลงทะเบียน ID ของคุณ ด้วย Acrobat Reader 1. เลือก Preferences > Signatures ใน Identities & Trusted Certificates และคลิก More 2. เลือก Digital IDs อยู่ทางด้านซ้าย 3. คลิกที่ปุ่ม Add ID 4. เลือกหนึ่งในตัวเลือกดังต่อไปนี้: A File เลือกตัวเลือกนี้ ถ้าคุณได้รับรหัสดิจิทัลเป็นไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ ทำ�ตามข้อมูลแจ้ง เพื่อ เลือกไฟล์รหัสดิจิทัล, พิมพ์รหัสผ่านของคุณ และเพิ่มรหัสดิจิทัลในรายการ A Roaming Digital ID Stored On A Server เลือกตัวเลือกนี้ จะใช้รหัสดิจิทัลที่เก็บไว้ใน เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ส�ำ หรับการลงนาม ให้พิมพ์ชื่อเซิร์ฟเวอร์ และ URL ที่อยู่จัดเก็บรหัสดิจิทัล A Device Connected To This Computer เลือกตัวเลือกนี้ ถ้าคุณมีเครื่องหมายการรักษา ความปลอดภัย หรือเครื่องหมายฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของคุณ 5. คลิก Next และปฏิบัติตามคำ�แนะนำ�บนหน้าจอ เพื่อลงทะเบียนรหัสดิจิทัลของคุณ ระบุค่าเริ่มต้นรหัสดิจิทัล เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับแจ้งให้เลือกรหัสดิจิทัลในแต่ละครั้งที่เข้าสู่ระบบของคุณ หรือการรับรอง PDF คุณสามารถเลือกรหัสดิจิทัลค่าเริ่มต้นได้ 1. เลือก Preferences > Signatures ใน Identities & Trusted Certificates และ คลิก More 2. เลือก Digital IDs อยู่ทางด้านซ้าย และจากนั้นเลือกรหัสดิจิทัล ที่คุณต้องการใช้เป็นค่าเริ่มต้น 3. คลิกปุ่ม Usage Options และเลือก task ที่คุณต้องการรหัสดิจิทัลเป็นค่าเริ่มต้น เพื่อระบุรหัส ดิจิทัลเป็นค่าเริ่มต้นสำ�หรับสองงาน ให้คลิกปุ่มตัวเลือกการใช้งานอีกครั้ง และเลือกตัวเลือกที่สอง เครื่องหมายเช็ค จะปรากฏถัดจากตัวเลือกที่เลือก หากคุณเลือกเฉพาะการลงนาม ไอคอน Sign จะ ปรากฏถัดจากรหัสดิจิทัล หากคุณเลือกเฉพาะการเข้ารหัส ไอคอน Lock จะปรากฏขึ้น หากคุณเลือกเฉพาะ การรับรอง หรือถ้าคุณเลือกการลงนามและตัวเลือกการรับรอง ่ไอคอนริบบิ้นสีฟ้าจะปรากฏขึ้น เปลี่ยนรหัสผ่าน และกำ�หนดเวลาการใช้ สำ�หรับรหัสดิจิทัล รหัสผ่าน และกำ�หนดเวลาการใช้ สามารถตั้งค่าสำ�หรับ PKCS #12 ID หาก PKCS # 12 ID มีหลายรหัส การกำ�หนดค่ารหัสผ่านและการกำ�หนดเวลการใช้ในระดับไฟล์ หมายเหตุ: รหัสดิจิทัลสำ�หรับการลงนามตนเอง จะหมดอายุภายในอีกห้าปี หลังจากวันที่หมดอายุ คุณสามารถใช้รหัสเป็นปกติ แต่ลงนาม หรือเข้ารหัสเอกสารไม่ได้ 1. เลือก Preferences > Signatures ใน Identities & Trusted Certificates และ คลิก More 2. ขยาย Digital IDs ด้านซ้าย, ให้เลือก Digital ID Files แล้วเลือกรหัสดิจิทัลที่อยู่ด้านขวา 3. คลิก Change Password พิมพ์รหัสผ่านเก่า และรหัสผ่านใหม่ แล้วคลิก OK Page 33
4. ด้วย ID ยังคงเลือกอยู่ ให้คลิกที่ปุ่ม Password Timeout 5. ระบุความถี่ ที่คุณต้องการที่จะได้รับแจ้งให้ใส่รหัสผ่าน: Always จะแจ้งในแต่ละครั้งเวลาที่คุณใช้รหัสดิจิทัล After ช่วยให้คุณสามารถระบุช่วงเวลา Once Per Session จะแจ้งคุณ เมื่อคุณเปิด Acrobat แต่ละครั้ง Never คุณไม่ถามรหัสผ่าน 6. พิมพ์รหัสผ่าน และ คลิก OK การลบรหัสดิจิทัล เมื่อคุณลบรหัสดิจิทัลใน Acrobat, คุณจะลบไฟล์จริง PKCS # 12 ที่มีทั้งคีย์ส่วนตัว และใบรับรอง ก่อนที่จะลบรหัสดิจิทัลของคุณ ให้แน่ใจว่ามันไม่ได้ใช้งานโดยโปรแกรมอื่น ๆ หรือมีจ�ำ เป็นต้องใช้ส�ำ หรับ การถอดรหัสในเอกสารใดๆ หมายเหตุ: คุณสามารถลบเฉพาะรหัสดิจิทัลลงนามด้วยตนที่คุณสร้างใน Acrobat รหัสดิจิทัลที่ได้รับ จากผู้ให้บริการอื่นไม่สามารถลบได้ 1. เลือก Preferences > Signatures ใน Identities & Trusted Certificates และ คลิก More 2. เลือก Digital IDs ด้านซ้าย และจากนั้นเลือกรหัสดิจิทัลที่จะลบ 3. คลิก เRemove ID, แล้วคลิก OK
Page 34
การตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัล
การตั้งค่าการตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัล เมื่อคุณได้รับเอกสารที่ลงนาม คุณอาจต้องการที่จะตรวจสอบลายเซ็น เพื่อการตรวจสอบผู้เซ็น และเนื้อหาที่เซ็น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการที่คุณได้ก�ำ หนดในโปรแกรมของคุณ การตรวจสอบอาจจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ความถูกต้องลายเซ็น จะถูกกำ�หนดโดยการตรวจสอบความถูกต้องของสถานะใบรับรองลายเซ็นดิจิทัล และ ความสมบูรณ์เอกสาร: การตรวจสอบความถูกต้อง จะเป็นการยืนยันว่าใบรับรองของผู้เซ็น หรือแหล่งกำ�เนิดของใบรับรอง ที่มีอยู่ใน รายการตรวจสอบ มีตัวตนจริง และเป็นที่เชื่อถือได้ นอกจากนี้ยังเป็นการยืนยันว่าใบรับรองการเซ็นที่ถูกต้อง จะขึ้นอยู่ กับการกำ�หนดค่าการใช้งานในโปรแกรม Acrobat หรือโปรแกรม Adobe Reader การตรวจสอบความสมบูรณ์ของเอกสาร เป็นการยืนยันว่าเนื้อหาที่เซ็น ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่มันถูก เซ็นหรือไม่ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา ในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของเอกสาร จะมีการยืนยันว่าเนื้อหามีการ เปลี่ยนแปลงไปในลักษณะใด จากเดิมที่ได้รับอนุญาตโดยผู้เซ็น
ตั้งค่าอ้างอิงการตรวจสอบลายเซ็น 1. เปิด Preferences
2. ภายใต้ Categories, เลือก Signatures 3. สำ�หรับ Verification, คลิก More 4. เพื่อการตรวจสอบลายเซ็นทั้งหมดโดยอัตโนมัติในรูปแบบ PDF เมื่อคุณเปิดเอกสารขึ้นมา Page 35
ให้เลือก Verify Signatures When The Document Is Opened ซึ่งตัวเลือกนี้ จะถูกเลือกเป็นค่าตั้งต้น
5. เลือกตัวเลือกในการตรวจสอบตามที่ต้องการ และคลิก OK
Verification Behavior (พฤติกรรมในการตรวจสอบ) When Verifying : ตัวเลือกเหล่านี้ระบุวิธีการที่ก�ำ หนดว่า จะเลือกเสริม (คำ�สั่ง) การตรวจสอบลายเซ็น อย่างไร การเสริมการตรวจสอบที่เหมาะสมมักจะถูกเลือกโดยอัตโนมัติ ควรติดต่อผู้ดูแลระบบของคุณเกี่ยวกับการเสริมที่ ต้องการที่เฉพาะเจาะจงสำ�หรับการตรวจสอบลายเซ็น Require Certificate Revocation Checking To Succeed Whenever Possible ... : การตรวจสอบ ใบรับรองเทียบกับรายการใบรับรองที่ได้รับการยกเว้นในระหว่างการตรวจสอบ โดยค่าเริ่มต้น ตัวเลือกนี้จะถูกเลือกไว้ หากคุณยกเลิกการเลือกตัวเลือกนี้ สถานะการยกเลิกสำ�หรับลายเซ็นที่ได้รับการอนุมัติจะถูกละเว้น สถานะการยกเลิกจะ ถูกตรวจสอบอยู่เสมอสำ�หรับการรับรองลายเซ็น Verification Time (เวลาของการตรวจสอบ) Verify Signatures Using : เลือกตัวเลือกนี้ เพื่อระบุวิธีการตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลเพื่อความถูกต้อง โดยค่าเริ่มต้น คุณสามารถตรวจสอบเวลาตามเวลาที่ลายเซ็นถูกสร้างขึ้น อีกทางเลือกหนึ่งคือตรวจสอบโดยขึ้นอยู่กับ เวลาปัจจุบัน หรือเวลาที่ก�ำ หนดโดยการบันทึกเวลาของเซิร์ฟเวอร ์เมื่อมีการเซ็นเอกสาร Use Expired Timestamps : ใช้เวลาที่มีความปลอดภัยที่มีให้โดยการบันทึกเวลา หรือฝังตัวอยู่ในลาย เซ็นแม้ว่าใบรับรองลายเซ็นที่หมดอายุแล้ว โดยค่าเริ่มต้น ตัวเลือกนี้จะถูกเลือกไว้ ยกเลิกการเลือกตัวเลือกนี้จะช่วยให้ โละทิ้งบันทึกเวลาที่หมดอายุ Verification Information : เป็นระบุข้อมูลเพิ่มเติมในการตรวจสอบการเซ็นในรูปแบบไฟล์ PDF ค่าเริ่มต้น คือ Page 36
จะมีการแจ้งเตือนผู้ใช้ เมื่อข้อมูลการตรวจสอบที่มีขนาดใหญ่เกินไป Windows Integration : เป็นระบุว่า จะเชื่อถือใบรับรองหลักทั้งหมดในคุณลักษณะของ Windows Certificates เมื่อมีการตรวจสอบลายเซ็น และรับรองเอกสาร การเลือกตัวเลือกเหล่านี้ สามารถยอมรับการรักษาความปลอดภัย ตั้งค่าระดับความน่าเชื่อถือของใบรับรอง ในโปรแกรม Acrobat หรือ Reader, ลายเซ็นจะได้การรับรอง หรือการเซ็นเอกสารที่ถูกต้อง ถ้าคุณ และผู้เซ็นมี ความสัมพันธ์ และทีความไว้วางใจกัน ระดับความน่าเชื่อถือของใบรับรองแสดงให้เห็นการกระทำ�ที่คุณไว้วางใจผู้เซ็น คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าความไว้วางใจจากใบรับรองเพื่อให้เป็นการดำ�เนินการเฉพาะ ตัวอย่างเช่น คุณ สามารถเปลี่ยนการตั้งค่าเพื่อเปิดใช้งานเนื้อหาแบบไดนามิก และฝัง JavaScript ในเอกสารที่ได้รับการรับรอง 1. เปิด Preferences 2. ภายใต้ Categories, เลือก Signatures 3. สำ�หรับ Identities & Trusted Certificates, คลิก More 4. เลือก Trusted Certificates ที่อยู่ด้านซ้ายมือ 5. เลือกใบรับรองจากรายการ และคลิก Edit Trust 6. ในแถบ Trust, เลือกตัวเลือดใดตัวเลือกหนึ่งของรายการต่อไปนี้ เพื่อกำ�หนดความน่าเชื่อถือใบรับรองนี้ Use This Certificate As A Trusted Root ใช้ใบรับรองนี้ เป็นใบรับรองหลัก ใช้เป็นต้นกำ�เนิดของผู้มีอำ�นาจ ใน ห่วงโซ่ของการออกใบรับรอง โดยไว้วางใจให้เป็นใบรับรองหลัก จากใบรับรองทั้งหมดที่ออกโดยผู้มีอ�ำ นาจ Signed Documents Or Data ยอมรับตัวตนของผู้ลงนามr Certified Documents ความน่าเชื่อถือเอกสารในกรณีที่ผู้มีอ�ำ นาจได้รับรองเอกสารด้วยลายเซ็น่ คุณไว้วางใจผู้ เซ็นในการรับรองเอกสาร และคุณยอมรับการกระทำ�ในเวลาที่มีการรับรองเอกสาร เมื่อคุณเลือกตัวเลือกนี้, ให้กำ�หนดตัวเลือกดังต่อไปนี้: Dynamic content ยอมให้ภาพยนตร์, เสียง และองค์ประกอบแบบไดนามิกอื่นๆ ที่จะเล่นในเอกสาร ได้รับการรับรอง Embedded High Privilege JavaScript ช่วยให้ JavaScript ที่ฝังอยู่ในไฟล์ PDF ได้รับการยกเว้น เพื่อ ที่จะถูกเรียกใช้ ไฟล์ JavaScript ที่สามารถนำ�มาใช้ในรูปแบบที่เป็นอันตราย จะต้องระมัดระวังในการเลือกตัวเลือกนี้ ให้ เลือกเฉพาะเมื่อมีความจำ�เป็นเกี่ยวกับการรับรองที่คุณต้องการความเชื่อถือ Privileged System Operations ช่วยให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, การเขียนสคริปต์ข้ามโดเมน, การ อ้างอิงภายนอกวัตถุ และการดำ�เนินงานวิธีการนำ�เข้า / ส่งออกบนเอกสารที่ได้รับการรับรอง 7. คลิก OK, เปิด dialog box ของ Digital ID and Trusted Certificate Settings และจากนั้น คลิก OK ใน dialog box ของ Preferences
Page 37
พาแนล Signatures สำ�หรับลายเซ็นดิจิทัล
พาแนล Signatures จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับลายเซ็นดิจิทัลในเอกสารปัจจุบัน และประวัติการเปลี่ยนแปลงของ เอกสาร ตั้งแต่ลายเซ็นดิจิทัลครั้งแรก แต่ละลายเซ็นดิจิทัลจะมีไอคอนระบุสถานะการตรวจสอบ รายละเอียดในการตรวจ สอบจะมีการระบุไว้ภายใต้แต่ละลายเซ็น และสามารถดูได้โดยการขยายตัวของลายเซ็น พาแนล Signatures ยังให้ข้อมูล เกี่ยวกับเวลาที่ลงนามเอกสาร และรายละเอียดความเชื่อถือ และผู้เซ็น เลือก View > Show/Hide > Navigation Panes > Signatures, หรือ คลิกปุ่ม Signature Panel ในแถบข้อความ ของเอกสาร เข้าสู่ระบบ ในโหมดแสดงตัวอย่างเอกสาร เมื่อความสมบูรณ์ของเอกสารเป็นสิ่งสำ�คัญสำ�หรับเวิร์กโฟลว์การใช้ลายเซ็นของคุณ ให้ใช้คุณลักษณะ Preview Document เพื่อที่จะเซ็นเอกสาร คุณลักษณะนี้จะวิเคราะห์เอกสารสำ�หรับเนื้อหาที่อาจปรับเปลี่ยนลักษณะที่ปรากฏของ เอกสาร จากนั้นก็ใส่เนื้อหา ที่ช่วยให้คุณสามารถดู และเซ็นเอกสารอยู่ในสภาพคงที่ และการรักษาความปลอดภัย คุณลักษณะ Preview Document ช่วยให้คุณดูว่าเอกสารที่มีเนื้อหาแบบไดนามิก หรืออ้างอิงภายนอก นอกจาก นี้ยังช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบว่าเอกสารที่มีโครงสร้างรูปแบบใด เช่น form fieldsมล, มัลติมีเดีย หรือ JavaScript ที่ อาจส่งผลกระทบต่อการปรากฏตัว หลังจากตรวจสอบรายงาน คุณสามารถติดต่อผู้มีอ�ำ นาจซึ่งเป็นเจ้าของเอกสาร เกี่ยว กับรายการปัญหาที่ระบุไว้ในรายงาน นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้โหมดการแสดงตัวอย่างเอกสาร ภายนอกเวิร์กโฟลว์การเซ็น เพื่อทำ�การตรวจสอบ ความสมบูรณ์ของเอกสาร 1. เปิด Preferences 2. ภายใต้ Categories, เลือก Signatures 3. สำ�หรับ Creation & Appearance, คลิก More. 4. สำ�หรับ When Signing, เลือก View Documents In Preview Mode, และคลิก OK 5. ใน PDF, คลิกพื้นที่ลายเซ็น และเลือก Sign Document แถบข้อความของเอกสารจะปรากฏขึ้นพร้อมสถานะที่จะให้ปฏิบัติตาม และตัวเลือก 6. (ตัวเลือก) คลิก View Report ในแถบข้อความของเอกสาร (ถ้ามี) และเลือกแต่ละหัวข้อในรายที่แสดงราย ละเอียด เมื่อคุณทำ�เสร็จเรียบร้อยแล้ว ปิด dialog box ของ Signature Report. 7. ถ้าคุณพอใจกับสถานะที่ให้ปฏิบัติตามสถานะของเอกสาร คลิก Sign Document ในแถบข้อความของเอกสาร และเพิ่มลายเซ็นดิจิทัลของคุณ 8. บันทึกไฟล์ PDF ใช้ชื่อที่แตกต่างจากต้นฉบับ และปิดเอกสารโดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ เพิ่มเติม การรับรอง PDF เมื่อคุณรับรอง PDF, คือ การที่คุณระบุว่าคุณอนุมัติเนื้อหา นอกจากนี้คุณยังสามารถระบุประเภทของการ เปลี่ยนแปลงที่ได้รับอนุญาต สำ�หรับเอกสารที่จะยังคงได้รับการรับรอง ตัวอย่างเช่น สมมติว่าหน่วยงานของรัฐจะสร้าง Page 38
ฟอร์มฟิลด์ที่มีลายเซ็น เมื่อฟอร์มเสร็จสมบูรณ์แล้ว หน่วยงานที่ให้การรับรองเอกสาร จะยอมให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยน เฉพาะฟอร์มฟิลด์ และลงนามในเอกสารเท่านั้น ผู้ใช้สามารถกรอกแบบฟอร์ม และลงนามในเอกสาร แต่ถ้าพวกเขาลบ หน้า หรือใส่ความเห็น, เอกสารจะไม่ได้รักษาสถานะที่ผ่านการรับรอง คุณสามารถใช้การรับรองด้วยลายเซ็นเท่านั้น ในกรณีที่ไฟล์ PDF ไม่ได้มีลายเซ็นอื่น ๆ อยู่แล้ว การรับรอง ด้วยลายเซ็นสามารถมองเห็น หรือมองไม่เห็น ไอคอนริบบิ้นสีฟ้าในพาแนล Signatures จะระบุความถูกต้องการรับรอง ด้วยลายเซ็น ต้องเพิ่มรหัสดิจิทัลไปที่การรับรองลายเซ็นดิจิทัล 1. ทำ�การลบเนื้อหาที่อาจยอมเรื่องความปลอดภัยของเอกสาร เช่น JavaScripts, การกระทำ� (Action) หรือสื่อที่ฝังในเอกสาร 2. เลือก Sign > Work With Certificates เพื่อเปิดพาแนล 3. คลิกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งดังต่อไปนี้ Certify (Visible): วางลายเซ็นที่ได้รับการรับรอง ทั้งในฟิลด์ลายเซ็นดิจิตอล (ถ้ามี) หรือในสถานที่ที่คุณกำ�หนด Certify (Not Visible): รับรองเอกสาร แต่ลายเซ็นของคุณจะปรากฏเฉพาะในพาแนล Signatures 4. ทำ�ตามคำ�แนะนำ�บนหน้าจอ เพื่อวางลายเซ็น (ถ้ามี), ให้ระบุรหัสดิจิทัล และการตั้งค่าตัวเลือกสำ�หรับ Permitted Actions After Certifying ถ้าคุณเปิดใช้งาน When Signing: View Documents In Preview Mode ใน Signature preferences คลิก Sign Document ในแถบข้อความเอกสาร 5. บันทึกไฟล์ PDF โดยใช้ชื่อไฟล์ที่แตกต่างจากไฟล์ต้นฉบับ แล้วปิดเอกสารโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เพิ่ม เติมเข้าไป มันเป็นความคิดที่ดีที่จะบันทึกเป็นไฟล์ที่แตกต่างกัน เพื่อให้คุณสามารถเก็บเอกสารลงนามเดิมไว้ การประทับเวลาในเอกสาร Acrobat ให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มการประทับเวลาเอกสาร PDF โดยไม่จำ�เป็นต้องใช้ลายเซ็นประจำ�ตัว เวลาจะเป็น ตัวยืนยันความถูกต้อง และการดำ�รงอยู่ของเอกสารที่เวลาใดเวลาหนึ่ง ผู้ใช้ Reader X (และเวอร์ชั่นหลังจากนี้) ยังสามารถ ประทับเวลาในเอกสารได้ หากเอกสารได้ทำ�การกำ�หนดเปิดใช้งานคุณสมบัติการประทับตราให้กับโปรแกรม Reader 1. เปิดเอกสารที่คุณต้องการที่จะเพิ่มการประทับเวลา 2. เลือก Sign > Work With Certificates > Time Stamp Document 3. ใน dialog box ของ Choose Default Timestamp Server เลือกค่าเริ่มต้น Timestamp Server จากรายการ หรือเพิ่ม Timestamp Server ใหม่ 4. คลิก Next แล้วบันทึกเอกสารที่มีการประทับเวลา Page 39
การตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัล ถ้าไม่ทราบสถานะของลายเซ็น หรือไม่ได้ตรวจสอบ, การตรวจสอบลายเซ็นด้วยตนเอง เพื่อตรวจสอบปัญหา และการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าสถานะลายเซ็นไม่ถูกต้อง เราจะได้ติดต่อผู้ลงนามเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น คุณประเมินความถูกต้องของลายเซ็นดิจิตอล และการประทับเวลา โดยการตรวจสอบที่ Signature Properties 1. ตั้งค่าการตรวจสอบลายเซ็นของคุณ ใน Preferences 2. เปิดไฟล์ PDF ที่มีลายเซ็น แล้วคลิกลายเซ็น จะปรากฏ dialog box ของ Signature Validation Status ซึ่งจะ อธิบายสถานะการตรวจสอบความถูกต้องของลายเซ็น 3. สำ�หรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Signature และ Timestamp คลิก Signature Properties 4. ดูข้อมูล Validity Summary ใน dialog box ของ Signature Properties การสรุปอาจแสดงข้อความใดข้อความ หนึ่ง ต่อไปนี้ Signature date/time are from the clock on the signer’s computer ตามเวลาท้องถิ่นในคอมพิวเตอร์ ของ ผู้ลงนาม Signature is timestamped ผู้ลงนามใช้เซิร์ฟเวอร์การประทับเวลา และการตั้งค่าของคุณ แสดงให้เห็นว่าคุณมี ความไว้วางใจกับเซิร์ฟเวอร์ Signature is timestamped but the timestamp could not be verified ในการตรวจสอบการประทับเวลา ต้องได้รับใบรับรองเซิร์ฟเวอร์การประทับเวลา เพื่อรายการของตัวตนที่คุณไว้วางใจ ตรวจสอบกับผู้ดูแลระบบของคุณ Signature is timestamped but the timestamp has expired Acrobat และ Reader จะตรวจสอบการประทับ เวลา ขึ้นอยู่กับเวลาปัจจุบัน ข้อความนี้จะปรากฏขึ้น หากเวลาใบรับรองผู้ลงนามหมดอายุก่อนเวลาปัจจุบัน เพื่อให้ Acrobat หรือ Reader ยอมรับการประทับเวลาที่หมดอายุ ให้เลือกใช้ Expired Timestamps ใน dialog box ของ Signature Verification Preferences ( Preferences > Signatures > Verification: More) โปรแกรม Acrobat และ Reader นั้น จะแสดง ข้อความแจ้งเตือน เมื่อตรวจสอบลายเซ็นที่มีการประทับเวลาที่หมดอายุ 5. สำ�หรับรายละเอียดเกี่ยวกับใบรับรองของผู้ลงนาม เช่น การตั้งค่าความไว้วางใจ หรือข้อจำ�กัดทางกฎหมาย ของลายเซ็น ให้คลิกShow Signer’s Certificate ใน dialog box ของ Signature Properties การลบลายเซ็นดิจิทัล คุณไม่สามารถลบลายเซ็นดิจิทัล ยกเว้นคุณเป็นคนเซ็น และคุณมีรหัสดิจิทัลติดตั้งอยู่แล้ว ดำ�เนินการอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้: - ในการลบลายเซ็นดิจิทัล ให้คลิกขวาที่ฟิลด์ข้อมูลลายเซ็น และเลือก Clear Signature - ในการลบลายเซ็นดิจิทัลในรูปแบบไฟล์ PDF, เลือกClear All Signature Fields จากเมนูตัวเลือก ในพาแนล Signatures (ในการเปิดพาแนล Signatures เลือก View > Show/Hide > Navigation Panes > Signatures) Page 40
การดูรุ่นก่อนหน้าของเอกสารที่เซ็นชื่อแบบดิจิทัล แต่ละเวลาของเอกสารลงนามโดยใช้ใบรับรอง, ในแต่ละรุ่นที่ลงนามของ PDF ในเวลานั้น จะถูกบันทึกด้วยรูป แบบไฟล์ PDF แต่ละรุ่นจะถูกบันทึกเป็นข้อมูลแนบท้ายเพิ่มเติมเท่านั้น และตัวต้นฉบับไม่สามารถแก้ไขได้ ลายเซ็น ดิจิตอลทั้งหมด และรุ่นที่สอดคล้องกัน สามารถเข้าถึงได้จากพาแนล Signatures 1. ใน พาแนล Signatures ให้เลือก และขยายลายเซ็น และเลือก View Signed Version จากเมนู Option รุ่นก่อนหน้านี้จะเปิดขึ้นในรูปแบบไฟล์ใหม่ ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับรุ่น และชื่อของผู้ลงนามในแถบชื่อเรื่อง 2. เพื่อกลับไปยังเอกสารต้นฉบับเลือกชื่อเอกสารจากเมนู Window การเปรียบเทียบรุ่นของเอกสารที่ลงนาม หลังจากที่เอกสารลงนามแล้ว คุณสามารถแสดงรายการของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเอกสารหลังจากรุ่นที่ ผ่านมา 1. ในพาแนล Signatures ให้เลือกลายเซ็น
2. เลือก Compare Signed Version To Current Version จากเมนู Option 3. เมื่อคุณทำ�เสร็จแล้ว ให้ปิดเอกสาร และเปิดกลับขึ้นมาใหม่
Page 41
การก�ำ หนดSecurityไ ฟล์PDF การป้องกันและกำ�หนดความปลอดภัยให้ก ับไฟล์เอกสารPDFซึ่งก็จะคล้ายกับความปลอดภัยบ้านเช่นเดียวกับ คุณล ้อคประตูบ้านของคุณเพื่อป้องกันใครบางคนจากการเข้ามาในบ้านของคุณโดยปราศจากการอนุญาติคุณใช้ความ สามารถความปลอดภัยเพื่อล็อคPDFยกตัวอย่างเช่นคุณสามารถใช้รหัสผ่านเพื่อจ�ำ กัดผใู้ช้จากการเปิด,การพิมพ์และ การแก้ไขP DFค ณ ุ ส ามารถใช้ร ะบบC ertificateเพือ่ เข้าร หัสไฟล์P DFเพือ่ ให้ร ายการทมี่ กี ารรบั รองแล้วส ำ�หรับผ ใู้ ช้ส ามารถ เปิดไฟล์PDFถ้าคุณต้องการรักษาการตั้งค่าความปลอดภัยสำ�หรับนำ�กลับมาใช้ในภายหลังคุณก็สามารถสร้างนโยบาย ความปลอดภัย(SecurityPolicy)ซึ่งจะเก็บการตั้งค่าความปลอดภัยเอาไว้เพื่อน�ำ กลับม าใช้ได้ในภายหลัง
ถ้าคุณได้รับเอกสาร PDF ซึ่งได้มีการกำ�หนดการคุ้มครองโดยใช้ความสามารถความปลอดภัย คุณอาจจะต้องมี รหัสผ่านเพื่อเปิดเอกสาร PDF บางคนอาจจะได้รับเอกสาร ที่คุ้มครองเอกสารมีการจ�ำ กัด ซึ่งป้องกันจ ากการพิมพ์, การ แก้ไขหรือการก๊อปปีส้ ิ่งที่บรรจุอยู่ในเอกสารถ้าเอกสารมีการจ�ำ กัดความสามารถเครื่องมือและเมนูใดๆที่เกี่ยวข้องกับ ความสามารถเหล่านั้นจะแสดงเป็นสีเทา เมื่อคุณได้รับเอสาร PDF มา และเอกสารมีการกำ�หนดความปลอดภัย หากไม่มีการป้องกันในส่วนของการเปิด ไฟล์เอกสารPDFคุณก็สามารถเปิดเอกสารPDFได้ปกติและหากมีการป้องกันในกรณีต่างๆคุณก็จะสามารถสังเกตุได้ โดยจะปรากฏรูปสัญลักษณ์รูปกุญแจแสดงอยู่ด้านซ้ายมือของเอกสารPDFซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ในการบังคับเอกสารPDFที่ เรียกว่าNavigationpaneคุณสามารถตรวจเช็คดูการป้องกันและกำ�หนดความปลอดภัยในเอกสารPDFที่ขึ้นเปิดขึ้นมา ใช้งานดูว่ามีการป้องกันอะไรบ้าง 1.เลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ -เลือกคำ�สั่งFile>Propertiesคลิกเลือกที่แถบSecurity -เลือกพาแนล Tools > Encrypt > Manage Security Policies... -เลือกแถบเครื่องมือEncrypt >Manage Security Policies...
2.ดูรายละเอียดของการป้องกันภายใต้หัวข้อDocumentRestrictionsSummary
Page 42
คุณสามารถสร้าง Security Policy ระดับผู้ใช้ ได้ 3 ชนิด 1. Password Security: เพื่อใช้รหัสผ่านเพื่อ ป้องกันเอกสาร, 2. Certification Security: เพื่อใช้การเข้ารหัสสลับเอกสาร จากรายการผู้รับ และ 3. Adobe LiveCycle PolicyServer:การสร้างPolicyโดยใช้การควบคุมผ่านระบบServer การสร้าง Policy โดยใช้ password security จะช่วยให้คุณกลับมาใช้การตั้งค่าความปลอดภัยเดียวกัน ซ้ำ�ในภาย หลังส ำ�หรับชุดของPDFโดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนการตั้งค่าความปลอดภัยส�ำ หรับการใช้ในแต่ละครั้ง สำ�หรับในหนังสือนี้จะขอแนะนำ�การป้องกันเอกสารPDFเฉพาะชนิดUserPolicyในระดับPasswordSecurity เท่านั้น
1.คลิกเลือกพาแนล Tools > Encrypt >Manage Security Policies...
2.จะปรากฏdialogboxของManageSecurityPolicyขึ้นมา จากรายการของShowเลือกA llPolicyเพื่อให้แสดงPolicyทั้งหมด
3.คลิกเลือกที่Newเพื่อสร้างแผนการของการป้องกันไฟล์PDFขึ้นมาใหม่
Page 43
4.เลือกUserPasswordsคลิกปุ่มNext
5.ตั้งชื่อของPolicyในช่องPolicyName ใส่รายละเอียดของ Policy ในช่อง Description คลิกเลือกที่คำ�สั่ง Save passwords with the policy จากนั้น คลิกปุ่มNext
6.คลิกเลือกที่Requireapasswordtoopenthedocument 7.ใส่รหัสที่ช่องDocumentOpenpassword(ร หัสส�ำ หรับเปิดเอกสารPDF) 8.ในส่วนของPermissionsคลิกเลือกUsepermissionspasswordtorestrict editingofsecuritysetting -P rintingallowed:การอนุญาติเกี่ยวกับการพิมพ์
Page 44
-Noneไม่อนุญาติให้พิมพ์ -LowResolutions(150dpi)อนุญ าติให้พิมพ์ความละเอียดต�่ำ (150จุดต่อนิ้ว) -HighResolutionอนุญาติให้พิมพ์ความละเอียดสูง -Changesallowed:การอนุญาติเกี่ยวกับการแก้ไขเอกสารPDF -Noneไม่อนุญาติให้เปลี่ยนแปลงแก้ไข -Inserting,deleting,androtationpagesการแทรก,ลบ และหมุนหน้างาน -Fillinginformfieldandsigningexistingsignaturefields การกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มและการใช้ลายเซ็นดิจิตอล -Comment,Fillinginformfieldandsigningexisting signaturefields การใส่ค�ำ แนะนำ�,การกรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม และการใช้ลายเซ็นดิจิตอล -Anyexceptextractingpages การเปลี่ยนแปลงแก้ไขทั้งหมดที่กล่าวมารวมถึงการแยกหน้างาน -Enablecopyingoftext,images,andothercontents สามารถทำ�สำ�เนาตัวอ ักษร,ภาพและข้อมูลอื่นๆ -Enabletextaccessforscreenreaderdeviecsforthe visuallyimpaired สามารถใช้ฟังก์ชั่นtextaccessส�ำ หรับการจ�ำ ลองบนหน้าจอ ของอุปกรณ์อ่านไฟล์ 9.เลือกCompatibilityเป็นAcrobat7.0andlater 10. เลือก Encrypt all document contents 11.คลิกNext, โปรแกรมจะทำ�การทวน Password ให้ป้อน Password และจากนั้นคลิ๊กFinish
แสดงคำ�เตือน คลิก OK
Page 45
ห ลังจ ากทคี่ ณ ุ ได้ท �ำ การสร้างS ecurityP olicyค ณ ุ ส ามารถจดั การโดยการท�ำ ส �ำ เนา,แ ก้ไขแ ละลบS ecurity Policyได้คุณยังสามารถติดตั้งรายการของSecurityPolicyที่คุณใช้บ่อยๆเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงและการเรียกใช้งาน 1.เลือกTools > Protection > Encrypt >Manage Security Policies... 2.จากรายการของShowเลือกA llPolicyเพื่อให้แสดงPolicyทั้งหมด 3.เลือกPolicyที่คุณต้องการจะจัดการและปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ -เพื่อสร้างPolicyใหม่คลิกNew -เพื่อทำ�สำ�เนาPolicyคลิกCopy,ตัวเลือกนี้เหมาะสำ�หรับการสร้างPolicyใหม่แต่ยึดเอาการ ตั้งค ่าข องPolicyที่มีอยู่เป็นฐาน -เพื่อแก้ไขPolicyคลิกEdit -เพื่อลบPolicyคลิกDelete - เพื่อทำ�ให้ Policy ง่ายต่อการเรียกใช้งาน คลิก Favorite ตัวเลือกนี้ จะทำ�การใส่ Policy ที่คุณ เลือกไปไว้ที่เมนูSecureที่อยู่บนแถบเครื่องมือและที่เมนูAdvanced>Securityคุณสามารถใช้ตัวเลือกFavoriteได้กับ หลายๆPolicy 4.คลิกClose การ Protect ไฟล์ PDF เปิดไฟล์PDFและปฎิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ -คลิกปุ่มEncrypt ในแถบเครื่องมือและจากนั้นเลือกUserPolicyที่คุณสร้างขึ้นและต้องการ จะน�ำ ม าป้องกันเอกสารPDF
-คลิกเลือก Tools > Protection > Encrypt >Manage Security Policies... เลือกPolicyที่ต้องการและจากนั้นคลิกApplyToDocument - สัญลักษณ์รูปกุญแจ จะปรากฏขึ้นมาในส่วนของ Navigation Pane อยู่ด้านซ้ายมือของเอกสาร Page 46
การลบ Security
1 .คลิกเลือก Tools > Protection > Encrypt 2.เลือกRemoveSecurity
3.จะปรากฏdialogboxเพื่อสอบถามpassword ให้ใส่ password จากนั้นให้คลิกOKและคลิก OK อีกครั้ง สัญลักษณ์ลูกกุญแจจะหายไป
Page 47
การใช้งานHeader/Footer, BatesNumberingและ Background/Watermark เอกสาร PDF ของคุณส ามารถใส่ข้อความเพิ่มเติมเข้าไปในเอกสารได้ เพื่อให้เอกสารเกิดความสมบูรณ์ และขอ้ ความทใี่ ส่เข้าไปสามารถใช้เป็นข อ้ ความอา้ งอิง,ใช้เพือ่ ก ารสบื ค้น,ใช้เพือ่ ร ะบุต �ำ แหน่งห น้าร วมถงึ ให้เพือ่ ก ารปกป้อง เอกสาร ในบทนี้ จะเป็นการอธิบายการใส่ และการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ Header/F ooter, Bates Numbering และ Background/Watermark
การใส่และแก้ไขเปลี่ยนแปลงHeaderและFooter
วิธีการใส่และแก้ไขเปลี่ยนแปลงHeaderและFooter
2 .ระบุฟ้อนต์และกำ�หนดระยะห่าง เลือกชื่อฟ้อนต์(Name),ขนาด(S ize),ข้อความขีดเส้นใต้และสีของตัวอักษร
คุณสามารถใส่HeaderและFooterเพียงหนึ่งร ูปแบบในPDFหรือให้ปรากฏHeaderและFooterที่แตกต่างกัน ในแต่ละหน้า 1.เลือกTools>Pages > ภายใต้หัวข้อ Edit Page Design เลือก Header&Footer>Add Header&Foote ถ้ามีข้อความปรากฏขึ้นคลิกAddNew
Page 48
กำ�หนดระยะห่างบน,ล่าง,ซ้าย,ขวา 3.ในกรอบข้อความของHeaderและFooterพิมพ์ข้อความที่ต้องการคลิกปุ่มท ี่อยู่ด้านล่างของกรอบเพื่อใส่เลข หนา(InsertPageNumber)หรือวันที่(InsertDate) ต อ้ งการให้ข อ้ ความของH eaderแ ละF ooterว างในต�ำ แหน่งช ดิ ซ า้ ยให้พ มิ พ์ข อ้ ความในชอ่ ง(L eftH eader /FooterText),จัดกลางให้พิมพ์ข ้อความในช่อง(CenterHeader/F ooterText),และชิดขวาพิมพ์ข้อความในช่อง(Right Header/FooterText) เลือกรูปแบบวันที่และรูปแบบเลขหน้ารวมถึงเลขหน้าเริ่มต้นให้คลิกท ี่PageNumberandDateFormat
ระบุหน้าที่ต้องการใส่HeaderและFooterให้คลิกเลือกที่PageRageOptions
บ ันทึก: ดูผลลัพท์จากการกำ�หนดตัวเลือกต่างๆ และการกรอกข้อความที่ Preview สามารถปรับเลื่อนดู ในหน้า ต่างๆที่PreviewPage คุณสามารถที่จะท�ำ การบันทึกข้อกำ�หนดของHeaderและFooterเก็บไว้เพื่อน�ำ กลับมาใช้ในภายหลังโดยคลิก ที่ปุ่มS aveSetting -ถ้าต้องการปรับเปลี่ยนHeaderและFooterให้ใช้คำ�สั่งDocument>Header&Footer>Update -ถ้าต้องการลบHeaderและFooterให้ใช้ค�ำ สั่งDocument>Header&Footer>Remove -ถ้าต้องการแทนที่หรือใส่ข้อความใหม่เพิ่มเติมเข้าในHeaderและFooterให้ใช้คำ�สั่งDocument>Header& Footer>Addเมื่อมีข้อความแสดงขึ้นมาต้องการแทนที่คลิกปุ่มReplaceExisting,ถ้าต้องการใส่ข้อความใหม่เพิ่มเติม คลิกปุ่มAddNew การใส่BatesNumberingที่HeaderหรือFooter Bates Numbering เป็นวิธขี องการจัดเรียงตัวเลขเป็นหมวดหมู่ในเอกสาร เหมาะสำ�หรับเอกสาร ทา งด้าน กฏหมายเพื่อเข้าแฟ้มให้ถูกต้องเพื่อง่ายต่อการกำ�หนดเอกลักษณ์และนำ�กลับม าใช้แต่ละหน้าข องแต่ละเอกสารมี การก�ำ หนดหมวดหมูต่ วั เลขเป็นช ดุ เดียวกันด ว้ ยการบอกให้ร วู้ า่ ม นั ม กี ารเกีย่ วพนั ก นั ไปถงึ ห มวดหมูต่ วั เลขในเอกสารอืน่ ๆ BatesNumberingจะปรากฏที่HeaderหรือFooterบนหน้าของไฟล์PDFแต่ละไฟล์ในรูปแบบที่จัดเป็นหมู่ตัวเลข ถึงแม้ว่าBatesNumberingเป็นวิธีการจัดเรียงที่มีการอ้างอิงถึงตัวเลขแต่มันยังสามารถที่จะประกอบไป ด้วยข้อความที่ใส่ไว้ด้านหน้าตามด้วยตัวเลขและข้อความเติมลงข้างท้ายตัวเลข ก ารใส่B atesN umberingไม่ท ำ�ให้เปลีย่ นชอื่ ข องไฟล์P Dfม นั จ ะมกี ารจดั เรียงไฟล์ท งั้ ห ลายใหม่ในd esktopfolder,เชื่อมโยงไฟล์ทั้งหลายหรือใส่ไฟล์ทั้งหลายไปที่Collection(จัดกลุ่มของไฟล์PDF)ในOrganizerคุณสามารถ ระบุB atesNumberingให้ใส่ลงไปเฉพาะไฟล์PDFที่กำ�ลังเปิดอ ยู่และเรียกดูที่HeaderและFooter บันทึก:BatesNumberingไม่สามารถใช้ได้กับไฟล์ที่มีการก�ำ หนดการป้องกันหรือมีการเข้ารหัส,แบบฟอร์มบาง ชนิด และเฉพาะใบปะหน้าที่มีอยู่ใน PDF Package ถึงอย่างไร Bates Numbering ก็สามารถใช้ที่ไฟล์ PDF แต่ละไฟล์ที่ เกิดข ึ้นหลังจากการรวมกันที่PDFPackage
Page 49
วิธีใส่BatesNumbering
2.ในdialogboxของBatesNumbering ขึ้นมา ให้ทำ�สิ่งต่างๆดังต ่อไปนี้
1.ในAcrobat,เลือกTools >Pages >ภายใต้ Edit Page Design เลือก BatesNumbering>AddBates Numbering
- คลิก Add Files.. และเลือกไฟล์ที่คุณต้องการใส่ BatesNumbering - คลิก Add Folders.. และเลือก folder เพื่อนำ�ไฟล์ทั้งหมด ที่คุณต้องการใส่ BatesNumbering - คลิก Add Open Files.. นำ�ไฟล์ PDF ที่กำ�ลังเปิดอยู่ เพื่อใส่ BatesNumbering 3.ปรับรายการของPDFทตี่ ้องการ - เพื่อเปลี่ยนลำ�ดับไฟล์ ที่จะใส่ B ates Numbering ทำ�การเลือก PDF ในรายการ และลากมันไปไว้ใน ตำ�แหน่งอื่นที่ต้องการหรือคลิกMoveUpหรือMoveDown -เพื่อลบPDFออกจากรายการเลือกไฟล์PDFและคลิกRemove - กำ�หนดตัวเลือก ของผลลัพท์ในการใส่ BatesNumbering คลิกปุ่ม Output Options
Page 50
4.คลิกOK จากนั้นdialogboxของAddHeaderAndFooterปรากฏขึ้นมา คลิกเพื่อวางเคอเซอร์ในกรอบข้อความ Header หรือ Footer ที่คุณต้องการให้ Bates Numbering ไป ปรากฏ(เช่นLeftHeaderTextหรือCenterFooterText) 5. คลิก Insert Bates Number จะปรากฏ dialog box ของ Bates Numbring Options ขึ้นมา ให้ใส่ตัวเลข และ กำ�หนดเงื่อนไข ตามต้องการ - ใน Number Of Digits ระบุจำ�นวนหลัก ของชุดตัวเลขที่คุณต้องการให้ปรากฏขึ้นมา ใส่ตัวเลขใดๆ ระหว่าง 6 และ1 5ค่าตั้งต้นอัตโนมัติจะอยู่ที่6ซึ่งผลลัพท์ของBatesNumberingจะแสดงเป็น000001,000002,.... -ในStartNumberให้ใส่เลขซึ่งจะถูกกำ�หนดเพื่อไฟล์PDFแรกบนรายการจ�ำ นวนเลขพื้นฐานคือ1 -ในPrefixให้พิมพ์ข้อความใดๆซึ่งคุณต้องการให้ปรากฏอยู่ด้านหน้าBatesNumbering -ในSuffixให้พิมพ์ข้อความใดๆซึ่งคุณต้องการให้ปรากฏต่อท้ายBatesNumbering 6.คลิกOKจากนั้นทำ�การเปลี่ยนข้อกำ�หนดอื่นๆของการตั้งค่าตามที่คุณต้องการในHeaderและFooterเมื่อ กำ�หนดเรียบร้อยแล้วให้คลิกOK
วิธีลบBatesNumbering
การใส่และแก้ไขBackgroundและWatermark
การใส่และแก้ไขBackground
1.ในAcrobat,เปิดไฟล์ PDF ที่มีการใส่ Bates Numbering 2. เลือกTools >Pages >ภายใต้ Edit Page Design เลือก BatesNumbering>Remove... จากนั้น Bates Numbering ก็จะถูกลบออกไปจากไฟล์ PDF ในโปรแกรมA crobat9 ม กี ารปรับปรุงก ารท�ำ งานของการใส่B ackgroundแ ละการใส่W atermarkให้ม ปี ระสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น อาทิเช่น ก ารแทนที่ และการลบ ที่สามารถทำ�ได้ตลอดเวลา แต่ในเวอร์ชั่นก่อนหน้าไม่สามารถท�ำ ได้ เพราะ การยกเลิกBackgroundและWatermarkจะทำ�ได้ก็ต่อเมื่อใช้ค�ำ สั่งUndoหากมีการบันทึกไฟล์PDFแล้วก็ไม่ส ามารถ จะยกเลิกBackgroundและWatermarkได้ถ้าต้องการลบต้องใช้เทคนิคโดยการใส่BackgroundและWatermarkใหม่ เข้าไปแทนที่หรือต้องคลิกลบบนหน้าเอกสารPDFนอกจากนั้นค ำ�สั่งก ารใส่BackgroundและWatermarkจะแยกออก จากกันไม่รวมเข้าไว้ด ้วยกันเหมือนในเวอร์ชั่นก่อนนี้ Background(พื้นห ลัง)จะปรากฏอยู่ด้านล่างข้อความและรูปภาพบนหน้าเอกสารPDF,Backgroundสามารถ กำ�หนดได้ง า่ ยๆ โดยใช้ส ี ห รือค ณ ุ ส ามารถใช้ร ปู ภาพค ณ ุ ส ามารถเลือกใช้B ackgroundเฉพาะหน้าใดหน้าห นึง่ ห รือร ะหว่าง Page 51
หน้าในPDFแต่Backgroundสามารถใช้แตกต่างกันได้ในแต่ละหน้า เทคนิคต อ่ ไปนจี้ ะเป็นแ สดงให้ท ราบวา่ ค วรจะท�ำ อ ย่างไร?เพือ่ ใช้แ ละปรับร ปู แ บบb ackgroundท เ่ี ป็นก ราฟิคแ ละ ที่เป็นข้อความก่อนที่คุณจะเริ่มต้นใส่Backgroundsคุณควรจะสร้างข้อมูลที่ต้องการใส่เป็นBackgoundsและSaveไว้ ในรูปแ บบไฟล์PDFเช่นรูปภาพต่างๆแต่ถ้าคุณต้องการใช้ข้อความสามารถสร้างมันได้ในdialogboxของBackground
วิธีใส่,แทนที่หรือแก้ไขBackground
1.เลือกTools >Pages >ภายใต้ Edit Page Design เลือก Background >AddBackground
หมายเหตุ:ถ ้าปรากฏข้อความบอกเกี่ยวกับเอกสารปัจจุบันนั้นมีBackgroundอยู่แล้ว ให้คลิกReplaceBackground 2.(ข้อกำ�หนดเพิ่มเติม)เพื่อใช้Backgroundในแต่ละหน้าที่แตกต่างกันคลิกPageRageOptionsเลือกPages Fromแ ละใส่หน้าเริ่มต้นและหน้าสุดท้ายจากนั้นเลือกข้อก�ำ หนดเพิ่มเติมที่Subsetเพื่อใช้Backgroundเฉพาะหน้าคู่, หน้าค ี่หรือทั้งสอง
Page 52
3.สำ�หรับในส่วนของSourceระบุว่ามีอะไรที่คุณต้องการให้เป็นBackground -เพื่อกลับมาใช้Backgroundและข้อก�ำ หนดเพิ่มเติมBackgroundคุณต้องท�ำ การ บันทึกข้อก�ำ หนดเก็บไว้โดยคลิกที่ปุ่มSaveSettingและเมื่อต้องการใช้ข้อก�ำ หนด ก็ให้เลือกจากในรายการSavedSetting -เพื่อใช้สีกับBackgroundเลือกF romColorจากนั้นคลิกที่Colorswatchเพื่อเปิด ตัวเลือกสีและเลือกสีในswatchหรือสีที่สร้างขึ้นมาใหม่ -เพื่อใช้รูปภาพเลือกFileจากนั้นคลิกBrowseไปยังตำ�แหน่งเก็บไฟล์รูปภาพที่คุณ ต้องการและเลือกรูปภาพ บันทึก:เฉพาะไฟล์PDF,JPEGและBMPเท่านั้นที่สามารถใช้รูปภาพBackground 4.ปรับการปรากฏและตำ�แหน่งBackgroundที่ต้องการ -เพื่อเลือกเฉพาะบางรูปภาพซึ่งอยู่ในไฟล์ที่มีหลายๆหน้าใส่เลขหน้าที่มีรูปภาพ ต้องการบรรจุอยู่ในPageNumber -เพื่อแสดงไฟล์รูปภาพโดยเจาะจงเปอร์เซ็นต์ของรูปภาพมีขนาดเต็มจอ ให้ใส่ค่าในAbsoluteScale -เพื่อหมุนรูปภาพBackgroundห รือพื้นที่สีใส่ค่าในRotation -เพื่อเปลี่ยนขนาดรูปภาพBackgroundเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อของขนาดหน้าPDF เลือกScaleRelativeToTargetPage -เพื่อแสดงและซ่อนBackgroundเมื่อท ำ�การพิมพ์หรือแสดงบนหน้าจอ คลิกAppearanceOptionsและเลือกวัตถุที่คุณต้องการให้แสดงและซ่อน
-เพื่อเคลื่อนตำ�แหน่งของรูปภาพBackgroundหรือพื้นที่สีใส่ค่าส�ำ หรับVerticalDistance จากTop,CenterหรือBottomของหน้าและHorizontalDistanceจากLeft,Center หรือRightของหน้า 5. ถ้าข้อความปรากฏ หลังจากที่คุณคลิก OK ซึ่งบอกเกี่ยวกับ Background ได้มีการก�ำ หนดไว้แล้วสำ�หรับบาง หน้าหรือหลายๆหน้าให้คลิกOKอีกครั้ง Page 53
ปรับปรุงรูปภาพBackground ถ้าไฟล์รูปภาพที่เป็นต้นฉบับซึ่งคุณกำ�ลังใช้เพื่อเปลี่ยนBackgroundคุณสามารถปรับปรุงPDFเพื่อแส ดงเวอร์ชั่นใหม่ของรูปภาพดกี ว่าการนำ�เอาเวอร์ชั่นเก่าออกและเพิ่มเวอร์ชั่นใหม่เข้าไปอีกครั้ง วิธีปรับปรุงรูปภาพBackground 1.เลือกTools >Pages >ภายใต้ Edit Page Design เลือก Background >Update 2.คลิกOKหรือท ำ�การเปลี่ยนข้อก�ำ หนดอื่นๆเพื่อให้ปรากฏในBackground
การลบBackgroundออกจากหน้าPDF ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ -เพือ่ ล บB ackgroundอ อกเฉพาะบางหน้าในP DFเลือกT ools > Pages > ภายใต้ Edit Page Design เลือก Background > Remove... จากนั้นคลิกPageRangeOptionsและใส่เลขหน้าและข้อกำ�หนดSubsetเพื่อระบุ Backgroundหน้าคู่หรือหน้าคี่หรือทั้งสอง -เพื่อลบBackgroundออกจากหน้าทั้งหมดทุกหน้าเลือกTools >Pages >ภายใต้ Edit Page Design เลือก Background > Remove... และคลิกOKเพื่อยืนยันการลบ -เพือ่ ล บB ackgroundอ กจกหน้าท งั้ หมดแ ละเพิม่ B ackgroundใหม่โดยทนั ทีภ ายหลังจ ากการลบเลือก Edit>UndoAddBackground
Page 54
เพิ่มและแก้ไขWatermark Watermark คือข้อความ หรือรูปภาพ ซึ่งปรากฏอยู่ด้านบน หรือสิ่งท ี่บรรจุอยู่ในเอกสารอยู่ด้านหลัง ที่ คล้ายกับการใช้Stampยกตัวอย่างเชนคุณอาจจะต้องใช้คำ�ว่า“Confidential“ที่เป็นWatermarkที่หน้าเอกสารPDF คุณส ามารถทจี่ ะมหี ลายๆW atermarkท เี่ อกสารP DFแ ละคณ ุ ส ามารถใส่โดยการเจาะจงเฉพาะบางหน้าห รือร ะหว่างหน้า เพื่อให้Watermarkปรากฏ บันทึก: สิ่งที่ไม่เหมือน Stamp คือ Watermark จะถูกรวมเข้าไปในหน้า PDF ซึ่งจะเป็นส่วนประกอบหนึ่งของ PDF ส่วน Stamp จะเป็นชนิดของข้อความอธิบายที่ใส่ใน PDF ซึ่งโปรแกรมอื่นๆ ที่เปิดอ่าน PDF อาจจะเปิดเพื่อแสดง คำ�อธิบายประกอบข้อความ(T extAnnotation),สามารถเคลื่อนย้าย,เปลี่ยนหรือลบได้
วิธีเพิ่มและแทนที่Watermark คุณสามารถเพิ่มหลายWatermarkไปที่PDFแต่ละWatermarkที่เพิ่มเข้าไปจะต้องได้รับการเพิ่มแยก ออกจากกัน 1.เลือกTools >Pages >ภายใต้ Edit Page Design>เลือก Watermark>AddWatermark ถ้า PDF บรรจุ Watermark อยู่แล้ว หนึ่ง Watermark หรือมากกว่า จะมีข้อความจะปรากฏขึ้นมา ให้ เลือกAddNewถ้าคุณต้องการสร้างWatermarkเพิ่มเติมขึ้นอีกหนึ่งหรือเลือกReplaceExistingถ้าคุณต ้องการแทนที่ Watermarkที่มีอยู่เดิมทั้งหมดด้วยWatermarkใหม่
Page 55
2.(ข้อกำ�หนดเพิ่มเติม)เพื่อใช้Watermarkซึ่งเลือกสู่ในแต่ละหน้าที่แตกต่างกันคลิกPageRangeOptionsเลือกPageFromและใส่หน้าเริ่มต้นและหน้าส ุดท้ายที่ต้องการใส่Watermarkและจากนั้นเลือกตัวเลือกในSubset เพื่อใช้Watermarkเฉพาะหน้าคู่,หน้าคี่หรือท ั้งสอง 3.ระบุข้อก�ำ หนดที่Source -เพื่อสร้างข้อความWatermark,เลือกที่Textพิมพ์ข้อความที่คุณต้องการให้ปรากฏเป็นWatermarkที่ กล่องข้อความและจากนั้นปรับแบบตัวอักษร,ขนาดตัวอ ักษร,สีตัวอ ักษร,การขีดเส้นใต้และข้อก�ำ หนดตั้งย่อหน้าตาม ต้องการ -เพื่อใช้รูปภาพเป็นWatermarkเลือกFileแล้วคลิกBrowseค้นหาที่ตั้งของไฟล์ที่คุณต้องการใช้เลือก มันและคลิกOpenถ ้าไฟล์มีรูปภาพหลายหน้าเลือกคลิกPageNumberเลือกลูกศ รขึ้นและลูกศ รลงเพื่อเลือกหน้าที่ คุณต ้องการ บันทึก:เฉพาะรูปแบบไฟล์PDF,JPEGและBMPเท่านั้นที่สามารถใช้รูปภาพเป็นWatermark 4.เพื่อเปลี่ยนขนาดของรูปภาพWatermarkให้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ -เพื่อเปลี่ยนขนาดWatermarkในความสัมพันธ์ที่ขนาดจริงของไฟล์รูปภาพที่เป็นต้นฉบับใส่เปอร์เซ็นต์ ในข้อกำ�หนดAbsolute(ในพื้นที่Source) -เพื่อเปลี่ยนขนาดWatermarkในความสัมพันธ์ของความกว้างยาวหน้าเอกสารPDFใส่เปอร์เซ็นต์ใน ScaleRelativeToTargetPage(ในพื้นที่Appearance) 5.ปรับการปรากฏของข้อความหรือรูปภาพWatermarkที่ต้องการ -เพื่อหมุนWatermarkเลือกมุมของการหมุนหรือใส่ค่าต่างๆที่ต้องการหมุน -เพื่อกำ�หนดTransparencyกับWatermarkให้ลากแถบเลื่อนที่Opacityหรือใส่เปอร์เซ็นต์ -เพือ่ จ ดั เรียงการทบั ซ อ้ นของW atermarkท เี่ กีย่ วข้องกบั ส งิ่ ท บี่ รรจุอ ยูใ่ นหน้าเลือกA ppearB ehindP age (สิ่งท ี่บรรจุอยู่ในหน้าอ ยู่บนWatermark)หรือAppearOnTopOfPage(Watermarkอยู่บนสิ่งที่บรรจุอยู่ในหน้า) - เพื่อระบุ เมื่อไหร่ที่จะให้ Watermark ปรากฏ ให้คลิก Appearance Options และเลือก หรือไม่เลือก ShowWhenPrinting(ให้โชว์เมื่อมีการพิมพ์)หรือShowWhenDisplayingonScreen(ให้โชว์เมื่อมีการแสดงผลบนหน้า จอ) Page 56
- เพื่อควบคุมความผันแปรใน PDF กับขนาดของหน้าที่มีหลากหลาย คลิก Appearance Options และ เลือกหรือไม่เลือกKeepPositionAndSizeOfWatermarkTextConstantWhenPrintingOnDifferentPageSize(ให้ รักษาตำ�แหน่งและขนาดของตัวอักษรWatermarkให้ค งที่ไว้เมื่อมีการพิมพ์บนขนาดของหน้ากระดาษที่แตกต่างๆกัน) 6. ระบุตำ�แหน่ง ซึ่งคุณต้องการให้ Watermark ปรากฏโดยการใส่ระยะแนวตั้ง และแนวนอน ระหว่าง Watermarkและด้านซ้าย,ขวา,ตรงกลาง,บนสุดหรือด ้านล่างของหน้า การปรับปรุงWatermark 1.เลือกDocument>Watermark>Update 2.ทำ�การเปลี่ยนแปลงที่Watermarkและจากนั้นคลิกOK ที่สำ�คัญ: ถ้าคุณมีหลายๆ Watermark ในเอกสาร PDF วิธีการดำ�เนินการด้วยวิธีนี้ จะปรับปรุงเฉพาะ Watermarkแรกที่คุณเพิ่มและจะทิ้งWatermarkอื่นๆทั้งหมดถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนเกี่ยวกับการปรับปรุงWatermarkหลัง จากคุณได้เสร็จสิ้นกระบวนการนี้ให้เลือกคำ�สั่งEdit>UndoWatermarkโดยทันที การลบWatermark ปฎิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ - เพื่อลบ Watermark ทั้งหมด ออกจากหน้าเอกสาร PDF ทุกหน้า เลือก Document > Remove และ คลิกO Kเพื่อยืนยันการลบ -เพือ่ ล บW atermarkอ อกจากหน้าท งั้ หมดโดยทนั ทีห ลังจ ากใส่ม นั เข้าไปในเอกสารP DFเลือกค�ำ ส งั่ E dit >U ndoWatermark
Page 57
การค้นหาและการสร้างดัชนี(Index) เพื่ออำ�นวยความสะดวก และความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูลเอกสาร PDF คุณสามารถเครื่องมือเพื่อทำ�การ สืบค้นคำ�หรือ ประโยคต่างๆ ในเอกสาร PDF, ใน Bookmarks และใน Comment ในการค้นหานั้น จะท�ำ การค้นหาใน ขณะเอกสารกำ�ลังเปิดใช้งานอยู่หรือไม่ได้เปิดใช้งานก็ได้ไม่ว่าเอกสารนั้นจะจัดเก็บอยู่ที่ใดในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ก็สามารถทำ�การสืบค้นและเปิดมันขึ้นมาใช้งานได้ คุณสามารถรวบรวมเอกสารPDFไว้ในที่เดี่ยวกันและสร้างดัชนีของเอกสารทั้งหมดเพื่อช่วยเพิ่มความรวดเร็วใน การค้นหาขข้อความในเอกสาร PDF เพราะการสร้างดัชนีจะทำ�ให้ค้นหาเฉพาะข้อความในเอกสาร PDF ที่มีการรวมกลุ่ม และสร้างดัชนีเท่านั้นดังนั้นก ารสร้างดัชนีจึงเหมาะสำ�หรับการรวมเอกสารPDFบันทึกไว้ในแผ่นCD-ROMเมื่อนำ�ไปใช้ งานแ ละทำ�การค้นหาข้อความก็จะทำ�การเฉพาะไฟล์เอกสารPDFที่บรรจุอยู่ในแผ่นCD-ROMนั้นๆ การค้นหาข้อความในเอกสารPDF การใช้ค�ำ สั่งFindเพื่อการค้นหาข้อความในเอกสารPDFจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณได้มีการเปิดเอกสารPDF ขึ้นมาเสียก่อน 1.เลือกเมนูค ำ�สั่งEdit>Find 2.พิมพ์ข้อความที่คุณจะต้องการค้นหาในกรอบค้นหาข้อความ(F ind)ที่อยู่บนแถบเครื่องมือ
3.(ตัวเลือกเพิ่มเติม)คลิกลูกศรที่อยู่ถัดไปจากกรอบข้อความและเลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งดังต่อไปนี้ W holew ordso nly= ท �ำ การคน้ หาเฉพาะค�ำ ท ตี่ รงกนั ท งั้ หมดทคี่ ณ ุ พ มิ พ์ในกรอบขอ้ ความย กตวั อย่างเช่น ถ้าค ุณทำ�การค้นหาค�ำ ว่าstickค�ำ tickและstickyก็ไม่สามารถที่จะค้นหาได้ C ase-S ensitive= ท �ำ การคน้ หาเฉพาะค�ำ ท ตี่ รงกนั ก บั ต วั อ กั ษรภาษาองั กฤษตวั พ มิ พ์ใหญ่ห รือต วั พ มิ พ์เล็ก ที่คุณพ ิมพ์ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณค้นหาคำ�Webค�ำ ว่าwebและWEBจะไม่สามารถค้นหาได้ IncludeBookmarks=ท�ำ การค้นหาข้อความในBookmarksด้วย IncludeComment=ทำ�การค้นหาข้อความนCommentด้วย 4.กดEnter Acrobatจะเข้าไปยังรายการแรกที่ค้นหาเจอโดยจะปรากฏไฮไลท์ที่ข้อความ 5.กดEnterซ้ำ�หรือกดปุ่มเครื่องมือ Next เพื่อทำ�การค้นหาข้อความต่อไป Page 58
การค้นหาข้อความในเอกสารPDFหลายๆไฟล์พร้อมกัน
ค้นหาข้อความในPDFในโฟว์เดอร์ที่เฉพาะเจาะจง
2.ในหน้าต่าง SearchเลือกAllDocumentsInเลือกBrowserForLocationจากรายการpop-up
ค �ำ สัง่ S earchส ามารถชว่ ยให้ค ณ ุ ท ำ�การคน้ หาขอ้ ความในเอกสารP DFห ลายๆไฟล์ย กตวั อย่างเช่นค ณ ุ ส ามารถ ค้นหาข้ามเอกสาร PDF ที่ก�ำ ลังเปิดอยู่, PDF ทั้งหมดที่จัดเก็บอยู่ในต�ำ แหน่งต่างๆ, หรือเปิด PDF ที่มีการรวมกลุ่มแบบ Package หมายเหตุ:ถ ้าเอกสารมีการเปลี่ยนข้อความให้เป็นรหัส(มีการก�ำ หนดSecurity)คุณไม่สามารถค้นหาในส่วนของ การค้นหาเอกสารพร้อมกันหลายๆไฟล์ได้คุณจำ�เป็นจะต้องเปิดเอกสารขึ้นมาก่อนและจึงทำ�การค้นหาทีละไฟล์ 1.เปิดAcrobatและปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ - ในแถบเครื่องมือ Find พิมพ์ข้อความที่คุณต้องการจะค้นหา และจากนั้นเลือก Open Full Acrobat Searchจากรายการpop-up - ในหน้าต่าง Search (คำ�สั่ง Edit > Advanced Search) พิมพ์ข้อความทคี่ ุณต้องการจะค้นหาในกรอบ ข้อความ
3.เลือกตำ�แหน่งทคี่ ุณต้องที่จะค้นหาบนคอมพิวเตอร์ของคุณหรือไม่ก็บนเครือข่าย และจากนั้นคลิกOK
Page 59
4.ถ้าคุณต้องการระบุตัวเลือกอื่นๆ เพื่อใช้ในการค้นหาคลิกUseAdvancedSearchOptions และเลือกตัวเลือกที่ต้องการ 5.คลิกSearch การค้นหาไฟล์ดัชนี(index)ของการบันทึกในบัญชีรายชื่อPDF ดัชนีข้อความที่สมบูรณ์มีการสร้างขึ้น เมื่อบางคนใช้Acrobatเพื่อกำ�หนดcatalog(การบันทึกในบัญชีรายชื่อ) ของPDFคุณสามารถทำ�การค้นหาดัชนีในส่วนคำ�ที่คุณต้องการจะค้นหาดีกว่าก ารค้นหาข้อความในแต่ละไฟล์PDFใน บัญชีรายชื่อการค้นหาดัชนีจะสร้างรายการผลลัพท์พร้อมด้วยการเชื่อมโยงไปที่สิ่งที่ปรากฏขึ้นของดัชนีเอกสาร 1.เปิดหน้าต่าง Search,พิมพ์ค �ำ ที่คุณต้องการจะค้นหาและจากนั้นคลิกUseAdvancedSearchOptions
2.สำ�หรับLookIn,เลือกSelectIndex 3. ใน dialog box ของ Index Selection ให้เลือกดัชนีที่ต้องการ ถ้าเป็นการค้นหาครั้งแรก หรือยังไม่มีดัชนีอยู่ รายการให้คลิกAddเพื่อเพิ่มดัชนีไปยังต�ำ แหน่งที่เก็บดัชนีและเลือกดัชนีที่คุณต้องการจะค้นหาและคลิกOpen
หมายเหตุ:ค ุณสามารถอ่านไฟล์ข้อมูลเกี่ยวกับดัชนีที่คุณเลือกโดยการคลิกที่Infoและคุณสามารถแยก ดัชนีอ อกไปจากการค้นหาโดยเลือกดัชนีและเลือกRemoveหรือท�ำ ให้checkboxส�ำ หรับดัชนีนั้นๆว่าง 4. คลิก OK เพิ้อปิด dialog box ของ Index Selection และจากนั้นเลือก Currently Selected Indexes บนเมนู pop-upของLookIn 5. ดำ�เนินการต่อไป กับการค้นหาของคุณท ี่ปฎบัติอยู่เป็นประจำ� เลือกตัวเลือกอื่น ๆ ที่คุณต้องการน�ำ มาใช้ร่วม ในการค้นหาจากนั้นค ลิกSearch หมายเหตุ: เลือกตัวเลือก Match Whole Word Only เมื่อทำ�การค้นหาดัชนี มีความส�ำ คัญอย่างยิ่งที่จะ ช่วยลดเวลาที่ให้ผลลัพท์
Page 60
การสร้างและจัดการดัชนีในPDF
การเตรียมไฟล์PDFสำ�หรับสร้างดัชนี
การสร้างดัชนีเพื่อการเก็บรวบรวม
คุณสามารถลดเวลาเมื่อต้องการค้นหาข้อความจำ�นวนมากโดยการฝังดัชนีของค�ำ ในเอกสารโปรแกรมAcrobat สามารถค้นหาค�ำ จากดัชนีได้เร็วมากกว่าการค้นในเอกสาร การฝังด ัชนีเป็นการรวมเข้าไว้ในไฟล์ PDF ที่จะนำ�ไปเผยแพร่ และการท�ำ สำ�เนาไฟล์PDFเพื่อน�ำ ไปใช้ร่วมกันผู้ใช้ค้นหาPDFด้วยไฟล์ท ี่มีการฝังดัชนีจะทำ�ให้ได้ข ้อมูลที่ถูกต้องและ แม่นยำ�กว่าไฟล์PDFที่ไม่มีการฝังดัชนี เริ่มต้นโดยการสร้างโฟว์เดอร์เพื่อที่จะบรรจุไฟล์ PDF ที่ต้องการทำ�ดัชนี ไฟล์ PDF ท้ังหมดจะต้องสมบูรณ์ทั้ง เนื้อหาและคุณสมบัติของอิเล็กทรอนิกส์อาทิเช่นการเชื่อมโยง(link),bookmarksและformfieldsถ้าไฟล์ที่จะทำ�ดัชนี ประกอบไปดว้ ยเอกสารทมี่ กี ารสแกนมาต อ้ งตรวจสอบให้แ น่ใจวา่ เอกสารนนั้ ได้เปลีย่ นไปเป็นข อ้ ความทสี่ ามารถคน้ หาได้ แยกเอกสารที่มีจ�ำ นวนหน้ามากๆให้เป็นไฟล์ขนาดเล็กโดยแยกออกเป็นบทๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาคุณยัง สามารถที่จะเพิ่มรายละเอียดไปที่คุณสมบัติของไฟล์เอกสารเพื่อความสามารถในการค้นไฟล์ที่ดีขึ้น ก่อนที่คุณจะทำ�ดัชนีเอกสารที่เก็บรวบรวม มันเป็นสิ่งที่สำ�คัญที่สุด คุณจะต้องสร้างโครงสร้างเอกสารบน disk driveห รือnetworks ervervolumeและตรวจสอบชื่อไฟล์ให้สามารถใช้ข้ามระบบปฎิบัติการหรือข้ามเครื่องชื่อไฟล์อาจ จะท�ำ ให้ส นั้ แ ละกระชับเพือ่ ค วามเหมาะสมในการเรียกขอ้ มูลก ลับม าเมือ่ ม กี ารคน้ หาขา้ ม ระบบปฎิบตั กิ ารห รือข า้ มเครือ่ ง เพื่อป ้องกันไม่ให้เกิดป ัญหาให้พิจารณาตามแนวทางต่อไปนี้ -เปลี่ยนชื่อไฟล์,โฟว์เดอร์และดัชนีใช้ช ื่อไฟล์ตามข้อตกลงของMS-DOS(8ตัวอักษรหรือน้อยกว่าและตาม หลังด ้วย 3 ตัวอักษรที่เป็นส่วนขยายของไฟล์), โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณวางแผนที่จะจัดส่งเอกสารที่เก็บรวบรวม และ ดัชนีบ นดิสก์CD-ROMรูปแบบISO9660 -ลบตัวอักษรที่ยาวๆยกตัวอย่างเช่นตัวอักษรที่เป็นเครื่องหมายและที่ไม่ใช่ตัวอักษรอังกฤษจากชื่อไฟล์และ ชื่อโฟว์เดอร์ -ไม่ใช้การวางของโฟว์เดอร์ซ้อนลึกหลายๆระดับหรือช ื่อของpathเกินก ว่า256ตัวอ ักษรสำ�หรับดัชนี เมือ่ ค ณ ุ ส ร้างดชั นีใหม่โปรแกรมA crobatจ ะสร้างไฟล์ท มี่ นี ามสกุล.p dxแ ละสร้างโฟว์เดอร์ใหม่ข นึ้ ม ารองรบั ซ งึ่ จ ะ ประกอบไปด้วยไฟล์หนึ่งไฟล์หรือมากว่าด้วยนามสกุล.idxไฟล์IDXจะบรรจุการบันทึกข้อมูลดัชนีไฟล์ทั้งหมดนี้จำ�เป็น ที่จะต้องมีไว้เพื่อที่ผู้ใช้หรือใครที่ต้องการค้นหาดัชนี 1.เลือกTools >DocumentProcessing>FullTextIndexwithCatalog และจากนั้นคลิกNewIndex
Page 61
2.ในIndexTitleพิมพ์ช ื่อสำ�หรับไฟล์ดัชนี 3.ในIndexDescription,พิมพ์ข ้อความสั้นๆเกี่ยวกับชนิดของดัชนีหรือวัตถุประสงค์ของดัชนี 4.คลิกOptionsเลือกตัวเลือกที่คุณต้องการนำ�มาใช้ที่ดัชนีของคุณและคลิกOK 5. ภายใต้ Include These Directories คลิก Add เลือกโฟว์เดอร์ท ี่บรรจุไฟล์ PDF ที่คุณต้องการจะท�ำ ดัชนี และ คลิกO K วิธีเพิ่มโฟว์เดอร์ในจำ�นวนที่มากกว่าหนึ่งโฟว์เดอร์ให้ท ำ�ซ้ำ�ขั้นต อนเดิม หมายเหตุ:ทุกโฟว์เดอร์ที่วางอยู่ภายใต้โฟว์เดอร์ที่มีการรวมเข้าไว้ในIncludethesedirectoriesจะรวม อยูใ่นการประมวลผลของดัชนีด้วย คุณสามารถที่เพิ่มโฟว์เดอร์จากหลายๆ server หรือ disk drives ตราบเท่าที่คุณไม่มี แผนเพื่อย้ายดัชนีหรือสิ่งของในเอกสารที่มีการรวบรวมไว้ 6. ภายใต้ Exclude These subdirectories คลิก Add และเลือกโฟว์เดอร์ที่บรรจุไฟล์ PDF ที่คุณไม่ต้องการที่จะ ทำ�ด ัชนีคลิกOKและทำ�ซ�้ำ ขั้นต อนเดิมหากต้องการ 7. ตรวจสอบความถูกต้องในสิ่งที่คุณเลือก ทำ�การเปลี่ยนที่รายการของโฟว์เดอร์เพื่อที่จะให้รวม หรือไม่ให้รวม เลือกโฟว์เอร์ที่ต้องการที่จะเปลี่ยนและคลิกRemove 8.คลิกBuildและจากนั้นระบุตำ�แหน่งที่คุณจะจัดเก็บไฟล์ดัชนีคลิกSaveและจากนั้น: -คลิกCloseเมื่อต้องการจบการสร้างดัชนี -คลิกStopเพื่อยกเลิกการประมวลผลดัชนี
ห มายเหตุ:ถ า้ ค ณ ุ ห ยุดก ารสร้างดชั นีค ณ ุ ไม่ส ามารถกลับม าในสว่ นของดชั นีเดิมเพือ่ ท จี่ ะด�ำ เนินก ารสร้าง Page 62
ต่อไปใหม่ได้แ ต่ค ณ ุ ไม่ว ธิ ยี อ้ นกลับก ารท�ำ งานต วั เลือกแ ละโฟว์เดอร์ท เี่ ลือกยงั ค ง อยเู่ หมือนเดิมซ ง่ึ ไม่เสียห ายค ณ ุ ส ามารถ คลิกO penIndexทำ�การเลือกดัชนีบางส่วนที่ท�ำ เสร็จแล้วและทำ�การปรับปรุงแก้ไขมันใหม่ให้เสร็จสมบูรณ์ วิธีปรับปรุงแก้ไขดัชนี คุณสามารถปรับปรุงดัชนีให้เป็นข้อมูลใหม่ล่าสุด,สร้างดัชนีใหม่หรือก ำ�จัดดัชนีท ี่มีอยู่ 1.เลือกTools >DocumentProcessing>FullTextIndexWithCatalog และจากนั้นคลิกOpenIndex 2.ไปที่ตำ�แหน่งที่จัดเก็บดัชนีและเลือกไฟล์ดัชนี(PDX)ที่ต้องการและคลิกOpen 3.ถ้าดัชนีม ีการสร้างด้วยโปรแกรมAcrobat5.0หรือเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้เลือกCreateCopyเพื่อสร้าง ดัชนีใหม่(โดยไม่มีการเขียนทับเวอร์ชั่นก่อนหน้า)หรือเลือกOverwriteOldIndexเพื่อที่จะมีการเขียนข้อมูลแทนดัชนีเก่า 4.ในdialogboxของIndexDefinitionทำ�การเปลี่ยนตัวเลือกต่างๆที่คุณต้องการและจากนั้นคลิกฟัง ก์ชั่นที่คุณต้องการให้Acrobatปฎิบัติ: Build=สร้างไฟล์IDXด้วยข้อมูลที่มีอยู่และปรับปรุงข้อมูลใหม่โดยที่บันทึกข้อมูลใหม่และทำ� เครื่องหมายข้อมูลที่มีเปลี่ยนแปลง หรือบันทึกข้อมูลเก่าให้เป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับใช้ ถ้าคุณท ำ�การเปลี่ยนแปลงจำ�นวน มากหรือใช้ตัวเลือกนี้เพื่อประมวลผลซ้ำ�แทนทีข่ องการสร้างดัชนีใหม่,เวลาของการค้นหาอาจจะเพิ่มมากขึ้น Rebuild=สร้างดัชนีใหม่,เขียนทับโฟว์เดอร์ดัชนีที่มีอยู่เดิมและมันก็จะบรรจุ ข้อมูลใหม่เข้าไป(ไฟล์IDXทั้งหลาย) Purge=ลบข้อมูลที่บรรจุอยู่ภายในดัชนี(ไฟล์IDXทั้งหลาย) โดยที่ไม่ลบไฟล์ด ัชนี(P DX)
กรณีที่ต้องการฝัง Index ไปพร้อมกับไฟล์ เพื่อง่ายต่อการเรียกใช้งาน และการค้นหา ให้เลือกคำ�สั่ง Tools > Document Processing > Manage Edbedded Index
Page 63
ตราประทับดิจิตอล
ตราประทับดิจิตอลควบคุมเอกสารภายในองค์กร คุณสามารถใช้เครื่องมือStampเพื่อท�ำ ตราประทับลงบนเอกสารPDFเหมือนกับใช้ตรายางท�ำ ตราประทับลงบน กระดาษ คุณสามารถเลือกใช้ตราประทับในรายการที่โปรแกรมจัดเตรียมมาให้ หรือสามารถสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อนำ�มาใช้ งานน อกจากนั้นยังมีตราประทับแบบDynamicทสี่ ามารถระบุชื่อวันและเวลาโดยอ้างอิงจากระบบคอมพิวเตอร์ 1.DynamicStampตราประทับที่สามารถระบุชื่อวันเวลา 2.SignHereStampตราประทับระบุตำ�แหน่งในการเซ็นชื่อ 3.StandardBusinessStampตราประทับมาตรฐานที่มีใช้กันทั่วไปในสำ�นักงาน 4.CustomS tampตราประทับที่สร้างขึ้นมาใหม่
วิธีใส่ตราประทับดิจิตอลในเอกสารPDF
1.จากพาแนล Comment > Annotations เลืือกเมนูpop-upของStampTool เลือกชนิดของตราประทับที่ต้องการ 2.คลิกบนหน้างานในตำ�แหน่งทตี่ ้องใส่ตราประทับ(ตราประทับจะมีขนาดเท่ากับที่สร้างไว้) หรือใช้วิธีลากเม้าส์เพื่อก�ำ หนดขนาดและตำ�แหน่งของตราประทับ 3.ถ้าคุณไม่มีการตั้งชื่อในIdentityPreferences จะปรากฏdialogboxของIdentitySetupขึ้นมาเพื่อให้คุณใส่ชื่อ
Page 64
วิธีการแก้ไขตราประทับ
1.เลือกเครื่องมือHand 2.เลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ -ย้ายตราประทับลากตราประทับไปไว้ในต�ำ แหน่งใหม่ -เปลี่ยนขนาดตราประทับคลิกที่ตราประทับ และจากนั้นให้คลิกที่มุมเพื่อย่อ-ขยายตราประทับ -ลบตราประทับให้คลิกขวา(Windows)หรือกดControlพร้อมคลิก(Mac) ที่ตราประทับและจากนั้นเลือกDelete -เปลี่ยนความทึบของตราประทับหรือส ีจากเมนูpop-upให้คลิกข วา(Windows) หรือกดControlพร้อมคลิก(Mac)ที่ตราประทับและเลือกProperties ใช้แ ถบค�ำ สั่งAppearanceเพื่อเปลี่ยนความทึบและสีที่คุณชื่นชอบ ทำ�การย้ายตราประทับไปไว้ในเมนูFavorites 1.เลือกเครื่องมือHandเลือกStamp 2.เลือกComment > Annotations เลืือกเมนูpop-upของStampTool >AddCurrentStamptoFavorites การสร้างตราประทับ คุณสามารถสร้างตราประทับจากไฟล์ PDF, JPEG, bitmap, Adobe Illustrator (AI), Adobe Photoshop (PSD) และAutoCAD(DWT,DWG)เมื่อคุณเลือกไฟล์เพื่อใช้สร้างStampคุณจ�ำ เป็นอย่างมากที่จะต้องสร้างหมวดหมู่เพื่อไว้ เก็บStamp วิธีสร้างตราประทับ 1.จากเมนูเครื่องมือComment > Annotations เลืือกเมนูpop-upของStampTool > Custom Stamps > Create Custom Stamp...
Page 65
2.คลิกBrowse เลือกไฟล์ที่คุณต้องการใช้และจากนั้นคลิ๊กSelect
3.เลือกหมวดหมู่ของStampจากเมนูpop-upด้านบนหรือพิมพ์ชื่อหมวดหมู่ที่ต้องการ
4.พิมพ์ชื่อ Stamp และจากนั้นคลิ๊กOK
วิธีแก้ไขตราประทับ 1.จากแถบเครื่องมือ Comment > Annotations เลืือกเมนูpop-upของStampTool > Custom Stamps > Manage Custom Stamp... คลิกปุ่ม Edit 2.หรือเลือกComment > Annotations เลืือกเมนูpop-upของStampTool > Show Stamps Pallete จากนั้น หมวดหมู่ของStampให้คลิกขวา(Windows)หรือกดControlพร้อมคลิก(Mac)ที่ตราประทับและ เลือกEditจากเมนูpop-up
Page 66
3.แก้ไขหมวดหมู่หรือชื่อของตราประทับห รือแทนที่ด้วยภาพใหม่และจากนั้นคลิ๊กOKลบตราประทับใช้Stamp paletteเพื่อลบตราประทับและหมวดหมู่ที่สร้างขึ้นคุณสามารถลบได้เฉพาะตราประทับที่คุณสร้างขึ้นไม่สามารถลบตรา ประทับที่โปรแกรมเตรียมไว้ให้เมื่อคุณล บตราประทับตราประทับจะถูกลบออกจากเมนูStampToolแต่ไฟล์ต ราประทับ จะไม่ถูกลบ วิธีลบตราประทับ 1.จาก Comment > Annotations เลืือกเมนูpop-upของStampTool เลือกShowStampPalette 2. เลือกหมวดหมู่ของ Stamp ให้คลิกขวา (Windows) หรือ กด Control พร้อมคลิก ( Mac) ที่ตราประทับ และ เลือกDeleteจากเมนูpop-up 3.ถ้าคุณไม่มีการตั้งชื่อในIdentityPreferencesจะปรากฏdialogboxของIdentitySetupขึ้นมาเพื่อให้คุณใส่ ชื่อ
วิธีลบหมวดหมู่ของตราประทับ
1.Comment > Annotations เลืือกเมนูpop-upของStampTool > Custom Stamps > Manage Custom Stamp...
2.เลือกหมวดหมู่ที่ต้องการลบและจากนั้นให้คลิกDelete หมายเหตุคุณสามารถใช้คำ�สั่งCreateCustomerStampจากเมนูpop-u pของเครื่องมือStampได้หรืออาจะ ใช้คำ�สั่งManageStampเพื่อสร้าง(Create),แก้ไข(Edit)และลบ(Delete)
Page 67
การพิมพ์เอกสารPDF
การพิมพ์เอกสารPDF
ถ้าคุณต้องการ กำ�หนดตัวเลือกของการพิมพ์ ใน Print dialog box, โดยก�ำ หนดให้มันค่อนข้างจะดีกว่าท ี่ พริ้น เตอร์ไดร์เวอร์ 1. ต้องแน่ใจว่าคุณได้ต ิดตั้งไฟล์พริ้นเตอร์ไดร์เวอร์และPPDที่ถูกต้องสำ�หรับเครื่องพริ้นเตอร์ของคุณผล ของการพิมพ์โดยรวมที่สามารถคาดหมายได้กับการใช้PPDที่ถูกต้อง 2. เลือกFile >PrintSetup(Windows)หรือFile >PageSetup(MacOS)เพื่อเลือกขนาดของกระดาษ, กำ�หนดต�ำ แหน่งการวางหน้า, และตัวเลือกทั่วไปของการพิมพ์ ตัวเลือกจะมีความเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับความแตกต่าง ของพริ้นเตอร์และไดร์เวอร์
3. เพื่อพิมพ์comments,ยกตัวอย่างเช่นstickynotes,ให้เปิดCommentingpanelในPreferencesdialog boxแ ละเลือกPrintnotesandpop-ups
หมายเหตุ:เพื่อเปิดPreferencesในWindows,เลือกEdit>Preferences.ในMacOS,เลือกAcrobat >P references. 4. คลิกที่ปุ่มPrint,หรือเลือกFile > Print. 5. เลือกพริ้นเตอร์จากเมนูที่อยู่ด้านบนของPrintdialogbox
Page 68
6. (MacOS)เลือกตัวเลือกจากเมนูPresetspop-up 7. ในWindows,คลิกPropertiesเพื่อก�ำ หนดตัวเลือกเพิ่มเติมที่มีอยู่ในพริ้นเตอร์ไดร์เวอร์ในMacOS, กำ�หนดตัวเลือกพริ้นเตอร์ไดร์เวอร์ในPrintCenter 8. เพื่อพิมพ์commentsหรือแ บบฟอร์ม,เลือกตัวเลือกจากเมนูCommentsAnd Formspop-up
9.
ตัวเลือกในPrintdialogbox
ระบุหน้าที่คุณต้องการจะพิมพ์,และจากนั้นคลิกOK
มีตัวเลือกจำ�นวนมากในAcrobatPrintdialogboxทีเหมือนกันโปรแกรมอื่นๆ CommentsAndFormsกำ�หนดเพื่อให้เห็นข้อมูลcommentและแบบฟอร์มเมื่อพิมพ์งานออกมา Documentพิมพ์ข้อมูลที่บรรจุอยู่เอกสารและข้อมูลที่กรอกในแบบฟอร์ม DocumentAndMarkupsพิมพ์ข้อมูลทบี่ รรจุอยู่เอกสาร,ข้อมูลที่กรอกในแบบฟอร์ม, และcomments Document And Stamps พิมพ์ข้อมูลที่บรรจุอยู่เอกสาร, ข้อมูลที่กรอกในแบบฟอร์ม, และตรายาง ดิจิทัล,แต่ ไม่รวมถึงการท�ำ เครื่องหมายอื่นๆอาทิเช่นข้อความcommentsและเส้นที่วาดจากดินสอ FormFieldsOnlyพิมพ์เฉพาะข้อมูลที่กรอกในแบบฟอร์มแต่ไม่พิมพ์ข้อมูลที่บรรจุอยู่ในเอกสาร Current View/Selected Graphic พ ิมพ์พ ื้นที่ของหน้า (ประกอบไปด้วย ข้อความ, comments, และอื่น ๆ) ที่ กำ�หนดให้มองเห็นในขณะนั้น ชื่อของตัวเลือกจะเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับว่า คุณได้เลือกหน้างาน หรือไม่เลือก หากคุณไม่ได้ เลือกหน้า ชื่อตัวเลือกจะเปลี่ยนเป็น Current View, มีการเลือกหน้า ชื่อตัวเลือกจะเปลี่ยนเป็น Selected Pages, หรือ พื้นทีบ่ นหน้างานถูกเลือกโดยใช้เครื่องมือSnapshotชื่อต ัวเลือกก็จะเปลี่ยนเป็นSelectedGraphic CurrentPageพิมพ์หน้างานที่ก�ำ ลังเปิดแสดงให้เห็นอยู่ในขณะนั้น Page 69
Pagesระบุระยะของหน้าเพื่อพิมพ์ในไฟล์PDFที่เปิดอยู่ทำ�การแยกเลขระหว่างหน้าที่จะพิมพ์โดยการใช้เครื่อง หมายยัติภังค์(-),และถ้าต้องแยกหลายหน้าหรือระยะของหน้าใช้เครื่องหมายคอมมา(,)หรือเว้นวรรค.ถ้าตัวเลือกUse LogicalPageNumbersoptionในPageDisplayPreferences,คุณสามารถใส่เลขเพื่อให้เหมือนกันกับตัวเลขที่พิมพ์อยู่ บนหน้างาน โดยใช้เลขโรมัน หรือเลขหน้าที่แท้จริงที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหน้าแ รกของเอกสารเป็นตัวเลข โรมันiii,คุณสามารถใส่iiiหรือ1เพื่อพิมพ์ห น้างานนั้นทำ�การเลือกOddPagesOnly (เฉพาะหน้าคี่เท่านั้น) หรือE venPagesOnly(เฉพาะหน้าคู่เท่านั้น)มีผลกับระยะหน้าที่จะพิมพ์ตัวอย่างเช่น,ในระยะหน้าประกอบไปด้วย2, 7-10พ ร้อมกับเลือกEvenPagesOnly,เฉพาะหน้า2,8,และ10เท่านั้นที่จะพิมพ์ออกมาเพื่อพิมพ์จากหน้าที่ระบุไป จนถึงห น้าสุดท้ายของเอกสาร , ให้ใส่หน้าพร้อมด้วยเครื่องหมายยัติภังค์ (-) ตัวอย่างเช่น “11-” พิมพ์หน้า 11 ไปจนถึง หน้าส ุดท้ายของเอกสาร SubsetเลือกAllPagesInRange,หรือเลือกOddPagesOnlyหรือEvenPagesOnlyเพื่อพิมพ์เฉพาะหน้า เหล่าน ั้นภายในระยะเฉพาะเจาะจง Reverse Pages พิมพ์หน้าถอยกลับจากที่สั่ง ถ้ามีการใส่ระยะหน้า, การพิมพ์หน้าจะตรงกันข้าม กับคำ�สั่งเลข หน้าทีใ่ส่เข้าไป.ตัวอย่างเช่น,ถ้าในกรอบPagesแสดง3-5,7-10,มีการเลือกReversePagesหน้าที่พิมพ์10-7,และ จากนั้นพิมพ์5-3 PageScalingย่อ,ขยาย,หรือแยกหน้าเป็นส่วนๆเมื่อพิมพ์ Noneพิมพ์จากด้านล่างซ้ายหรือจากตรงกลางของหน้า(ถ้าส ั่งAuto-RotateandCenter)โดยไม่มีการขยายหน้า หรือเลือกไม่ให้ท�ำ การย่อข้อมูลให้พ ิมพ์ออกมาพอดีกับหน้ากระดาษ FitToPrintableAreaย่อหรือขยายแต่ละหน้าให้พอดีกับพื้นที่การพิมพ์ของขนาดกระดาษที่เลือกสำ�หรับ พ ริ้นเตอร์ที่มีภาษาPostScript,อาศัยPPDเป็นต ัวก ำ�หนดพื้นที่การพิมพ์ของกระดาษ Shrink To P rintable Area ท�ำ ให้หน้างาน ที่มีความกว้าง หดให้พ อดีกับขนาดของกระดาษที่เลือกใช้ แต่จะไม่ ทำ�การขยายหน้ากระดาษที่มีขนาดเล็กถ้าพื้นที่มีการเลือกและมีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่พิมพ์ของกระดาษที่คุณเลือกใช้มัน จะปรับขนาดให้พอดีกับพื้นที่พิมพ์ TileLargePagesใช้เพื่อการพิมพ์แยกหน้าที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดของกระดาษที่เลือกที่มีการกำ�หนดการปรับ ขนาดห น้าง านทมี่ กี ารพมิ พ์ส �ำ หรับห ลายๆ แ ผ่นข องกระดาษถ า้ ต วั เลือกนี้ ม กี ารเลือกไว้ค ณ ุ ส ามารถทจี่ ะระบุข อ้ ก �ำ หนด สำ�หรับการปรับขนาดของการพิมพ์แยก,การซ้อนทับกัน,เครื่องหมายที่ใช้เป็นแนวทางสำ�หรับตัดและป้ายชื่อ TileAllPagesใช้เพื่อการพิมพ์แยกกับหน้าทั้งหมด,โดยไม่ค ำ�นึงถึงข นาดอย่างไรก็ตาม,เฉพาะหน้าที่มีขนาด ใหญ่ก ว่าข นาดของกระดาษท มี่ กี ารก�ำ หนดการปรับข นาดห น้าง านทมี่ กี ารพมิ พ์ส �ำ หรับห ลายๆ แ ผ่นข องกระดาษเท่านัน้ ถ้าตัวเลือกนี้ มีการเลือกไว้ คุณสามารถที่จะระบุข้อกำ�หนดสำ�หรับ การปรับขนาดของการพิมพ์แยก, การซ้อนทับกัน, เครื่องหมายที่ใช้เป็นแนวทางส�ำ หรับตัดและป้ายชื่อ MultiplePagesPerSheetทำ�ให้สามารถพิมพ์แบบN-upได้,ที่มีการพิมพ์หลายๆหน้าบนแผ่นเดียวกันของ กระดาษ ถ้าตัวเลือกนี้ มีการเลือกไว้, คุณสามารถที่จะระบุข้อกำ�หนดสำ�หรับ Pages Per Sheet (จำ�นวนหน้าต ่อแผ่น) , PageOrder(หน้าที่สั่ง),PrintPageBorder(เส้นก รอบหน้าที่พิมพ์),และAuto-RotatePages(การหมุนหน้าอัตโนมัติ) Booklet Printing พิมพ์หลาย ๆ หน้าบนแผ่นเดียวกันของกระดาษ ในคำ�สั่งที่ต้องการเพื่ออ่านได้อย่างถูกต้อง เมื่อม ีการพับเครื่องพริ้นเตอร์จะต้องรองรับระบบการพิมพ์แบบduplexprinting(พิมพ์บนทั้งสองด้านของแผ่นเดียวกัน). โปรแกรมAcrobatมีการกำ�หนดโดยอัตโนมัติให้สามารถพิมพ์ทั้งสองด้าน
Page 70
PagesPerS heetการพิมพ์จ�ำ นวนหน้าหลายหน้าต่อห นึ่งแผ่นกระดาษ(ส ูงสุดคือ99หน้า/แผ่น) PageOrderกำ�หนดเพื่อสั่งให้หน้างานควรจะพิมพ์อย่่างไรบนกระดาษระหว่างหน้าง านที่มีการพิมพ์แบบN-up วางหน้าแนวนอนจากซ้ายไปขวา,จากบนลงไปข้างล่างวางหน้าแ นวนอนพลิกกลับจากขวาไปซ้าย,จากล่างขึ้นไปข้างบน วางหน้าแ นวตงั้ ว างหน้าแ นวนอนจ ากซา้ ยไปขวา,จ ากบนลงไปขา้ งลา่ งวางหน้าแ นวตงั้ พ ลิกก ลับจ ากขวาไปซา้ ย,จ ากลา่ ง ขึ้นไปข้างบนตัวเลือกทั้งหน้าแนวนอนพลิกกลับและหน้าแนวตั้งพลิกกลับเหมาะสำ�หรับเอกสารที่เป็นภาษาเอเซีย(จีน, ญี่ปุ่น,เกาหลีเป็นต้น) PrintPageBorderวาดกรอบเพื่อล้อมรอบหน้าเอกสารPDFระหว่างหน้าที่มีการพิมพ์แบบN-up Auto-R otateP agesป รับเปลีย่ นต�ำ แหน่งแ ละทศิ ทางไฟล์P DFให้เหมาะสมกบั ต �ำ แหน่งท มี่ กี ารระบุไว้ในคณ ุ สมบัติ ของเครื่องพริ้นเตอร์ระหว่างหน้าที่มีการพิมพ์แบบN-up ChoosePaperSourceByPDFPageSize(ส�ำ หรับWindowsเท่านั้น)ใช้ขนาดหน้าPDFเพื่อกำ�หนดถาด กระดาษมากกว่าตัวเลือกในตัวเลือกนี้เหมาะสำ�หรับพิมพ์PDFที่บรรจุหน้าที่มีหลายๆขนาดบนเครื่องพริ้นเตอร์ที่มี ถาดกระดาษหลายขนาดแตกต่างกัน PrintToFile(สำ�หรับWindowsเท่านั้น)เพื่อสร้างไฟล์Postscriptที่เจาะจงอุปกรณ์ไฟล์ผลลัพท์จ ะบรรจุรหัส และข้อมูลส�ำ หรับควบคุมคุณสมบัติเฉพาะของอุปกรณ์ เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีกว่า เมื่อต้องการสร้างไฟล์ PostScript, ให้ ใช้คำ�สั่งSaveAsPostScript Note:คุณไม่จำ�เป็นต้องมีเครื่องพิมพ์Postscriptเพื่อท ี่จะทำ�การสร้างไฟล์Postscript Print Color As Black (สำ�หรับ Windows เท่านั้น) บังคับสที ั้งหมด ที่ไม่ใช่สีขาว เพื่อพิมพ์ออกมาเป็นสีดำ� ตัว เลือกนี้จะมีประโยชน์มากสำ�หรับงานพิมพ์ภาพวาดทางด้านวิศวกรรมที่มีเส้นบางๆที่มีสีประกอบอยู่ด้วย Printing Tips เมื่อคุณเชื่อมต่อไปที่อินเทอร์เน็ต ตัวเลือกนี้จะเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ Adobe เพื่อเข้าไปดูข้อมูล ต่างๆและวิธีแก้ปัญหาของการพิมพ์งาน Advancedเปิดpanelsต่างๆเพื่อเข้าไปกำ�หนดตัวเลือกเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพิมพ์ตัวเลือกนี้ให้มานี้จะมีการ แปรเปลี่ยนไปตามโปรแกรมAcrobat SummarizeCommentsสร้างข้อมูลแยกเพื่อพิมพ์commentsที่มีอยู่ในเอกสารตัวเลือกนี้จะไม่มีให้มาเมื่อ คุณท ำ�การพิมพ์จากโปรแกรมwebbrowserต่างๆหรือคุณท�ำ การพิมพ์หลายๆเอกสารในPDFpackages
พิมพ์บางส่วนของหน้า
การสั่งพิมพ์ Comment
1 . 2. 3. 4.
เลือกTools>Select&Zoom>เครื่องมือSnapshot ลากล้อมรอบพื้นที่ที่คุณต้องการจะพิมพ์ Acrobatจะทำ�สำ�เนาพื้นทีค่ ุณเลือกเก็บไว้ที่clipboard เลือกFile>Printเพื่อพ ิมพ์พื้นที่ทคี่ ุณเลือก
Page 71
1 . เลือกคำ�สั่ง File > Print 2. ที่หน้าต่าง Print เลือก Summarize Comment หรือเลือกคำ�สั่ง Comments > Print with Summary Comment
3. ที่หน้าต่าง Summarize Options กำ�หนดเงื่อนไขของการพิมพ์ Comment 4. จากนั้น คลิกปุ่ม Print Summary Comment
Page 72