เพราะเหตุใดแนวคิดเรื่องถิ่นเดิมของชนชาติไทยในบริเวณเทือกเขาอัลไต จึงมิได้รับการยอมรับในปัจจุบัน เพราะเหตุใดแนวความคิดที่เชื่อว่าคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตจึงไม่ได้รับความเชื่อถือ ใครเป็นเจ้าของแนวคิด เรื่องคนไทยเคยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต ใครเป็นผู้ริเริ่มเสนอแนวคิดที่ว่า ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ในบริเวณตอนกลางของจีน แนวคิดเรื่องถิ่นเดิมของชนชาติไทย แนวคิดใดได้รับการยอมรับมากที่สุด ปัจจุบันการศึกษาเรื่องถิ่นเดิมของชนชาติไทยยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน เพราะเหตุใด แนวคิดที่ว่าถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณตอนใต้และตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ตลอดจนรัฐอัสสัมของอินเดีย คนไทยมาจากตอนใต้ของจีน หลักฐาน

เพราะเหตุใดแนวคิดเรื่องถิ่นเดิมของชนชาติไทยในบริเวณเทือกเขาอัลไตจึงไม่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน

อาจารย์จุฬาฯ ระบุคนไทยไม่ได้มาจากเทือกเขาอัลไต ชี้ในดินแดนไทยมีคนหลายกลุ่มอาศัยมานานแล้ว ขณะที่เทือกเขาอัลไตอยู่ห่างจากไทยมาก

อาจารย์จุฬาฯ ระบุคนไทยไม่ได้มาจากเทือกเขาอัลไต ชี้ในดินแดนไทยมีคนหลายกลุ่มอาศัยมานานแล้ว ขณะที่เทือกเขาอัลไตอยู่ห่างจากไทยมาก

เมื่อวันที่ 19 ก.พ. นาย เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ระบุว่า เห็นมีการโพสต์เกี่ยวกับประเด็นเรื่องคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตหรือไม่เป็นจำนวนมาก จึงขอสรุปว่า คนไทยไม่ได้มาจากเทือกเขาอัลไต เนื่องจาก หลักฐานทางโบราณคดีและทางพันธุกรรม บอกว่ามีกลุ่มคนหลายกลุ่ม ที่อยู่ในแดนสุวรรณภูมินี้มานานแล้วตั้งแต่ก่อนยุคสุโขทัย และมีการอพยพเคลื่อนย้าย ผสมปนเปกันอยู่ตลอด

อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ระบุว่า แนวคิดเรื่องคนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตเมื่อ 6 พันปีก่อน แล้วมาอยู่แถวลุ่มแม่น้ำแยงซี ก่อนจะถูกตีถอยร่นมาทางสุวรรณภูมิ นั้นมาจากงานเขียนของ ขุนวิจิตรมาตรา ... แต่ปัจจุบัน ไม่ได้รับการยอมรับแล้ว เหตุผลสำคัญ คือ การที่เทือกเขาอัลไตนั้นอยู่ถึงสุดเขตประเทศมองโกเลีย (ดูรูปประกอบ) ห่างไกลจากประเทศไทยมาก

แนวคิดที่ผมค่อนข้างเห็นด้วยมากกว่า นั้นสรุปโดยอาจารย์ สุจิตต์ วงศ์เทศ ไว้ว่า

"คนไทยได้อาศัยอยู่ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยเกิดจากการรวมตัวกันของแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกันจนเป็นประเทศเดียวกัน เนื่องจากวัฒนธรรมพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน และการที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดียเหมือนกัน โดยถือว่าคนที่พูดภาษาที่คล้ายคลีงกันเป็นบรรพบุรุษทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดพัฒนาการมาเป็นคนไทยในปัจจุบัน"

ดูรูปประกอบและเนื้อหาเพิ่ม เรื่อง คนไทยไม่ได้อพยพมาจากเทือกเขาอัลไต ที่ //www.thaichinese.net/thaic…/thais-were-not-from-altai/ (อันนี้เขียนละเอียดดีครับ วิเคราะห์ไว้ชัดเจนมาก)

ดูเพิ่มเรื่องแนวคิดต่างๆเกี่ยวกับการอพยพของคนไทย ที่ //th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%97

ความเชื่อเรื่องคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตนั้นถือเป็นนิทานหลอกเด็กที่ทรงอิทธิพลต่อสังคมไทยอย่างมาก ดังเห็นได้จากเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้ นายกฯ ก็ยังเชื่อว่า คนไทยมาจากที่นั่น กระทั่งปัจจุบันทหารบางหน่วยงานก็ยังเที่ยวตระเวนไปอบรมเผยแพร่ความเชื่อผิดๆ ให้กับครูและนักเรียนทั่วประเทศอย่างน่าเป็นห่วง 

 

ความเชื่อว่า คนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตนี้มีต้นทางมาจากหนังสือเรื่อง หลักไทย พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2471 เขียนโดย ขุนวิจิตรมาตรา เป็นหนังสือที่ทำให้ชนชั้นนำสยามในเวลานั้นตื่นเต้นมาก เพราะช่วยตอบคำถามคาใจมานานว่า คนไทยมีจุดกำเนิดจากแผนที่ตรงไหนของโลก ทำให้ความเชื่อดังกล่าวเผยแพร่ลงสู่หนังสือแบบเรียน และกระจายไปในสังคม 

 

อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา เมื่อบรรยากาศทางการเมืองดีขึ้น จีนเปิดประเทศ และมีความก้าวหน้าของความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์โบราณคดีเพิ่มขึ้น จึงเกิดการค้นคว้าเรื่องคนไทยขึ้นอีกครั้ง นักวิชาการที่ออกมาโต้แย้งอย่างแข็งขันในเวลานั้นคือ สุจิตต์ วงษ์เทศ ว่าไม่มีร่องรอยของคนไทยหรือคนที่พูดภาษาตระกูลไทอยู่แถบเทือกเขาอัลไตเลย เพราะเป็นภูเขาน้ำแข็ง ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย 

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เทือกเขาอัลไตนั้นไม่ใช่ภูเขาน้ำแข็งที่ไม่มีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่เลย คือจะไม่มีก็เฉพาะส่วนยอดเขา หากแต่พื้นที่รอบๆ นั้นมีหลักฐานทางโบราณคดีมากมาย โดยเฉพาะหลุมฝังศพแบบเนินดินรูปวงกลม ที่ทางรัสเซียเรียกว่า курга́н หรือเคอกัน (Kurgan) ซึ่งภายใต้บรรจุไปด้วยทรัพย์สมบัติมีค่าที่อุทิศให้กับผู้ตาย 

 

ซิเถียน ชนเผ่าโบราณแห่งเทือกเขาอัลไต

เรื่องราวของชาวซิเถียนค่อยๆ เลือนลางไปจากความทรงจำของคน จนกระทั่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งชาวยุโรปกำลังตื่นตัวกับการสะสมของเก่า (เรียกว่าพวก Antiquarian) ทำให้เกิดการออกสำรวจ เพื่อหาต้นกำเนิดของชาวยุโรป ส่งผลทำให้ค้นพบสุสานโบราณของชาวซิเถียนที่เรียกว่า ‘เคอกัน’ 

 

ในยุคนั้นจักรพรรดิปีเตอร์มหาราชของรัสเซีย เป็นหนึ่งในผู้ที่สะสมวัตถุล้ำค่าของชาวซิเถียนไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงของพวกนี้ในพิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หลังจากนั้นจึงทำให้นักโบราณคดีรัสเซียค้นคว้าโบราณคดีในเขตเทือกเขาอัลไต เช่นเดียวกับนักโบราณคดีจีนและมองโกเลีย 

 

หวีทองคำพบในสุสานของชาวซิเถียน หวีนี้ทำโดยช่างชาวกรีก ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ

(Photo: Wikipedia)

 

ในอดีต เทือกเขาอัลไตไม่ได้เป็นดินแดนที่ร้างผู้คน หากแต่เคยมีชาวซิเถียน (Scythians) บางครั้งถูกเรียกว่า ศะกะ (Saka) อาศัยอยู่ ซึ่งพวกเขาเป็นชนเผ่าที่ใช้ชีวิตบนหลังม้า เป็นนักรบที่กล้าหาญ เลี้ยงสัตว์ และร่ำรวยจากเส้นทางสายไหม โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางขนถ่ายสินค้าระหว่างกรีก เปอร์เซีย อินเดีย และจีน 

 

แต่จีนไม่ได้เรียกคนกลุ่มนี้ว่า ซิเถียน หากแต่เรียกว่า ซงหนู (ดังปรากฏในบันทึกของ ซือหม่า เชียน นักประวัติศาสตร์ชาวจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น แปลว่า พวกป่าเถื่อนบนภูเขา) ซึ่งขอให้เข้าใจว่าคำว่า ซงหนู เป็นคำกว้างที่จีนใช้เรียกพวกป่าเถื่อนเร่ร่อนทางเหนือ คนกลุ่มนี้จึงมีหลากหลายชาติพันธุ์อย่างมาก และก็เป็นคู่ปรับคู่แค้นของชาวจีนมาตลอด จนกระทั่งจิ๋นซีฮ่องเต้ต้องสร้างกำแพงเมืองจีนมาป้องกัน

 

สอดคล้องกับที่นักประวัติศาสตร์กรีก เฮโรโดตัส ได้กล่าวว่า พวกซิเถียนประกอบด้วย 4 กลุ่มย่อย คือ อุชาเต้, คาเทียรอย, ทราสเปียนส์ และพาราลาเต ซึ่งกลุ่มหลังนี้ถือว่าเป็นพวกที่มีเลือดกษัตริย์ 

 

แต่เอาเป็นว่านักโบราณคดีหลายคนเชื่อกันว่า ชาวซิเถียนนี้พูดภาษาในตระกูลอิหร่าน (ไม่ใช่ไทแน่ๆ) และเร่ร่อนในเขตทุ่งหญ้าสเตปแถบเทือกเขาอัลไตระหว่าง 800-300 ปีก่อนคริสตกาล (หรือก็คือเมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว) ถึงหลังจากนั้นจะมีคนกลุ่มอื่นๆ เคลื่อนย้ายเข้ามาในพื้นที่นี้ แต่ก็ไม่มีกลุ่มคนไทเลย

 

ด้วยความเป็นกลุ่มชนบนหลังม้า ทำให้เคลื่อนย้ายถิ่นฐานได้ในระยะทางไกลและรวดเร็ว จากหลักฐานเท่าที่คนกลุ่มนี้เดินทางเข้าไปยังยุโรปโดยข้ามเทือกเขาคอเคซัส และเข้าไปยังเขตตะวันออกกลาง โดยเข้าไปมีบทบาททั้งในทางการเมืองและสงคราม ดังเห็นได้จากมีภาพสลักของชาวซิเถียน (ศะกะ) บนภาพแกะสลักหินในสุสานของกษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่าน) ในราชวงศ์อคิเมนิด เมื่อ 480 ปีก่อนคริสต์ศักราช 

 

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้หลักฐานของพวกซิเถียนไม่พบเฉพาะในเขตเทือกเขาอัลไตเท่านั้น หากกระจายไปหลายภูมิภาค โดยมีหลักฐานสำคัญที่แสดงร่องรอยของพวกเขาคือ หลุมฝังศพแบบเคอกัน และเครื่องประดับรูปสัตว์

 

เจ้าหญิงในหลุมฝังศพน้ำแข็งที่เทือกเขาอัลไต

หลุมฝังศพของพวกซิเถียนหรือซงหนูมักทำเป็นเนินดินรูปวงกลมแล้วเอาหินมาทับไว้ด้านบน เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์หรือคนขุดลงไป ขนาดของหลุมศพมีหลากหลาย แตกต่างไปตามฐานะของผู้ตาย บางที่มีขนาดกว้างแค่ 5 เมตร แต่บางแห่งใหญ่มากถึง 40 เมตรก็มี 

 

เนินฝังศพรูปวงกลม หรือเคอกัน ที่เมืองซาเคอ์ข่าน ประเทศมองโกเลีย (Sabloff 2009:fig.9.1)

 

โลงศพไม้หรือหินจะใช้บรรจุร่างของผู้ตาย โดยฝังลึกอยู่กลางเนิน โดยมากฝังศพในท่านอนหงายเหยียดยาว แต่ก็มีบางศพที่ถูกจัดท่าแบบนอนงอเข่า มักหันศพไปทางทิศตะวันตกหรือตะวันออก

 

สิ่งของที่อุทิศให้กับศพมักประกอบไปด้วยอาวุธ เครื่องประดับ หัวเข็มขัด ภาชนะดินเผา อุปกรณ์การกิน เพื่อให้ไปใช้โลกหน้า และเหล็กปากม้าด้วย บางแห่งพบการฆ่าม้าบูชายัญลงไปกับผู้ตายด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมชาวซิเถียน เช่นเดียวกับเครื่องประดับ ซึ่งมักพบว่า นิยมทำเป็นรูปสัตว์ เช่น กวาง เสือ หรือทำเป็นฉากของสัตว์กำลังต่อสู้กัน เช่น ภาพหมาป่ากำลังกระโจนกัดม้า เป็นต้น

 

หัวเข็มขัดรูปหมาป่ากำลังกัดม้า อายุประมาณ 400 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวซิเถียนนิยมเครื่องประดับแบบนี้ เพราะสะท้อนถึงความกล้าหาญ 

(Photo: wikipedia)

 

จากการสำรวจของนักโบราณคดีนานาชาติพบว่า หลุมฝังศพแบบเคอกันนี้กระจุกตัวอย่างมากในเขตภาคกลางของมองโกเลีย และทางตอนใต้ของไซเบียเรีย โดยมักมีขนาดใหญ่มากเป็นพิเศษ จนบางครั้งถึงกับเรียกว่า เป็นหลุมฝังศพของพวกข่าน เช่น สุสานที่เมืองดนยอน อูอุล หมายเลข 2 ทำให้นักโบราณคดีบางคนเชื่อว่า พื้นที่ทั้งสองแห่งนี้เป็นศูนย์กลางอำนาจของพวกซิเถียน และอาจมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกัน

หลุมฝังศพแบบสุสานขนาดใหญ่ที่โนยอน อูอุล (Noyon Uul) (Brosseder 2009)

 

ด้วยความหนาวเย็นทำให้ศพถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในน้ำแข็ง เนินฝังศพเคอกันบางแห่งจึงพบศพของผู้ตายที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ที่มีชื่อเสียงอย่างมากคือ มนุษย์น้ำแข็งไซบีเรีย หรือรู้จักกันในชื่อ ‘เจ้าหญิงแห่งเทือกเขาอัลไต (Altai Princess)’ 

 

เจ้าหญิงตายเมื่อราว 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยนักโบราณคดีได้ขุดค้นพบเมื่อ ค.ศ. 1993 ในเนินฝังศพเคอกัน เขตที่ราบสูงอูโคก สาธารณรัฐอัลไต ประเทศรัสเซีย ใกล้กับชายแดนจีน นักโบราณคดีที่ขุดค้นคือ นาตาเลีย โปโลสมาก ระบุว่า เจ้าหญิงมีเชื้อสายผสมกันระหว่างซิเถียนกับไซบีเรีย จากการศึกษาด้านวงปีไม้จากโลงศพของเธอพบว่า เธอถูกฝังในช่วงฤดูร้อน

 

ศพของเจ้าหญิงแห่งเทือกเขาอัลไต สังเกตด้วยว่า มีการสักบนร่างกายด้วย ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมเด่นของชาวซิเถียน 

(Photo: wikipedia)

 

จากการศึกษากายภาพของเธอพบว่า เจ้าหญิงน่าจะตายเมื่ออายุราว 20-30 ปี แต่ไม่ทราบสาเหตุของการตาย อาจเป็นโรคมะเร็งเต้านม ไม่ห่างจากศพ พบกัญชาและฝิ่น ซึ่งคงใช้สำหรับบรรเทาอาการเจ็บปวดก่อนที่เสียชีวิต จึงมีการฝังลงไปด้วย รวมถึงยังมีเมล็ดพืชวางอยู่บนจานหิน ซึ่งคนรักของเธอคงหวังให้นำไปใช้ในโลกหน้า เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย 

 

ในหลุมฝังศพของเจ้าหญิงค้นพบโต๊ะไม้ขนาดเล็ก 2 ตัว ซึ่งใช้วางอาหารและเครื่องดื่ม เนื้อม้าและแกะ โยเกิร์ตถูกนำใส่ไว้ในถ้วยไม้ และเครื่องดื่มบางอย่างบรรจุอยู่ในแก้วเขาสัตว์ ส่วนตัวเธอสวมเสื้อผ้าของชนชั้นสูง เสื้อผ้าขนสัตว์ มีคันฉ่องสำริดที่แกะสลักรูปกวาง เครื่องประดับศีรษะที่มีความสูงถึง 3 ฟุต ซึ่งทำด้วยทองคำ รวมถึงยังประดับด้วยของมีค่าอื่นๆ อีก ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้นักโบราณคดีลงความเห็นว่า เธอคือเจ้าหญิง (ความจริงเรื่องการค้นพบและการเก็บรักษาร่างของเจ้าหญิงนี้นับว่าดราม่ามากพอดูในหมู่ของนักโบราณคดี ถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟังครั้งหน้าๆ)

 

ภาพสันนิษฐานของเจ้าหญิงแห่งอัลไต และรอยสักบนร่างกายของเธอ 

(Photo: www.stormfront.org)

 

นอกจากหลุมฝังศพแล้ว ในเขตอัลไตยังพบหลักฐานโบราณคดีประเภทอื่นๆ ที่สัมพันธ์กับพวกซิเถียนอีกหลายอย่าง ได้แก่ ภาพสลักหินรูปสัตว์ ซึ่งมักชอบสลักเป็นภาพของกวาง วัว และม้า โดยมักพบว่า ภาพพวกนี้มักสลักใกล้กันกับจุดที่สามารถล่าสัตว์ได้ดีที่สุด สะท้อนว่า ภาพวาดพวกนี้คงเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมล่าสัตว์ หรือมีพิธีกรรมการปักหินที่เรียกว่า หินตั้ง (Megalithic) เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมบวงสรวงเทพเจ้าอีกด้วย 

 

ทุกวันนี้ยังมีปริศนามากมายให้ค้นหาเกี่ยวกับร่องรอยของมนุษย์ในเขตเทือกเขาอัลไต แต่การสืบค้นยังเป็นไปได้ยาก เพราะปีหนึ่งจะทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว พื้นที่จะหนาวเหน็บและเป็นน้ำแข็ง ทำให้ไม่สามารถขุดค้นทางโบราณคดีได้ตลอดทั้งปี 

 

บางครั้งผมก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ในโลกทุกวันนี้ที่เราสามารถสืบค้นอะไรได้ง่ายขึ้น แต่ทำไมจึงยังมีคนเชื่อความรู้ทางประวัติศาสตร์แบบเก่าๆ กันอยู่อีก หรือเป็นเพราะเขาไม่ติดตามความเปลี่ยนแปลงของความรู้ หรือเป็นเพราะมันยังมีประโยชน์ทางการเมืองต่อพวกเขา หรือพวกเขาไม่อยากให้จินตนาการของความเป็นไทยในอุดมคติถูกท้าทาย 

เพราะเหตุใดแนวคิดเรื่องถิ่นเดิมของชนชาติไทยในบริเวณเทือกเขาอัลไต จึงมิได้รับการยอมรับในปัจจุบัน

แนวคิดที่ ๑ เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีนแถบเทือกเขาอัลไต ไม่ เป็นที่ยอมรับของนักประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน เนื่องจากมีอุปสรรคในการเดินทางไปตั้งถิ่นฐานของคนไทย และ ไม่น่าจะอยู่ไกลถึงเทือกเขาอัลไตที่มีอากาศหนาวเย็นมาก นอกจากนั้นการเดินทางลงมาทางใต้ต้องผ่าน ทะเลทรายโกบีอันกว้างใหญ่ไพศาล

เพราะเหตุใดแนวความคิดที่เชื่อว่าคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตจึงไม่ได้รับความเชื่อถือ

ต่อมาภายหลัง เมื่อมีการศึกษาทางด้านโบราณคดีและด้านภูมิศาสตร์ ทำให้แนวความคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับอีกต่อไป เพราะทางแถบบริเวณเทือกเขาอัลไตของเอเชียกลางนั้นเป็นเขตแห้งแล้ง อากาศมีความหนาวเย็น และถ้าอพยพโยกย้ายลงมาก็ต้องผ่านทะเลทรายที่กว้างใหญ่และทุรกันดารมาก จึงไม่เหมาะสำหรับจะเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์

ใครเป็นเจ้าของแนวคิด เรื่องคนไทยเคยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต

ความเข้าใจผิดว่าคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตมาจากหนังสือเรื่อง 'หลักไทย' เขียนโดย ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ตีพิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ. 2471 หนังสือเล่มนี้ทำให้ชนชั้นนำสยามตื่นเต้นกันมาก ข้อมูลชุดนั้นลุกลามแพร่ไปสู่หนังสือแบบเรียน ท้ายที่สุดก็กระจายเข้าไปในความเชื่อของคนไทย

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก