จากชื่อบทความผู้อ่านคงจะพอเดาได้ว่าเกี่ยวข้องกับผลงานของท่านสุนทรภู่ บุคคลสำคัญของโลกด้านวรรณกรรม ไอดอลของนักแต่งคำประพันธ์หลาย ๆ คน โดยบทความนี้ครูพี่เจมส์จะพาทุกคนมารู้จักกับนิราศทั้ง 9 เรื่องของท่านสุนทรภู่
1. นิราศเมืองแกลง นิราศเรื่องแรกของสุนทรภู่ เล่าเรื่องการเดินทางจากพระราชวังหลังไปหาบิดาที่วัดป่า ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เมื่อกลางเดือนเจ็ด ปี พ.ศ. 2350 โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับบ้านเกิดของท่านสุนทรภู่ว่าเกิดที่อำเภอแกลง แต่แท้จริงแล้วเกิดที่กรุงเทพมหานคร
2. นิราศพระบาท เล่าเรื่องการตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาทที่สระบุรี ตอนปลายปี พ.ศ.2350 โดยพายเรือไปเอง ขึ้นตามลำน้ำเจ้าพระยา ขึ้นบกที่ท่าเรือแล้วเดินทางต่อโดยใช้ช้างเป็นพาหนะจนถึงพระพุทธบาท พักอยู่ 4 วันก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ โดยขบวนเรือเสด็จล่องลงมาตลอดทาง จนถึงวัดระฆังใช้เวลาเดินทางวันครึ่ง
นิราศเมืองแกลงเป็นนิราศคำกลอนเรื่องแรกของสุนทรภู่ มีความยาว 248 บท เล่าเรื่องการเดินทางไปหาบิดาที่วัดป่า ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เมื่อกลางเดือน 7 พ.ศ. 2350 สุนทรภู่แต่งนิราศเรื่องนี้เมื่ออายุย่าง 22 ปี ขณะนั้นยังเป็นโสดแต่ลอบรักอยู่กับแม่จัน เมื่อความทราบถึงกรมพระราชวังหลังจึงถูกลงโทษจำคุกทั้งสองคน เมื่อพ้นโทษสุนทรภู่ออกเดินทางไปเยี่ยมบิดาที่บวชอยู่ที่เมืองแกลง และอาจตั้งใจที่จะบวชด้วยเพราะอายุครบบวชอีกทั้งเป็นการล้างอัปมงคลที่ถูกจองจำแต่บังเอิญป่วย
ศิลปากร, กรม. ชีวประวัติและผลงานของสุนทรภู่. กรุงเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา, 2542.
นิราศเรื่องแรกของสุนทรภู่
- ดูเรือแพอัดอยู่ยัดเยียด
เขาเบียดเสียดแทรกกันสนั่นเสียง
แจวตะกูดเกะกะปะกระเชียง
บ้างทุ่มเถียงโดนดุนกันวุ่นวาย
มาถึงบางโฉลง ต. หัวป่า บ้านไร่ คลองขวางบางกระเทียม จากข้อความช่วงนี้ทำให้ผู้อ่านใน พ.ศ. นี้ จินตนาการได้ถึงสภาพภูมิประเทศสมัยนั้นได้ว่าอุดมด้วยธรรมชาติอย่างแท้จริง
- จะเหลียวซ้ายและขวาก็ป่าแสม
ตะลึงแลปูเปี้ยวเที่ยวไสว
ระหริ่งเรื่อยเฉื่อยเสียงเรไรไพร
ฤทัยไหวแว่วว่าพะงางาม
ถึงชะแวกแยดคลองสองชะวาก
สองฝั่งฟากหัวตะเข้มีมะขาม
ฯลฯ
ตะลึงแลแต่ล้วนลูกจระเข้
โดยคะเนมากมายทั้งซ้ายขวา
ซักสองร้อยลอยไล่กินลูกปลา
เห็นแต่ตากับจมูกเหมือนตุ๊กแก
ที่คลองขวางนี้เองสุนทรภู่อ้างคำพังเพยโบราณว่า "จองหองพองขน" นี้มาจากอาการของลิง
- คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่ง
เขาว่าลิงจอมหองมันพองขน
ทำหลุกหลิกเหลือกลานพานลุกลน
เขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพอง
ผ่านคลองปากตะครอง คลองบางเหี้ย แล้วหยุดพักรับประทานอาหารพอหายเหนื่อยและพระจันทร์ขึ้นสว่างดีแล้ว เดินทางต่อไปถึง บางบ่อ บ้านระกาด บางสมัคร บ้านมะพร้าว บางวัว บ้านบางมังกร
( บางปะกง ปัจจุบัน ) เขาสำมุก ( สามมุก ) แวะพักค้างคืนที่นี่ ที่นี่เป็นชุมชนชาวประมงที่ใหญ่โต ประชาชนทำมาหากินขยันขันแข็งจนร่ำรวยเป็นส่วนใหญ่แต่สุนทรภู่กลับแสดงทัศนะไว้ว่า
- จึงมั่งคั่งตั้งบ้านในการบาป
แต่ต้องสาปเคหาให้สาสม
จะปลูกเรือนก็มิได้ใส่ปั้นลม
และได้พรรณนาบ้านเมือง ตลาดร้านค้าไว้ดังนี้
- เที่ยวชำเลืองแลชมตลาดเรียง
เป็นสองแถวแนวถนนคนสะพรั่ง
บางยืนบางนั่งร้านประสานเสียง
ดูรูปร่างนางบรรดาแม่ค้าเคียง
เห็นเกลี้ยงเกลี้ยงกล้องแกล้งเป็นอย่างกลาง
หายคอยแครงแมงภู่กับปูม้า
หมึกแมงดาหอยดองรองกระถาง
พวกเจ็กจีนสินค้าเอามาวาง
มะเขือคางแพะเผือกผักกาดดอง
ที่ขายผ้าหน้าถังก็เปิดโถง
ล้วนเบี้ยโป่งหญิงชายมาขายของ
สักยี่สิบหยิบออกเป็นกอบกอง
พี่เที่ยวท่องทัศนาจนสายัณห์
เมื่อเสร็จภารกิจที่รับคำสั่งมาจากเจ้านายแล้วสุนทรภู่ก็ออกเดินทางทางบกโดยเดินไปถึงหนองมน บ้านไร่ และบางพระ ที่นี่สุนทรภู่มีเพื่อนชื่อในมือ พักค้างคืนหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นเดินเลียบชายหาดไปถึงศรีมหาราชา ( ศรีราชา ) แล้วเดินลัดเข้าดงไปผ่านเขาขวาง บางทีชาวบ้านเรียกทุ่งสงขลา มาถึงบางละมุง ซึ่งเป็นเมืองมีผู้คนอยู่หนาแน่น ที่นี่เป็นที่กรมการเมือง สุนทรภู่พูดถึงแมงดาไว้หน้าคิดดังนี้
ในกระแสแลล้วนแต่โป๊ะล้อม
ลงอวนอ้อมโอบสกัดเอามัจฉา
โอ้คิดเห็นเอ็นดู*หมู่แมงดา
ตัวเมียพาผัวลอยเที่ยวเล็มไคล
เขาจับตัวผัวทิ้งไว้กลางน้ำ
ระลอกซ้ำสาดซัดให้ตัดษัย
พอเมียตายฝ่ายผัวก็บรรลัย
โอ้เหมือนใจที่พี่รักภัคินี
แม้น้องตายที่จะวายชีวิตด้วย
เป็นเพื่อนม้วยมิ้งแม่ไปเมืองผี
แล้วไปพักค้างคืนที่ตำบลนาเกลือ จากตำบลนาเกลือนี้ คณะสุนทรภู่หลงทางเดินวนเวียนไปมาแล้วมาออกที่จอมเทียนได้เข้าไปพักอาศัยกับขุนราม สุนทรภู่ได้เขียนกลอนไว้คำนึงซึ่งบอกความรู้สึกตนเองว่า