รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile
เมื่อไม่นานมานี้ มีกระแสข่าวว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังกำลังศึกษาแนวทางการจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ระบบ 2 อัตรา คือ เก็บที่ 7% กับสินค้าทั่วไป และเก็บมากกว่า 7% กับสินค้าฟุ่มเฟือย โดยการศึกษาเรื่องนี้ทำมาระยะหนึ่งแล้ว และคาดว่าถ้าจัดเก็บภาษีแบบนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ภาครัฐได้ถึง 1 แสนล้านบาท
แต่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะออกมาปฏิเสธแล้วว่า ยังไม่ได้หยิบแนวทางนี้มาหารือ แต่ไหน ๆ มีประเด็นนี้ขึ้นมาแล้ว พี่ทุยก็เลยอยากชวนทุกคนมาคุยเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มกัน ทั้งของไทยและต่างประเทศ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT คืออะไร ? เก็บ 2 อัตรา ได้มั้ย?
เป็นภาษีที่ภาครัฐเรียกเก็บจากผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือบริการในแต่ละขั้นตอนการผลิตและจำหน่าย ทั้งที่ผลิตในประเทศและที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยผู้ประกอบการไปเก็บต่อจากผู้ซื้ออีกที (ภาษีทางอ้อม)
การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายในฝรั่งเศส ปี 1954 โดย Maurice Laure’ หรือบิดาแห่งระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นคนเอาแนวคิด VAT ในเยอรมัน มาสร้างเป็นระบบในฝรั่งเศส และปลายศตวรรษที่ 1960 มีประเทศที่นำระบบ VAT ไปใช้น้อยกว่า 10 ประเทศเอง
ด้านไทยเริ่มจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ครั้งแรกในวันที่ 1 ม.ค. 2535 ในอัตรา 10% และหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 มีการออกพระราชกฤษฎีกา ลดอัตราภาษี VAT เหลือ 7% เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน โดยเปิดช่องไว้ว่าจะพิจารณาทุก ๆ 2 ปี แต่จนถึงปี 2565 ก็ยังเก็บ 7% อยู่ (มีผลถึง 30 ก.ย. 2566) นั้นหมายความว่า ไทยมีโอกาสที่จะปรับปรุงโครงสร้างการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม ก.ย. 2565 ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังกำลังศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ระบบ 2 อัตรา คือ
อัตราที่ 1 เก็บที่ 7% สินค้าทั่วไป
อัตราที่ 2 เก็บมากกว่า 7% สินค้าฟุ่มเฟือย
ซึ่งก็ยังไม่ได้ประกาศเเนวทางที่ชัดเจน เเต่หากทางรัฐบาลดำเนินการจัดเก็บภาษีแบบนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ภาครัฐได้ถึง 1 แสนล้านบาท จากข้อมูลผลการจัดเก็บรายได้ภาษี ตามปีงบประมาณ 2565 ช่วงเวลา ต.ค. 2564 – ส.ค. 2565 คือ 849,625 ล้านบาท ส่วนปีงบประมาณ 2564 ช่วงเวลา ต.ค. 2563 – ก.ย. 2564 คือ 793,243 ล้านบาท
ผู้ประกอบการแบบไหนต้องจดทะเบียน VAT ?
มียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT เพื่อเรียกเก็บภาษีจากผู้ซื้อนำส่งกรมสรรพากร
(ถ้าเป็นกิจการที่กฎหมายยกเว้นก็ไม่ต้องจด VAT)
สูตรคำนวณ VAT
VAT = ราคาสินค้าหรือบริการ X 7%
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 2 อัตรา กับรายได้ของรัฐบาล
พี่ทุยต้องบอกว่า VAT ก็เป็นช่องทางรายได้อย่างหนึ่งของภาครัฐ ซึ่งตัวแปรสำคัญที่ประเทศต่าง ๆ ใช้พิจารณาว่าจะจัดเก็บภาษี VAT เท่าไหร่ ก็คือ สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศของตัวเอง บวกกับสถานการณ์การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ
โดยหลังจัดเก็บภาษี VAT มาแล้ว เงินเหล่านี้ก็จะถูกนำกลับมาหมุนเป็นงบประมาณแผ่นดิน เพื่อสวัสดิการของประชาชน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการพัฒนาประเทศชาติในด้านต่าง ๆ
คราวนี้ถ้าลองวิเคราะห์แนวคิดการเก็บ VAT 2 อัตรา คือ ถ้าเป็นสินค้าทั่วไปเก็บ 7% สินค้าฟุ่มเฟือยเก็บมากกว่า 7% พี่ทุยมองว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ ก็คือ ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ก็ต้องจ่ายค่าสินค้าแพงขึ้นกว่าเดิมอีก สมชื่อคำว่า “ฟุ่มเฟือย” ส่วนรัฐบาลก็จะมีโอกาสหารายได้ภาษีเข้าประเทศได้มากขึ้น จากรายได้ VAT ส่วนของสินค้าฟุ่มเฟือยที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ถึงแม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะออกมาปฏิเสธแล้วว่า ยังไม่ได้มีความคิดจะเก็บ VAT 2 อัตราตอนนี้ แต่ถ้าไปดูในต่างประเทศ พี่ทุยต้องบอกว่า มีหลายประเทศที่ไม่ได้เรียกเก็บ VAT อัตราเดียวเหมือนกันทุกประเภทสินค้าและบริการ แต่ว่าแบ่งอัตราการเก็บ VAT ออกเป็นหลายอัตรา โดยเน้นเก็บภาษีสินค้าที่เป็นพื้นฐานจำเป็นต่อชีวิตประจำวันไม่สูง แล้วเก็บแพงขึ้นกับสินค้าประเภทอื่น โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย
มีข้อสังเกตอีกอย่างที่พี่ทุยอยากบอก ก็คือ การเก็บภาษี VAT นั้น ในบางประเทศ ก็ไม่ได้ใช้ชื่อว่า VAT แต่ใช้ชื่อว่า ภาษีสินค้าและบริการ หรือ Goods and Services Tax (GST) ซึ่งพี่ทุยก็ไปรวบรวมรูปแบบการจัดเก็บภาษีของประเทศหลัก ๆ ในโลกมาแชร์ให้เพื่อน ๆ ดังนี้
ถ้าดูจากตารางก็จะพบว่า มีบางประเทศที่ปรับลด VAT ลงมา หลังจากช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งก็คล้าย ๆ กับไทยที่ปรับลดภาษี VAT ลงมา หลังจากมีวิกฤตต้มยำกุ้ง เพื่อหวังจะฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตได้
นอกจากนี้ก็จะพบว่ามีหลายประเทศเลยที่ไม่ได้เรียกเก็บ VAT/GST ในอัตราเดียวตายตัว แต่เก็บหลายอัตรา โดยพี่ทุยขอยกตัวอย่างการจัดเก็บภาษี GST ของอินเดีย ที่มีการเรียกเก็บกับสินค้าฟุ่มเฟือยในอัตราที่สูงมากคือ 28% แล้วกัน
แนวการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่อินเดีย
อินเดียเพิ่งจะมีการปรับเปลี่ยนอัตราภาษี GST ใหม่เมื่อต้นปี 2022 โดยจะเก็บภาษี GST ซึ่งเป็นภาษีทางอ้อม กับสินค้าและบริการหรู เช่น บริการในโรงแรม สปา และรีสอร์ท รวมถึงรถแบรนด์หรู รวมถึงสินค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มสินค้าบาป ในอัตราสูงสุด 28%
พี่ทุยขอแยกสินค้าและบริการที่ถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่ต่างกันในอินเดีย จากข้อมูล ณ ก.ย. 2022 เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ดังนี้
อัตรา GST ต่อ สินค้าและบริการ ประเภทต่าง ๆ
ยกเว้นภาษี : ผ้าอนามัย วัตถุดิบที่ใช้ทำไม้กวาด เกลือ วัตถุดิบประกอบอาหารทั้งหมด ไข่ หนังสือพิมพ์ หนังสือภาพสำหรับเด็ก สมุดระบายสี โรงแรมทั้งหมดที่เก็บค่าห้องพักต่ำกว่า 1,000 รูปีต่อคืน รวมถึงรูปปั้นเทพเจ้า เทพธิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ทำจากหิน หินอ่อน ไม้ ปราศจากโลหะมีค่าอย่างทองคำและเงิน
5% : เครื่องเทศ น้ำมันพืช ขนมปัง พิซซ่า ปลา ชา กาแฟ (ที่ไม่ใช่กาแฟสำเร็จรูป) อาหารเด็ก น้ำตาล ถั่ว ขนมหวาน ผัก ยาที่จำเป็นต่อการช่วยชีวิต ปุ๋ย และธูป ร้านอาหารในโรงแรมที่คิดค่าห้องพักน้อยกว่า 7,500 รูปีต่อคืน บริการขนส่งมวลชนต่าง ๆ อาหารซื้อกลับบ้าน น้ำมันปิโตรเลียมเพื่อการขนส่ง
12% : เนื้อสัตว์แช่แข็ง ไส้กรอกเนื้อสัตว์ น้ำผลไม้ ซอส (ไม่ใช่น้ำสลัด) เค้ก น้ำตาลต้ม ผลิตภัณฑ์ทำจากนม น้ำดื่มและน้ำมะพร้าว ตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจ ตั๋วหนัง โรงแรมหรือบ้านพักที่คิดค่าห้องพัก 1,000-7,500 รูปีต่อคืน ร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายสุรา
18% : น้ำแร่ วัตถุดิบทำพาสต้า บิสกิต ขนมอบ ซุป คอร์นเฟลก ผงกะหรี่ น้ำพริกเผา ผักดอง ส่วนผสมอาหารและอาหารเสริม เครื่องปรุงรสอื่น ๆ เช่น น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ เนยโกโก้ ไอศครีม ของกินเล่น เช่น ช็อคโกแลต หมากฝรั่ง การใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเข้าพักจริงในโรงแรมน้อยกว่า 7,500 รูปี โรงแรมที่คิดค่าห้องพัก 2,500-5,000 รูปีต่อคืน ร้านอาหารในโรงแรมที่คิดค่าห้องพักมากกว่า 7,500 รูปีต่อคืน บริการจัดเลี้ยง บริการโทรคมนาคม และบริการไอทีอื่น ๆ
28% : การใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเข้าพักจริ่งในโรงแรมมากกว่า 7,500 รูปี โรงแรมที่มีค่าห้องพักเกิน 5,000 รูปีต่อคืน โรงแรม 5 ดาว ร้านอาหารระดับ 5 ดาว รถแบรนด์หรู บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ถ้าดูข้างต้นก็จะเห็นชัดว่า สินค้าและบริการพื้นฐานจำเป็นในชีวิตจะถูกคิดภาษี GST ในอัตราที่ต่ำมาก ๆ และการคิดภาษี GST จะแพงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสินค้าและบริการเหล่านั้น เริ่มไม่เข้าข่ายว่าจำเป็น คือ ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร หรือซื้อต่ำกว่านั้นก็ได้ แต่เต็มใจจะจ่ายแพงขึ้นเองเพื่อให้ได้สินค้าและบริการที่ดีขึ้น และอัตราภาษีก็จะขึ้นไปในระดับสูงสุดเลย เมื่อเป็นสินค้าและบริการหรูหรา
โดยรวมแล้ว พี่ทุยมองว่า การแบ่งเก็บภาษีไม่เท่ากัน โดยเรียกเก็บสินค้าหรูแพงกว่าสินค้าทั่วไป ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า คนที่มีกำลังใช้จ่ายกับสินค้าหรูได้ ก็น่าจะแบกรับต้นทุน VAT ที่เพิ่มขึ้นไหว ซึ่งก็ทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนอะไรที่เป็นสิ่งจำเป็นกับชีวิต ที่คนส่วนใหญ่หรือเกือบทุกคนจำเป็นต้องมีต้องใช้ ก็ควรคิดภาษีในอัตราที่คนทั่วไปรับไหว
แต่สิ่งสำคัญก็คือ รายได้ประเทศเพิ่มขึ้นแล้ว ควรจะนำเงินไปใช้อุดหนุนสวัสดิการ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรืออะไรที่จำเป็น ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกยินดีกับการเสียภาษี เพราะรู้สึกว่าเสียไปแล้ว ประเทศชาติได้อะไร ประชาชนในประเทศได้อะไร