����Ըա�÷ҧ����ѵ���ʵ�� ���¶֧ ��кǹ����֡�� �鹤��� ����ͧ��������˵ء�ó�ҧ ����ѵ���ʵ�� ������ѡ�ҹ�ҧ����ѵ���ʵ�����դ�������ѹ��������§�Ѻ��������������¹�ŧ ��ѧ�� ���֡�Ҩҡ�͡��÷�����͡��ê�鹵���Ъ���ͧ����ѡ��Сͺ����红������Ҥʹ�� �繡�кǹ��������㹡�����Ǻ�������������繡�кǹ��÷��ѡ����ѵ���ʵ��������鷴�ͺ ������ԧ�ͧ�ҹ�����ҡ����Ǻ����ͧ�ؤ����� ���ͤ������§���� �����Ѵਹ �դ�Ҥ�����������٧ �������ö���繻���ª��㹡�����������ѧ����
��� ��鹵�ͧ�Ըա�÷ҧ����ѵ���ʵ��
����֡�һ���ѵ���ʵ�� ��͡�кǹ����红����ŷ��١�Ǻ�����ШѴ�����ҧ���к� ��ͧ������Ըա�� �֡�ҷ����Ẻ�� �բ�鹵��ҧ � ��������Դ�ӴѺ��äԴ���ҧ���к� ���������ѡ�ҹ ��������ҧ � Ժ������ͧ��Ǥ������Ңͧ�˵ء�ó�ҧ����ѵ���ʵ�� �������㨤��������ʹյ ��������§�Ѻ�����繨�ԧ�ҡ����ش ��觻�Сͺ���¢�鹵����Ӥѭ 4 ��鹵���
����֡�һ���ѵ���ʵ���� 4 ��鹵�ѧ��� |
1. ����Ǻ�����ФѴ���͡��ѡ�ҹ ������դ����Դ���ͧ�����͢�����صҹ���Ǽ���֡�Ҩ� ��ͧ�������ѡ�ҹ����ͧ����ФѴ���͡���ҧ���Ѵ���ѧ Ref : //www2.se-ed.net/nfed/history/index_his.html 14/02/2008 |
ตีความหลักฐาน หรือการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล เป็นการทำความเข้าใจว่าหลักฐานนั้นมีความหมายอย่างไร หรือบอกข้อเท็จจริงอะไรแก่ผู้ศึกษาในการตีความหมายผู้ศึกษาต้องพยายามทำใจเป็นกลาง ไม่มีอคติ ไม่พยายามตีความเบี่ยงเบนให้ตรงกับแนวคิดหรือความเชื่อของตน
การวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล เพื่อศึกษาว่าข้อมูลทั้งหลายมีความสอดคล้องหรือขัดแย้งกันอย่างไร จากนั้นนำข้อมูลทั้งหลายมาวิเคราะห์หรือแยกแยะประเด็น คือ สาเหตุ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผลของเหตุการณ์แล้วสังเคราะห์หรือรวมประเด็นต่างๆเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ตามประเด็นที่ต้องการศึกษา
เรื่องราวในประวัติศาสตร์มากมาย ที่มีคำอธิบายที่หลากหลายบางครั้งคำอธิบายอาจจะแตกต่างกันตรงกันข้าม ซึ่งนักเรียนจะต้องนำมาวิเคราะห์ว่าเรื่องราวที่ควรจะเป็น หรือเรื่องราวที่น่าจะถูกต้องคืออย่างไร ไม่ใช่เชื่อในคำอธิบายใดๆในทันที
การตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์
การตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือ การทำความเข้าใจว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้ข้อมูลอะไร และข้อมูลนั้นมีความหมายว่าอย่างไร
การตีความขั้นต้น
การตีความขั้นต้น เพื่อให้ได้ความหมายตามตัวอักษรหรือตามรูปแบบภายนอก ผู้ตีความควรมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องนี้
1. การใช้ถ้อยคำและสำนวนโวหาร ถ้อยคำและสำนวนโวหารเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เป็นหน้าที่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ที่ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ได้อย่างถูกต้อง
2. อิทธิพลของทัศนคติ ค่านิยม และสภาพแวดล้อมในช่วงเวลาที่บันทึกหลักฐาน เช่น หลักฐานประเภทตำนาน
3. จุดมุ่งหมายของหลักฐาน การรู้จุดมุ่งหมายของหลักฐานมีประโยชน์ในการตีความด้วย เช่น พระราชพงศาวดาร มักยกย่องสรรเสริญพระมหากษัตริย์มากเป็นพิเศษ
การตีความขั้นลึก
การตีความขั้นลึก ค้นหาทัศนคติของผู้เขียน ที่ไม่เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาอาจมี ข้อเท็จจริงบางอย่างแฝงอยู่ การตีความต้องตีความไปตามข้อเท็จจริง ห้ามตีความ ไปตามแนวคิดที่ตนเองเดาไว้ล้วงหน้า
ลักษณะของข้อมูลที่ได้จากการตีความหลักฐาน
1. ความจริง คือ สิ่งที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง และ
2.
ข้อเท็จจริง คือ ความคิด ความเชื่อ หรือข้อมูลที่ต้องการหลักฐานมายืนยันเพื่อพิสูจน์หาความจริง ข้อเท็จจริงจึงต่างกับความจริง เพราะสิ่งที่เป็นความจริงไม่มีหลักฐานอื่นใดที่จะทำให้ความจริงนั้นเปลี่ยนแปลงไป แต่ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีหลักฐานที่ดีกว่าหลักฐานเดิมมาสนับสนุน3. ความคิดเห็น เป็นสิ่งที่เกิดจากประสบการณ์ ทัศนคติ ค่านิยม อารมณ์ความรู้สึกของบุคคล แล้วแสดงออกมาให้ปรากฏเป็นคำพูดหรือข้อเขียน ซึ่งอาจมีหรือไม่มีหลักฐานประกอบก็ได้
การตรวจสอบและประเมินหลักฐาน
การประเมินคุณค่าของหลักฐาน คือ การประเมินหลักฐานผู้ศึกษาประวัติศาสตร์จะใช้ในการตรวจหลักฐานว่ามีคุณค่าและความน่าเชื่อถือเพียงพอหรือไม่ก่อนที่จะนำมาใช้ศึกษาประวัติศาสตร์
วิธีการประเมินความน่าเชื่อถือของหลักฐานแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
1. การประเมินภายนอก
การพิจารณาจากลักษณะภายนอกของหลักฐาน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้รู้จักตัวหลักฐานนั้นเป็นอย่างดี รวมทั้งรู้ว่าเป็นหลักฐานจริงหรือปลอม สิ่งที่ควรพิจารณาได้แก่
1. อายุของหลักฐาน การรู้ว่าหลักฐานสร้างหรือเขียนขึ้นเมื่อไร ทำให้เราตีความสำนวนภาษาที่ใช้ได้ถูกต้อง และเข้าใจสิ่งที่หลักฐานกล่าวถึงโดยอาศัยสภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ของยุคสมัยนั้นมาประกอบ
2. ผู้สร้างหรือผู้เขียนหลักฐาน
การรู้ว่าใครเป็นผู้สร้างหรือผู้เขียนหลักฐานทำให้เราสืบค้นได้ว่า ผู้นั้นมีภูมิหลังอย่างไร เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเหตุการณ์หรือไม่ มีอคติต่อสิ่งที่สร้างหรือเขียนหรือไม่
3. จุดมุ่งหมายของหลักฐาน การรู้จุดมุ่งหมายของหลักฐานช่วยให้ประเมินความน่าเชื่อถือได้ เช่น โคลงที่แต่งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะไม่กล่าวถึงด้านลบของพระมหากษัตริย์องค์นั้น จากหลักฐานที่ยกตัวอย่างมานั้น เมื่อนำมาใช้จะต้องแยกแยะข้อเท็จจริงออกมาให้ได้
4. รูปเดิมของหลักฐาน หลักฐานเป็นจำนวนมาไม่ใช่หลักฐานดั้งเดิม แต่ผ่านการคัดลอกต่อๆ กันมาจึงเกิดความคลาดเคลื่อนได้ หลักฐานประเภทพระราชพงศาวดารที่ผ่านการชำระมักมีการตัดทอนหรือเพิ่มเติมเนื้อความ แก้ไขสำนวนโวหาร รวมทั้งแทรกทัศนคติของยุคสมัยที่มีการชำระพระราชพงศาวดารนั้นลงไปด้วย ทำให้ผิดไปจากหลักฐานเดิม
2. การประเมินภายใน
เป็นการประเมินสิ่งที่ปรากฏบนหลักฐาน อาทิ ตัวอักษร รูปภาพ ร่องจารึก ตำหนิ ว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด
มีข้อความใดที่น่าสงสัย หรือกล่าวไว้ไม่ถูกต้อง
ตัวอย่าง ปีที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างพระวิหารวัดจุฬามณี เมืองพิษณุโลก ในพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ระบุไว้ตรงกันบ้างไม่ตรงกันบ้าง เช่น
พระราชพงศาวดารกรุงสยามจากต้นฉบับของบริติช มิวเซียม และ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่าสร้างเมื่อศักราช 810 ปีมะโรงสัมฤทธิศก (ตรงกับพ.ศ. 1991)
พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐฯ ว่าสร้างเมื่อศักราช 826 วอกศก (ตรงกับพ.ศ. 2007)
จะเห็นว่า หลักฐานชิ้นหลังระบุเวลาห่างจากหลักฐาน 2 ชิ้นแรก 16 ปี
หลักฐานทั้งหมดที่ยกมาเป็นหลักฐานชั้นรอง ควรหาหลักฐานชั้นต้นมาเทียบ คือ ศิลาจารึกวัดจุฬามณี ปรากฏว่าจารึกระบุว่า พระวิหารวัดจุฬามณีสร้างเมื่อ “ศักราช 826 ปีวอกนักษัตร” ตรงกับพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐฯ
หลักฐานที่ใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ ต้องเป็นหลักฐานที่ให้ข้อมูลที่เป็นจริง หลักฐานที่ให้ข้อมูลจริงบ้างเท็จบ้าง นำส่วนที่เป็นจริงไปใช้ได้ ส่วนหลักฐานที่เป็นเท็จทั้งหมดไม่นำไปใช้ในการศึกษา
การประเมินภายนอกภายในเเบบภาษาง่ายๆ
การประเมินภายในจะดูว่าหลักฐานนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ เป็นการเจาะลึกถึงผู้สร้าง ว่าเกี่ยยวข้องกับหลักฐานนั้นมากน้อยเพียงใดมีจุดมุ่งหมายอะไร
ระยะเวลาของการเกิดหลักฐานเรื่องราวในหลักฐาน
การประเมินภายนอก ดูว่าของจริงหรือของปลอม
ดูจากอายุของหลักฐาน พิจารณาได้จาก ตัวอักษร สำนวนภาษา ผู้สร้างหลักฐาน