น้องวาวน้ำ แวว วรรณ pantip

เจ้าของแบรนด์ Rose gold คือใคร? ทำไมถึงสร้างแบรนด์ออนไลน์ให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด มีความแตกต่างและเป็นที่สุดแบบจับต้องได้จริง วันนี้ทาง Rosegold Official Brand TH จะมาเล่าถึง CEO สุดน่ารักและจริงใจกับพาร์ทเนอร์ ให้ทุกคนได้รู้จักกันนะคะ

เจ้าของแบรนด์ Rose gold หลายคนอาจจะเคยได้เห็นหน้า หรือได้ยินชื่อ คุณวาวน้ำ แวววรรณ กันต์นันท์ธร กันมาบ้างแล้วนะคะ ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ก่อต่อแบรนด์โรสโกลด์ด้วยอายุเพียง 19 ปีเมื่อปี 2019 ซึ่งปัจจุบันเธออายุแค่เพียง 21 ปีเท่านั้น แต่สามารถนำแบรนด์ Rose gold ก้าวสู่ธุรกิจระดับ 700 ล้านได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น และได้ร่วมงานกับพรีเซนเตอร์ระดับสากล เบอร์หนึ่งของเมืองไทยอย่างคุณชมพู่อารยา เอ ฮาร์เก็ต มาเป็นพรีเซ้นเตอร์ให้กับ sakana collagen x10 คอลลานเจนซอฟเจลที่ขายดีที่สุดในตอนนี้

"If it’s possible for one, it’s possible for all ถ้ามันเป็นไปได้สำหรับคน 1 คน มันเป็นไปได้สำหรับคนทุกคน ประโยคนี้น้องวาวชอบพูดเสมอ เพราะมันคือเรื่องจริงมากๆ ถ้าวันนี้เกิดคนสำเร็จขึ้น 1 คนแล้วในเรื่องนั้นๆ แปลว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำไม่ได้หรอกค่ะ"

คุณแวววรรณ กันต์นันท์ธร

Co-Founder of Rosegold thailand Group

 

เจ้าของแบรนด์ Rose gold อีกท่านหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ คุณหนึ่ง ธันย์ธานิท กันต์นันท์ธร ผู้ชายมากความสามารถที่มีนำประสบการณ์การขายของออนไลน์ที่ตัวเองเคยทำมา นำมาประยุกต์และพัฒนาเพื่อให้ Rose gold ได้ขึ้นมาเป็นที่สุดของแบรนด์ออนไลน์ คุณหนึ่งมีความตั้งใจมากๆ ที่จะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่ตนเองมีให้กับพาร์เนอร์ทุกเม็ดแบบไม่มีกัก

"วันนี้หลายๆคนมารวมตัวกันที่แบรนด์โรสโกลด์ ด้วยความหวังว่า เราจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า นั่นก็คือความตั้งใจของผมกับน้องวาว และผู้นำทุกคน ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่า..เป้าหมาย มาพร้อมกับ อุปสรรคเสมอ มันเป็นของคู่กัน สิ่งหนึ่งที่ผมบอกทุกคนได้ คือ ผมคือคนนึงที่ไม่เคยมีใครคิดว่าผมจะสำเร็จได้ และ แม้แต่ตัวผมเอง ก็ไม่คิดเช่นกัน แต่ทุกคนลองมองกลับมาที่ผมสิครับ...ผมทำได้แล้วมันเลยทำให้ผมเชื่อว่า ทุกคนเปลี่ยนชีวิตได้"

คุณธันย์ธานิท กันต์นันท์ธร

CXO (CXO-Chief Exponential Officer)


ซึ่งบอกได้เลยว่า เจ้าของแบรนด์ Rose gold ทั้งสองคนนี้ถึงแม้จะอายุน้อยแต่ก็มากไปด้วยประสบการณ์ อีกทั้งยังมีความจริงใจทั้งกับพาร์ทแนอร์และลูกค้าทุกคน เพื่อให้ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ของเราได้รับผลประโยชน์และความมั่นคงสูงสุด และนี่เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ Rose gold ใส่ใจ

ที่มาของชื่อ Rose gold มาจากคำว่า Rose ที่แปลว่า กุหลาบ เพราะเจ้าของแบรนด์ Rose gold คุณวาวน้ำมองว่าผู้หญิงทุกคน สวยและมีค่าเหมือนดอกกุหลาบ ส่วนคำว่า Gold ก็คือทอง ซึ่งทองเป็นสิง่ที่มาค่าในตัวเองอยู่แล้ว จึงอยากทำให้แบรนด์ Rose gold มีคุณค่าเหมือนดั่งทอง Rose gold จึงตั้งใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และหาแหล่งผลิตที่เป็นที่สุดในผลิตภัณฑ์นั้นๆ เช่น ประเทศเกาหลี ประเทศญี่ปุ่น และประเทศฝรั่งเศส เชื่อได้เลยว่าแบรนด์ Rose gold ต้องไม่หยุดเพียงแค่นี้แน่นนอน

หากสนในเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง หรือร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ Rose gold มาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกับกับเรา สามารถติดต่อได้ทั้งช่องทาง Facebook และ Line Official ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยนะคะ ทุกความตั้งใจย่อยมีผลลัพท์ที่ดีตามมาอย่างแน่นอน



เปิดชีวิต สุดยอด CEO สาวที่มีอายุเพียง 21 ปี เจ้าของธุรกิจแบรนด์ดัง กับคำสบประมาท ความน่าเชื่อถือเรื่องอายุยังน้อยที่ทำไม่ได้ เธอสวมวิญญาณแม่ค้ามาตั้งแต่อายุ 13 ปี จากครอบครัวติดหนี้ ต้องหาเงินเลี้ยงตัวเอง พร้อมเป็นเสาหลักของครอบครัว จนประสบความสำเร็จหลายร้อยล้าน พร้อมเล่าแรงบันดาลใจ อย่างไร้ข้ออ้าง แม้เรียนไม่จบ แต่ยังมองการศึกษาสำคัญเสมอ เพราะทุกคนมีทางเลือกที่ต่างกัน

“อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข ที่อยู่ในบัตรประชาชน”

“อายุน้อย ไม่มีประสบการณ์หรอก จะทำได้ยังไง แต่จริงๆ แล้วถ้าวันนี้เราไม่สร้างประสบการณ์ตั้งแต่ตอนนี้ แล้วเมื่อไหร่เราจะมีประสบการณ์จริงไหมคะ ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ ขึ้นอยู่กับว่าวันนี้เราเริ่มลงมือทำเมื่อไหร่

ต่อให้วันนี้เราสำเร็จแล้ว มันก็ยังมีคำพูดมากมายอยู่ดี ไม่ว่าเราจะอยู่จุดไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับวาล์วคือเราต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นมากกว่า”

วาล์วน้ำ-แวววรรณ กันต์นันท์ธร สุดยอด CEO สาวที่มีอายุเพียง 21 ปี เจ้าของธุรกิจแบรนด์ “โรสโกลด์” มูลค่าหลายร้อยล้านบาท ที่เป็นที่ฮือฮาอยู่ไม่น้อย เมื่อสามารถคว้าซุปตาร์ตัวแม่ อย่าง “ชมพู่ อารยา เอ ฮาเก็ต” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้

แน่นอนว่า สาวน้อยร้อยล้าน ที่เป็นเจ้าของธุรกิจด้วยวัยเพียง 21 ปี จึงทำให้คนอยากรู้จักเป็นอย่างมาก แถมยังคว้าพรีเซ็นเตอร์ซุปตาร์ตัวแม่มาได้อีกด้วย ทำให้หลายอยากรู้ว่าเธอเป็นใครกัน ถึงได้ประสบความสำเร็จมากมายขนาดนี้ ในเพียงอายุยังน้อย

สำหรับแบรนด์ โรสโกลด์ เป็นธุรกิจด้านสกินแคร์ และคลอลาเจน และยังเรียกได้ว่าประวัติของเจ้าของแบรนด์นั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เธอเล่าว่า สวมวิญญาณแม่ค้ามาตั้งแต่เด็ก ที่บ้านทำธุรกิจร้านขาย ส่งเครื่องประดับที่สำเพ็ง จึงทำให้ชอบการค้าขายมาตั้งแต่เด็ก

จนวันหนึ่งทางครอบครัวประสบปัญหาทางด้านธุรกิจ ติดหนี้สิบๆ ล้าน นี่จึงเป็นแรงผลักให้เธอเริ่มหาเงินเลี้ยงตัวเอง มีความใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ เพราะจะได้ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ใช้พร้อมกับหันมาตั้งตัวเป็นเสาหลักให้ครอบครัวตั้งแต่อายุ 13 ปี

ถึงแม้จะเป็นนักธุรกิจที่อายุยังน้อย ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในเรื่องความน่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอเองก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าอายุก็เป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น


“ความอายุน้อยของเรามันเป็นสิ่งที่คนสามารถมองให้ดูเป็นด้าน Negative ก็ได้ว่าจะทำได้จริงเหรอ ดูน่าเชื่อถือจริงเหรอ และก็สามารถมองเป็นด้าน Positive ก็ได้ อยู่ที่เรามอง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ตอนนี้เป็นยุค 2021 แล้ว มันไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้วที่คนค่อนข้างที่จะปิดกั้น

มันแสดงให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลาว่าคนเก่งเกิดขึ้นโดยที่ไม่จำกัดเรื่องของอายุเลย ตัวเราเองก็เช่นกันที่จะทำตัวเอง และพิสูจน์ให้คนที่มองเรา เขาต้องไม่รู้สึกว่าเราอายุเพียงแค่ 21 ปี

สิ่งที่วาล์วทำคือ อายุจะเป็นเพียงแค่ตัวเลขที่อยู่ในบัตรประชาชน แต่สิ่งที่เราทำ การกระทำของเรา หรือคำพูดของเรา ทุกอย่างที่เราทำในธุรกิจ มันจะต้องไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าเราอายุ 21 ปี แต่เราทำยังไงให้เขาเชื่อมั่นได้ และเมื่อมันเกิดจากข้างในเราจริงๆ

ทุกวันนี้ลูกค้า หรือพาร์ตเนอร์เราที่เข้ามาแล้วให้ความศรัทธาให้ความไว้วางใจ ล้วนแล้วเกิดจากสิ่งที่เขาต้องสัมผัสได้จริงเสมอว่า เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ว่าเขาเชื่อใจในเรา

ตั้งแต่วันที่เราอายุน้อยแล้วคิดที่จะทำธุรกิจ แน่นอนว่า วาล์วเจอคำเยอะมากมายว่าแบบ จะทำได้เหรอ มันเป็นคำปกติที่บางทีคนไม่ใช่แค่อายุน้อยก็เจอ แต่ในคำๆ นี้ กลับกลายเป็นคำที่ทำให้เราเลือกที่จะใช้คำว่าอายุน้อยมาเป็นสปอตไลท์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา

สำคัญที่สุดคือ ตัวเราเองที่จะเอาสปอร์ตไลต์นี้ของเรา ความอายุน้อยของเรา เป็นสิ่งที่ลูกค้าเรา และพาร์ตเนอร์ของเราภูมิใจมากว่า ว่ามีเราเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์นี้”


โดยจุดเริ่มต้นของแบรนด์ เกิดขึ้นจาก Passion ความรักในการดูแลผิวเธอเป็นคนที่ชอบสะสมพวกสกินแคร์ หรือ เครื่องสำอางมากมาย เรียกได้ว่า หมดเงินไปหลักล้านบาทเลยทีเดียว

เธอยังบอกอีกว่า ทุกความสำเร็จในชีวิตที่เกิดขึ้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่สำคัญที่จะทำให้คนเชื่อถือในความอายุยังน้อย คือไม่หยุดพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา

“ทุกความสำเร็จในชีวิตที่เกิดขึ้น วาล์วจะบอกเสมอว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เป็นเพียงแค่ก้าวแรกของเรา เพราะว่าแน่นอนว่าเราจะต้องมีก้าวต่อๆ ไปที่เราจะต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตอนตลอดเวลา

วาล์วอาจจะไม่ได้กล้าที่จะบอกว่าวันนี้เราสำเร็จที่สุด เพราะแน่นอนว่ายังมีคนอีกมากมายที่เก่งกว่าเรา แต่ว่าสำคัญที่สุดสำหรับวาล์วในการทำธุรกิจ ก็คือ ในวันนี้ถึงแม้ใครจะมองว่าเราโดดเด่นขึ้นมา เราดูเป็นแถวหน้าขึ้นมาในวงการนี้

คำๆ นี้ สำหรับวาล์วมันเป็นเหมือนสิ่งที่ชี้ว่าเราลงมือทำก่อนคนอื่นมากกว่า พิสูจน์ ยอมเหนื่อยกว่า ใช้ระยะเวลามากกว่าเราถึงมีวันนี้
และสิ่งที่สำคัญที่สุด นอกเหนือจากความสำเร็จ คือ การที่เราทำธุรกิจแล้วเราจะต้องสำเร็จระยะยาวให้ได้ วันนี้วาล์วไม่ได้วัดว่าเราสำเร็จมากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับวาล์ว ก็คือ เราสามารถสำเร็จได้นานแค่ไหน

วันนี้บางคนอาจจะสำเร็จขึ้นมาได้เร็วมาก แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่สามารถทำได้แล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นสำหรับวาล์ว คือ การที่วันนี้เราต้องเติบโต ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง และต้องรู้อยู่ตลอดเวลาว่ามีคนที่เก่งกว่าเราอยู่เสมอนะ เพราะฉะนั้นเราต้องห้ามหยุดพัฒนาตัวเอง และก็ยึดมั่นในความถูกต้องอยู่ตลอดเวลา บริษัทเราก็จะเติบโอย่างมั่นคง นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับวาล์ว”


เริ่มจากติดลบ สู่เสาหลักครอบครัว

เธอเล่าว่าชีวิตเริ่มต้นไวมาก เพราะวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้ธุรกิจที่บ้านขาดทุนอย่างหนัก เธอเองจึงเริ่มมองหาว่าจะทำธุรกิจอะไร ที่จะช่วยครอบครัวได้จึงเริ่มตั้งต้นมาตั้งแต่แต่อายุ 13 ปี ว่า อยากเป็นเสาหลักครอบครัวให้ได้ จนมาถึงตอนนี้เธอก็ทำได้สำเร็จอย่างภาคภูมิใจ

“คุณพ่อคุณแม่เปิดร้านขายของอยู่ที่สำเพ็ง เราก็เลยค่อนข้างคุ้นชิน แล้วละแวกนั้นอยู่แล้ว ในวันหนึ่งเมื่อออนไลน์เข้ามากินพื้นที่ร้านค้าออฟไลน์ทั้งหมด บวกกับเศรษฐกิจตอนนั้นมากกมาย ตอนนั้นก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณแม่ล้มจากการทำธุรกิจ จากการค้าขาย ตอนนั้นคุณแม่ขายพวกกิฟต์ชอปค่ะ

ทุกอย่างที่นำเข้ามาจากจีนกับเกาหลี ตอนนั้นค่อนข้างเฟื่องฟูมาก พอถึงวันที่ตลาดนี้หายไป คนซื้อของออนไลน์มากขึ้น ร้านในสำเพ็งปิดเรียงกันเลย แล้วยิ่งคุณแม่สต๊อกสินค้ามาแล้วขายไมได้ เรียกได้ว่าเป็นหนี้สินค้าเป็นสิบๆ ล้าน นั้นคือจุดเริ่มต้นของวิกฤตครอบครัวที่ใหญ่มากๆ ในตอนนั้น

วาล์วมีพี่ชาย 3 คน เมื่อก่อนครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่ปกติ แต่พอเราเจอวิกฤตมันเหมือนกับเราเป็นคนนึงที่มีไฟในการทำธุรกิจ ถ้าเป็นฝั่งพี่ๆ เราจะเป็นทางสายดนตรี เขาจะสนุกกับอาชีพในฝันของแต่ละคน ไปสายนักร้องบ้าง ดนตรีบ้าน เรียนเกี่ยวกับด้านนั้นหมดเลย ไม่มีใครเป็นด้านเกี่ยวกับธุรกิจเลย

วาล์วก็เลยยอมที่จะไปสู้ในการขายของ ทำธุรกิจทุกอย่าง บวกกับคุณพ่อคุณแม่ที่ก็ล้มอยู่ตรงนั้น มีปัญหาอยู่ตรงนั้น เราก็เลยรู้สึกว่ามีแค่เราคนเดียวแล้ว ที่จะทำ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นน้องเล็กที่สุดในบ้าน ณ ตอนนั้น แต่เราไม่ได้คิดตรงนั้น คิดแค่ว่า เราจะช่วยครอบครัวยังไงได้

สเต็ปแรกเลยเราต้องเลี้ยงดูตัวเองให้ได้ก่อน พอเลี้ยงดูตัวเองได้ เราจะช่วยครอบครัวยังไงได้ พอช่วยครอบครัวยังไงได้ เราจะลุกขึ้นมาเป็นเสาหลักของครอบครัวได้ยังไง ปัจจุบันนี้วาล์วก็เป็นเสาหลักครอบครัวเต็มตัวในการดูแลคุณพ่อคุณแม่ มีเงินเดือนให้คุณพ่อคุณแม่ แล้วก็ดูแลพี่ๆ ด้วยวาล์วภูมิใจในข้อนี้มากๆ ค่ะ”


ย้อนกลับไปเธอมองเห็นทางเดียวที่จะรวยได้ คือ ต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ จึงเริ่มสวมวิญญาณแม่ค้าตั้งแต่อายุ 13 ปี ไม่ว่าจะขาย ยางถัก หินนำโชค มีบางช่วงที่ขาดทุน แต่ก็ไม่ยอมแพ้ และถือว่ามันเป็นบทเรียนในการก้าวต่อไป

“เริ่มทำธุรกิจั้งแต่อายุ 13 ปี ค่อนข้างที่จะทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก มีเลือดแม่ค้ามาตั้งแต่เด็ก และในตอนนั้นอายุ 13 ปี เราเจอวิกฤตในชีวิต
คนส่วนใหญ่มักพูดว่า คนสำเร็จเขาโชคดีจังเลย เขาต้องมีต้นทุนกว่าคนอื่นแน่ๆ แต่จริงๆ แล้วรู้ไหมคะว่าคนที่สำเร็จในชีวิตจริงๆ คือคนที่เจอเหตุการณ์แย่ๆ ร้ายๆ มากกว่าคนธรรมด้วยซ้ำ เพราะเหตุการณ์เหล่านั้นมันผลักให้เรามีแพสชันมากกว่าคนอื่น ที่เราต้องทำมันเหมือนการบังคับให้เราต้องทำ ตอนนั้นเราเจอวิกฤตที่บ้าน มันเลยเป็นจุดเริ่มต้น ผลักดันต้องลุกขึ้นมาเป็นเสาหลักของครอบครัวในอายุแค่นี้

มันเป็นเหมือนโจทย์ที่ฟ้าส่งมา แล้วเราไม่ทันตั้งตัว ก็ค่อยๆ ขยาย จากที่มีเงินเก็บหลักพัน อายุเท่านั้นเงินหลักพันมันมากสำหรับเรามากๆ เรามีเงินเก็บหลักพัน เก็บไปได้เรื่อยๆ จนได้หลักหมื่น เราก็เริ่มออกไปสู่โลกกว้าง ไปออกบูธ ไปเยอะมากๆ จนมันค่อยๆ เติบโตปั้นให้เรามีวันนี้จริงๆ

วันนี้คนอาจจะมองแค่ปลายทางว่าวาล์วอายุ 21 ปี สำเร็จในจุดๆ นี้ได้ แต่จริงๆ ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรก วาล์วก็อยู่ในธุรกิจมามากว่า 6-7 ปีแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่เด็กจริงๆ ค่ะ”

ด้วยความที่มีเลือดแม่ค้ามาตั้งแต่เด็ก บวกกับครัวครัวทำธุรกิจค้าขายที่สำเพ้งอยู่แล้ว จึงทำให้เธอกล้าที่จะทำ กล้าที่จะลงทุน
ขายกิฟต์ชอป มีหินนำโชค ที่ช่วงหนึ่งจะฮิตมากๆ ที่ แม่อั้ม-พัชราภา ใส่ ทุกคนต้องใส่ ไม่มีเอาต์ เราก็ขายดี และกอบโกยในตอนนั้นมากๆ มี loom band มีกาแฟสุขภาพก็ไปทำนะคะ มีสายรัดข้อมือ คือ เราทำทุกอย่างที่จะมีเทรนด์ในตอนนั้น”

แม้จะเริ่มจากติดลบ ประสบการณ์ไม่มี คอนเนกชันไม่มี ทักษะอะไรก็ไม่มีด้วยความอยากช่วยครอบครัว และเลี้ยงดูตัวเองให้รอด เธอยังเล่าอีกว่า ตอนเด็กจะชอบปั่นจักรยานด้วยการนำสินค้าไปฝากขายตามร้านในหมู่บ้าน

“ตอนเด็กเราไม่มีคอนเนคชั่นอะไรอยู่แล้ว แค่สมมติมีสินค้าอันหนึ่งเราจะไปขายใคร หรือแม้กระทั่งจะคิดเปิดหน้าร้านจะเปิดยังไงในเวลานั้นมันคิดไม่ออก แต่สิ่งที่คิดได้ตอนนั้นคือ ถ้าเราไม่มีทุน ไม่มีคอนเนกชันเราก็ต้องวิ่งเข้าไปหาร้านค้า

ในหมู่บ้านวาล์วค่อนข้างจะเป็นคอมมูนิตี ไม่ได้เป็นหมู่บ้านปิด เราชอบขี่จักรยานตอนกลับมาจากโรงเรียนอยู่แล้ว เราก็จะเห็นร้านค้าเยอะมาก เราก็คิดหาช่องทางว่าเข้าไปที่ร้านค้า ใช้ความน่ารักของเรา ความเป็นเด็กในการที่จะคุยกับเขาว่าหนูขอฝากวางอันนี้ได้ไหมคะ แต่หนูไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าที่หรอกนะคะ แต่ว่าถ้าหนูวางแล้ว ถ้าคุณน้าขายได้คุณน้าจะได้เปอร์เซ็นต์เท่าไหร่

เราก็ให้ผลประโยชน์เขา โดยที่เราไม่ได้เสียอะไรด้วย เขาก็เลยเอ็นดูเรา ร้านค้าเหล่านั้นก็ให้เราใช้ร้านค้าในการฝากขาย นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้น พอลูกค้าเข้าร้านซื้อของ เราก็จะขี่จักรยานทุกอาทิตย์มาเก็บบิล มันก็สนุกมากเลยค่ะ”


จากเด็กที่มีเงินเก็บหลักร้อย ไต่ระดับจนถึงหลักล้าน แต่แน่นอนว่าในวงการธุรกิจไม่มีคำว่าประสบความสำเร็จเสมอไป กว่าที่เธอจะมีวันนี้ได้ เธอเล่าว่าต้องใช้ความอดทนมาก

“เก็บเงินได้ ตอนแรกหลักร้อยอยู่เลย พอหลักพันมันตื่นเต้นมากๆ แล้วพออายุ 14 ปี ตอนที่เราจับช่วงหินนำโชคได้ loom band ช่วงนั้นเราแตะเงินหมื่น สูงสุดตอนนั้นวาล์วแตะเงิน 70,000 บาท จาก loom band ที่เป็นยางถักของเด็กค่ะ

ซึ่งตอนนั้นเงินแตะเงินได้ 70,000 บาท เสร็จแล้วก็เอาไปลงทุนต่อ คือ เหมือนมันไม่ได้สำคัญว่าเราหาเงินได้เท่าไหร่ แต่อย่างที่วาล์วบอกว่า สมมติเราได้เงินนี้มา เราจะเอามันไปต่อยอด แล้วทำให้มันได้กำไรมากขึ้นอีกได้ยังไง นี่คือสิ่งที่วาล์วคิดมาตลอด

แต่ตอนนั้นไปลงทุนผิดพลาด เงิน 70,000 บาท ก็หายไปหมดเลย ก็ต้องเริ่มต้นใหม่อีกตอนหินนำโชค ตอนนั้นเหมือนเงินย้อนกลับมาเหลือหลักพันในบัญชีอีกแล้ว เราก็ไปทำหินนำโชค พอไปออกบูธขายของตอนนั้นก็ขายดีมาก แล้วแตะหลักแสนตอนอายุ 15 ปี

พอเราทำหินนำโชคจนมันมีเวลาของมัน จนมันหมดยุคมันแล้ว เราก็เข้าสู่ธุรกิจความเป็นตัวแทน ก็ไปขายกาแฟสุขภาพ ไปขายให้เขา ตอนนั้นขายดีมาก แตะหลักแสนเหมือนกัน เสร็จแล้วเราก็เริ่มแตะเงินล้านจากการที่เป็นตัวแทนจำหน่าย แตะเงินแสนจนถึงอายุประมาณ16-17 ปี พออายุ 18 ปี เริ่มแตะเงินล้านได้แล้ว ตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากๆ แล้วรู้สึกสนุกกับการขายของมากจริงๆ ค่ะ”

สุดท้ายแล้วความฝันที่อยากมีธุรกิจด้านความงามเป็นของตัวเอง จึงเกิดเป็นแบรนด์โรสโกลด์ขึ้นในที่สุด ในวัยเพียงแค่ 19 ปี

“พอเราได้แตะเงินล้าน สุดท้ายแล้วเรามีความฝัน เวลาที่เราเป็นตัวแทน เรารู้สึกว่า มันเหมือนยังไม่เจอสิ่งที่เราชอบ หรือแบรนด์ในอุดมคติของเราเอง ก็เลยรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะทำเอง อยากที่จะสร้างอะไรที่มันอยู่ในอุดมคติของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้า หรือว่าสินค้าที่เราชอบแบบไหน

วาล์วบ้าสกินแคร์มาก จุดเริ่มต้นคือจากที่พี่หนึ่ง สามีวาล์วประชดว่า ถ้าหากว่าจะเยอะขนาดนี้ สกินแคร์จะซื้อเยอะขนาดนี้ทำเองเถอะ จะได้ไม่ต้องเสียตังค์ คำนี้เป็นเหมือนคำประชดที่จุดประกายให้เราคิดว่าต้องทำแล้ว ตอนนั้นอายุ 19 ปี

อายุแค่ 19 ปี ตอนนั้นที่เราคิดที่จะทำ แล้วเรามีทุนอยู่ส่วนหนึ่งจากการที่เราขายของมาตั้งแต่เด็ก บวกกับด้วยความที่เราอยู่ในการทำธุรกิจ ก็มีคอนเนกชันมากขึ้น แน่นอนว่า คอนเนกชันมันเกิดจากการที่เราลงมือทำ ไม่ได้เกี่ยวว่าเราอายุเท่าไหร่

เราชอบขายของมากๆ จนจุดเริ่มต้นที่เป็นคนชอบขาย เป็นเด็กขายเก่ง เราก็เลยรู้สึกแล้วว่าเมื่อเราเก่ง เราพร้อม เรากลับมาทำตามความฝันตัวเองคือการเป็นเจ้าของธุรกิจ การเป็นเจ้าของแบรนด์ เพราะว่าเราเป็นคนที่ชอบสกินแคร์มากๆ ค่ะ”

ลงทุนก้อนแรกด้วยเงินประมาณ 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินตัวเองทั้งหมด บวกกับไปหากู้คนอื่นมาด้วย พร้อมกับมีเป้าหมายในชีวิตว่าต้องสำเร็จให้ได้ แม้จะมีคนรอบข้างบอกว่าเป็นไปไม่ได้ และห้ามไม่ให้ทำ เพราะมันเสี่ยงเกินไป แต่ด้วยความคิดที่ใหญ่เกินตัว เธอก็ทำได้สำเร็จ สินค้าที่นำเข้ามาถึงเมืองไทยตอนนั้น 20,000 ชิ้น ขายหมดภายในอาทิตย์เดียว

“ก็มีคอนเนกชันจากการที่เราหาเงินตอนนั้น มันต้องลงทุนแบบหมดตัว ก็เลยเลือกที่จะไปทำสินค้าที่เกาหลีค่ะ ซึ่งเป็นตัวครีม เรียกว่าเป็นสินค้าตัวแรกของแบรนด์โรสโกลด์เลยที่เป็นตำนานมากๆ ในการที่มีวันนี้ได้ ซึ่งก็เป็นตัวครีมที่เราบินไปผลิตที่ประเทศเกาหลีกับแล็บชื่อดังที่ฮานาคอส ซึ่งเป็นแล็บที่เคาน์เตอร์แบรนด์ทั่วโลกทำ

เรามีมายเซตที่คิดใหญ่เกินตัวมากๆ ในตอนนั้น เจอสิ่งมากมายที่อยู่รอบข้าง ไม่ว่าจะครอบครัว เพื่อน หรือใครก็ตามล้วนบอกว่าไม่ให้ทำ เพราะมันดูใหญ่เกินตัว ถ้าพลาดคือจบเลย แต่ว่าเราไม่เชื่อเลย เราเชื่อตัวเองมากๆ ในการใช้ทุนทั้งหมดที่มีไปผลิตที่ต่างประเทศทั้งหมด แล้วกลับมามันมีตัวเลือกเดียวที่ให้เราทำคือ สินค้าที่ทำมาต้องหมดเท่านั้น”


ยอดขาย 700 ล้าน ดังไกลถึงต่างประเทศ

“ยอดขาย 700 ล้าน คือ ยอดขายที่เป็นยอดขายตั้งแต่เราเปิดแบรนด์โรสโกลด์มา ยอดขายนี้เป็นยอดขายธุรกิจมากกว่า เป็นยอดธุรกิจของตัวแทนโรสโกลด์ ที่ขายของสู่ end-user สู่ผู้ใช้จริงๆ เป็นยอดมูลค่าของแบรนด์โรสโกลด์ที่ตอนนี้มูลค่าถึง 700 ล้านบาทแล้วนะ
ไม่ว่าจะเป็นตัวครีมที่ Sold Out หรือครีมที่ก้าวเข้าสู่ล็อตที่ 11 แล้ว หรือจะเป็นซาคานะ คอลลาเจนที่ก้าวเข้าสู่ล็อตที่ 9 แล้ว และยังมีสินค้าตัวอื่นๆ ที่เคียงคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นเจลล้างหน้า หรือเจลแต้มสิว หรือสินค้าตัวต่อไปที่กำลังจะเกิดขึ้นค่ะ”

หากลองคำนวณดูยอดขายที่ได้รับในแต่ละเดือนก็ถือว่ามากพอสมควร ไม่แปลกใจเลยที่คนจะเรียกขนานนามว่า นักธุรกิจสาวอายุน้อยร้อยล้าน

“ถ้ายอดขายต่อเดือน ตัวซาคานะเมื่อปีที่แล้ว เราเพิ่งเปิดมาเพียงแค่1 ปี แต่ยอดขายในทุกๆ เดือนขั้นต่ำ 50,000-100,000 ชิ้น เรียกว่า Sold Out ตลอดเวลาเลย และในตอนนี้ยิ่งเปิดตัวแม่ชมมา เราถึงเพิ่มมาแค่อีกเท่าหนึ่งก็คือ 200,000 ชิ้น เพื่อที่เราจะดูตลาด แล้วก็วางแผนให้สินค้าของเรา เรียกได้ว่า Limited จริงๆ แล้วลุกค้าวิ่งเข้าหา และซื้อซ้ำจริงๆ

อย่างน้องซาคานะตอนนี้เดินทางสู่ 500,000 ชิ้น เรียบร้อยแล้ว ถ้าเป็นตัวครีมก็ประมาณ 300,000 ชิ้นแล้วค่ะ แล้วก็สินค้าตัวอื่นๆ อีก”
นอกจากจะกอบโกยในเรื่องของรายได้แล้วนั้น เธอบอกว่าสิ่งสำคัญในการทำให้ธุรกิจสำเร็จได้ในระยะยาว คือ ต้องสำเร็จบนความสำเร็จของลูกค้า ซึ่งหมายความว่า ทุกคนต้องมีรายได้และมีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่สำเร็จเพียงแค่เจ้าของธุรกิจ แต่ตัวแทนจำหน่ายก็ต้องสำเร็จด้วย รวมไปถึงลูกค้าด้วยเช่นเดียวกัน

“สิ่งที่วาล์วให้ความสำคัญที่สุดเลย ก็คือ วันนี้ความสำเร็จของเราต้องสำเร็จบนความสำเร็จของลูกค้าเรา และสำเร็จบนความสำเร็จของพาร์ตเนอร์เรา หมายความว่า ถ้าวันนี้เราทำให้ลูกค้าเราไม่สำเร็จ นั่นแปลว่าลูกค้าไม่ได้รับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้สินค้าที่เขารักจริงๆ

เช่นเดียวกันถ้าวันนี้เราไม่ได้ทำให้พาร์ตเนอร์ที่เข้ามาอยากอยู่ตรงนี้ อยากทำตรงนี้ อยากขายของของเรา เราทำให้เขาไม่สำเร็จ นั่นแปลว่า เขาไมได้มีรายได้ เพราะฉะนั้นข้อนี้เป็นข้อที่วาล์วยึดถือทั้งคู่ บางคนอาจจะยึดว่า พาร์ตเนอร์สำคัญสุด ลูกค้าสำคัญสุด สำหรับวาล์วสำคัญทั้งคู่ที่สุด เพราะถ้าไม่มีลูกค้าที่รักเรา พาร์ตเนอร์เราก็อยู่ไม่ได้

ถ้าหากว่าพาร์ตเนอร์ของเราไม่ได้มีรายได้จากตรงนี้ มันก็ไม่ได้เรียกว่าสำเร็จจริงๆ ข้อนี้วาล์วให้ความสำคัญมากๆ ที่เราจะต้องทำทุกทาง เพื่อที่จะซัปพอร์ตในสิ่งที่เราทำได้ และทำให้ลูกค้ารักและวิ่งหาที่อยากจะซื้อสินค้าเราจริงๆ นั่นคือ จุดที่ทำให้พาร์ตเนอร์ทุกคนเข้ามาอยู่ตรงนี้แล้วดีขึ้นจริงๆ

บางคนที่ไม่เคยขายของเลย ไม่เคยทำอาชีพนี้เลย กลายเป็นว่าบางคนเข้ามาทำอาชีพนี้เป็นอาชีพที่สอง ตอนนี้กลายเป็นอาชีพหลักของพวกเขาไปแล้ว เพราะฉะนั้นวาล์วเหมือนถือความไว้ใจ ความเชื่อใจของพาร์ทเนอร์มากกมาย เราจึงไม่สามารถหยุดพัฒนาตัวเองได้จริงๆ ค่ะ”

เรียกได้ว่ามีตัวแทนจำหน่ายไปทั่วประทศ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าพร้อมเปิดบิลเมื่อสินค้ามาถึง นักธุรกิจสาวอายุยังน้อยเธอเล่าว่าจากเดิมที่ขายดีอยู่แล้ว ยิ่งได้พรีเซ็นเตอร์ตัวแม่ไปอีก ยิ่งขายดีเข้าไปอีก

“จากเดิมที่เราไม่เคยมีพรีเซ็นเตอร์เลย เรียกได้ว่าก็ขายดียู่แล้ว จากความเป็นไวรัลของสินค้าที่เขาขายตัวเขาเองอยู่แล้ว อย่างตัวครีมและตัวซาคานะ คอลลาเจน ถ้าอย่าตัวซาคานะ มันเป็นความแปลกใหม่ของ Packaging พอตั้งอยู่บนโลกออนไลน์มันดูมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด มันเลยทำให้สินค้าคนเข้าหาเยอะมาก

เรียกได้ว่ามันครึกครื้นอยู่แล้ว แต่พอเราเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนแรกของเรามา เรียกได้ว่าเป็นที่พูดถึง ในชั่วข้ามคืนสินค้า Sold Out 200,000 ชิ้น

ในระยะเวลาเพียงแค่ 3 วัน หลังจากที่เปิดตัวแม่ชม เพราะว่าซาคานะล็อตล่าสุดตอนนี้ซาคานะเข้าสู่ล็อตที่ 9 แล้ว มันก็สนุกสนานดีค่ะจากที่เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ จากที่ครึกครื้นอยู่แล้ว เรียกได้ว่าไม่ได้นอนเลยค่ะ

ทำไมเราถึงจำกัดแค่ 200,000 ชิ้น ต้องยอมรับว่า เราทำธุรกิจที่มีพาร์ตเนอร์ หรือตัวแทนจำหน่ายเข้ามาร่วมงานเยอะ สิ่งที่เราต้องระวังที่สุด คือ เราต้องควบคุมให้ได้ว่าสินค้าที่ออกสู่ตลาดจะต้องไมได้อยู่กับตัวแทน แต่ต้องอยู่กับ ผู้ใช้จริงๆ”


ทุกวันนี้เราจะเห็นข่าวอยู่ออกบ่อยว่า มีการอวดอ้างสินค้าเกินความจริง และเหล่าดาราคนดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ไหน สินค้านั้นก็ย่อมจะขายดีเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว

แต่เธอมองว่าหากสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ก็จะไม่เกิดการกลับมาซื้อซ้ำ ความยั่งยืนของสินค้าก็ไม่เกิดผลระยะยาว เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียวแล้วก็หายไป แต่โรสโกลด์ไม่ใช่อย่างนั้น เธอมองถึงผลระยะยาว และรวยอย่างยั่งยืน

“การที่บางคนบอกว่า มีพรีเซ็นเตอร์เข้ามายังไงสินค้าก็ขายได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ครั้งแรก แต่ว่าสิ่งที่ผ่านๆ มา มีบางที่ทำเสีย ทำให้ธุรกิจนี้ดูแย่ ก็คือ สินค้าจะไมได้มาตรฐาน และลูกค้าไมได้ใช้จริง นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่การที่วันนี้เราจำกัดสินค้า เราทำให้เห็นว่าสินค้าเรามีคุณค้าจริงๆ ลูกค้าวิ่งเข้าหาจริง

เพราะฉะนั้นมันไม่ได้หมายความว่า วันนี้พาร์ตเนอร์ของเราเข้ามาคนแรกได้ก่อนนะ อาจได้ดีก่อนคนที่มาทีหลัง ไม่มีเลยนะคะ มีแค่คำว่าคุณมีของหรือเปล่า ไม่ว่าจะเพิ่งเข้ามาตอนนี้ สำคัญที่สุดว่าคุณมีขออยู่ในมือหรือเปล่า เมื่อสินค้าขายดีมาก ลูกค้าวิ่งเข้าหาพาร์ตเนอร์เรา พาร์ตเนอร์เราขายดีวิ่งเข้ามาของ เขาเรียกว่ารวยเร็วอาจจะรวยง่าย แต่เราอยากที่จะรวยนาน

ถามว่าวันนี้เราปล่อยสินค้าตุ้มเลยได้ไหมเป็นล้านชิ้น เราอาจจะสามารถทำได้ แต่เราก็ต้องวางแผนระยะยาวว่าพาร์ตเนอร์ของเราจะขายของทันได้ยังไง นี่คือ สิ่งเล็กๆ ที่เราจะต้องวางแผนปิดรอยรั่วทุกจุดค่ะ”

นอกจากที่มีตำแทนจำหน่ายทั่วประเทศแล้ว แบรนด์นี้ยังโด่งดัง ถึงขั้นส่งออกไปแล้วมากกว่า 5 ประเทศ

“ตอนนี้ถ้าในฝั่งของเพื่อนบ้านเรา เรียกได้ว่าก็ค่อนข้างเยอะ ถ้าเป็น สปป.ลาว กัมพูชา แต่ตอนนี้เริ่มที่จะมีที่ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น แล้วก็มีฝั่งยุโรป เยอรมันก็เยอะ ในตอนนี้ค่อนข้างที่จะเยอะแล้วในฝากฝั่งของต่างประเทศ และในตอนนี้สิ่งที่วาล์วกำลังทำอยู่ของแบรนด์โรสโกลด์ คือ เราต้องเริ่มทำให้สายงานต่างประเทศแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม นี่คือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่”


อยากสำเร็จ ห้ามมีข้ออ้าง

ที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ได้ เธอบอกว่าเกิดจากการลงมือทำทั้งสิ้น หากมัวแต่มีข้ออ้างให้กับตัวเอง ก็คงไม่เจอกับความสำเร็จได้ในวันนี้อย่างแน่นอน

เธอยังบอกอีกว่า หลายคนมักมีข้ออ้าง หรือข้อจำกัดให้ตัวเองในขณะที่ยังไม่ลองลงมือทำ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าทำไม่ได้
“เมนหลักที่ทำให้คนไม่สำเร็จในชีวิตได้จริงๆ ถ้าพูดถึงข้ออ้างในการทำธุรกิจ ยกตัวอย่าง อายุน้อย หรือบางคนอายุมาก สมมติคนบอกว่าเราอายุน้อยทำไมได้หรอก เราไม่มีประสบการณ์ บางคนที่อายุมากก็บอกว่าเราทำไม่ได้หรอก เด็กรุ่นใหม่ไฟแรงกว่า เราจะสำเร็จได้ยังไง

ไม่ว่าจะอายุไหนก็แล้วแต่ ทุกคนมีข้ออ้างให้ตัวเองได้หมด แต่ถ้าเราเอาข้ออ้างนั้นออกไป แล้วลุยในสิ่งที่เราเป็น มั่นใจในสิ่งที่เราทำ นั่นคือ สิ่งสำคัญที่สุด หรือแม้กระทั่งข้ออ้างในความรัก ถ้าวาล์วพูดถึงความสำเร็จในความรัก ในครอบครัว ถ้าเรามีข้ออ้างที่จะดูแลครอบครัว มีข้ออ้างที่จะรักกัน มีข้ออ้างที่จะให้เวลากัน มันก็ล้มเหลวจริงไหมคะ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เจอ

คำว่าข้ออ้างสำหรับวาล์ว ห้ามใช้ทุกๆ อย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจ การที่เราให้เวลากับลูก ให้เวลากับครอบครัว ให้เวลากับคนที่เรารัก ข้อนี้ก็สำคัญมากเหมือนกัน”

นอกจากนี้ ข้ออ้างที่คนส่วนใหญ่ชอบพูดเสมอว่า ใครมีครอบครัวซัพพอร์ตที่ดี หรือมีต้นทุนชีวิตที่ดีก็จะสามารถที่สำเร็จได้ไวกว่าคนอื่น แต่เธอกลับมองว่ากว่าทุกคนเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จได้ ล้วนต่างผ่านอุปสรรคปัญหาแล้วนับไม่ถ้วนเช่นกัน และยังบอกอีกว่าคนสำเร็จส่วนใหญ่มักเจอปัญหามากกว่าคนธรรมด้วยซ้ำ

“คนส่วนใหญ่ชอบบอกว่า คนสำเร็จคือคนโชคดี แต่ทำไมคนสำเร็จถึงล้วนแล้วมีแต่เรื่องราวมานั่งเล่าให้ทุกคนฟัง เชื่อว่า ไม่มีใครที่มานั่งฟังคนสำเร็จที่มาพูดว่า พี่เกิดมาพี่สำเร็จเลย มันไม่มีอยู่แล้ว จริงไหมคะ

อยากให้ทุกคนเปลี่ยนมายเซตของตัวเองในด้านนี้ เพราะรู้ไหมว่าแม้กระทั่งตัวเองได้ยินแบบนี้ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นเหมือนคำที่ คนบางคนบอกว่าไม่ชอบให้คนดูถูกคนจน หรือว่าคนที่ไม่มีเงิน แต่คนส่วนใหญ่ก็ชอบดูถูกคนที่มีเงิน มันเป็นเหมือนคำสวนทางกัน เหมือนพูดว่า ก็ที่เธอมีทุกวันนี้ก็เพราะอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะเธอไมได้เป็นอย่างนั้น แต่คนที่เขาผ่านมา เขารู้ว่าเขาโดนอะไรมาบ้าง เจ็บอะไรมาบ้าง

อยากให้ทุกคนรับรู้ในวันนี้เลยว่า อย่าสนใจว่าปัญหาของใครเล็กหรือใหญ่กว่ากัน บางคนเงินหลักหมื่นก็ฆ่ากันได้แล้ว ก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาได้แล้ว บางคนปัญหาเป็นสิบๆ ล้านก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขา อย่าตัดสินว่าคนนี้เป็นยังไง แต่ให้รู้ว่าคนทุกคนมีปัญหาในชีวิตที่ต้องเจอ แต่ที่วันนี้เขาสำเร็จได้ เพราะแรงผลักของเขาอาจจะมีมากกว่าเราหรือเปล่า

อยากจะบอกว่า เขาเป็นแบบนี้เขาต้องเจออะไรมาบ้าง คนเราชอบดูที่ปลายทาง แต่ต้นทางส่วนใหญ่มาโชว์ให้เราเห็นหรอก ในวันที่วาล์วร้องไห้อาจจะไมได้ถ่ายลงไอจี หรือถ่ายลงเฟซบุ๊ก อยากให้ทุกคนมองว่า ทุกชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จมีเรื่องเล่า และมีเรื่องราวหมด ไม่อย่างนั้นวาล์วอาจจะไม่ได้มานั่งเล่าในวันนี้

วาล์วพูดใหญ่ คิดใหญ่มาตั้งแต่ต้น ผลลัพธ์มันก็เลยใหญ่ในวันนี้ ทุกของสำเร็จของวาล์ว ไม่ว่าจะสำเร็จตั้งแต่หลักพัน หลักหมื่น หลักล้าน หลักเท่าไหร่ก็แล้วแต่ จะรู้สึกภูมิใจในทุกๆ ก้าวจริงว่าเราทำได้

ในวันนี้ไม่กล้าพูดเลยว่าสำเร็จที่สุด เพราะยังมีคนที่เก่งกว่าเราอีกมากมาย แต่เราภูมิใจในตัวเองที่สุดแล้วนะ แต่พรุ่งนี้เราจะต้องดีกว่าวันนี้ให้ได้ค่ะ มันเลยทำให้เราไม่หยุดพัฒนา มันเลยทำให้เราสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิม”


แน่นอนว่านอกจากห้ามมีข้ออ้างแล้ว เธอยังมองว่าการทำธุรกิจไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร แข่งขันกับตัวเองดีที่สุด เพราะเธอมองว่าหากมัวแต่มองคนอื่น แล้วนำกรอบความคิดคนอื่นมาครอบงำตัวเอง จะไม่สามารถพัฒนาตัวเองเติบโตได้ในอนาคต

“การที่วันนี้เราแข่งกับตัวเองจริงๆ มันคือการที่เราไม่ได้มองคนอื่นเลย เราจะไม่ถูกความคิดคนอื่นมาครอบงำความคิดของเราว่าคนอื่นทำแบบนี้ เราต้องทำแบบนี้นะ มันจะเหมือนมีกรอบเข้ามาครอบเราอัตโนมัติว่า เราจะไม่สามารถเติบโตได้เลย ถ้าเรามัวแต่มองคนอื่น

วาล์วจะเป็นคนนึงที่ไม่เคยมองคนอื่นเลยว่าใครจะทำอะไร แต่เราจะมองว่า เราเองจะทำยังไงให้มันดีกว่าเดิม เมื่อเราคิดแบบนี้ โฟกัสที่ตัวเราเอง ไม่ต้องเป็นเหมือนใคร แต่เราจะพุ่งไปข้างหน้าแบบ Unlimit โดยที่ไม่มีกรอบของใครมาครอบเราว่า จะต้องชนะใคร หรือว่าดีกว่าใคร มันจะไม่มีความคิดนี้เลย เพราะเราจะแข่งกับตัวเองอยู่เสมอ แปลว่าเราจะทำสิ่งที่ดีที่สุด และแตกต่างจากคนอื่นเสมอ”

เด็กสาวอายุเพียงแค่ 21 ปี กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ แน่นอนว่าเธอต้องมีความพยายามอย่างมาก เธอเล่าว่าสิ่งที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างในชีวิตคือ วิธีคิดสำคัญกว่าวิธีการ หากอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต

“วาล์วจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่า วิธีคิดสำคัญกว่าวิธีการ คนส่วนใหญ่จะชอบคิดว่าสำเร็จยังไง แม้กระทั่งทุกวันนี้ทำช่องยูทูบจะมีแฟนคลับคอมเมนต์มาเยอะมาก อยากรู้วิธีการเข้ามาเยอะมาก ถ้าเจออุปสรรคต้องทำยังไงคะ เจอลูกค้าพูดแบบนี้ต้องทำยังไง จะเจอมาเยอะมาก
สำคัญกว่าคือวิธีคิดว่าเราจะคิดแก้ปัญหาแต่ละยังไง ทุกเรื่องที่เราเจอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านความรู้สึก ปัญหาทางด้านธุรกิจ ปัญหาในด้านอะไรก็แล้วแต่ สิ่งแรกที่ต้องตั้งสติคือใจของเรา ต้องตั้งสติให้ได้ก่อนว่า สิ่งที่เราเจอ เราจะแก้ปัญหามันได้ยังไง แต่ถ้าปัญหามันอยู่ที่เดิม แต่เราไม่มีวิธีคิดที่มีสติ หรือคิดบวก ไม่ได้โลกสวยนะ แต่เป็นการมองบวกว่าดีกว่ามันไม่แย่ไปกว่านี้ ดีกว่าแล้ว ต่อให้เราคิดลบไป เศร้ากับตัวเองไปกับทุกอย่างที่เจอ

แม้กระทั่งชีวิตวาล์วที่บ้าน บางคนฟังอาจจะรู้สึกเศร้าจังเลย แต่วาล์วไม่ได้เอาความเศร้าในชีวิตมาเป็นแรงขับตัวเอง มาประกาศบอกทุกคนว่า ซื้อของวาล์วเถอะวาล์วน่าสงสาร แต่วาล์วกลับกลายเป็นตั้งสติแล้วทำยังไงให้เราสามารถสร้างคุณค่า แก้โจทย์ปัญหาชีวิตของเราได้

ถ้าเรายังคิดลบกับตัวเอง ไม่สามารถคิดบวก หรือมีแรงบันดาลใจในการผลักดันชีวิตเราได้ ปัญหาจะเจอแค่นิดเดียว หรือจะใหญ่แค่ไหนก็แก้ไม่ได้อยู่ดี เพราฉะนั้นวิธีคิดสำหรับวาล์วสำคัญที่สุด

และการใช้ชีวิตด้วยความคิดบวกกับตัวเอง สำคัญที่สุด เอาปัญหามามองโลกในสถานการณ์ที่ทั้งร้ายและดีว่ามันจะเป็นยังไงแบบมีสติ แต่ไม่ใช้อารมณ์ไปอยู่กับปัญหานั้น”


นอกจากเป็นนักธุรกิจแล้ว ยังเป็นเหมือนโค้ชที่ถูกเชิญให้ไปพูดเป็นแรงบันดาลใจในเรื่องธุรกิจให้กับผู้คนทั้งในประเทศ และต่างประเทศอีกด้วย เป็นการแชร์ประสบการณ์ของตัวเองที่เริ่มทำธุรกิจในอายุยังน้อยจนประสบความสำเร็จ

ถ้าเรื่องโค้ชต้องบอกว่าคนอื่นเรียกวาล์วมากกว่าก็ถูกเชิญไปพูดที่มหาวิทยาลัยบ้าง หรือแม้กระทั่งที่วัดก็มี ไม่ว่าจะเชิญให้ไปพูดที่อเมริกา เชิญไปพูดที่ต่างประเทศก็มี ในจุดๆ นี้เราเลยมองว่า เมื่อก่อนเราอาจจะคิดว่า การที่เรามีรายได้กับตัวเองมันก็สนุกสนาน แต่วันนี้สิ่งที่มันเหนือกว่านั้น เรื่องราวของเรา เป็นเหมือนแรงผลักดันของชีวิตคนอื่นด้วย รู้สึกภูมิใจ”


ใช้จริง พิสูจน์ด้วยตัวเอง

เป็นคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยมากสำหรับแบรนด์ธุรกิจด้านสกินแคร์ หรือคอลลาเจน ว่าเจ้าของแบรนด์เองใช้จริงไหม แม้กระทั่งตัวพรีเซ็นเตอร์เองใช้จริงไหม

นักธุรกิจสาวร้อยล้าน เธอย้ำว่า พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองว่าใช้จริง และยังมองว่าลูกค้าเองก็ไม่ได้โง่ หากไม่ดีจริงจะไม่มีการกลับมาซื้อซ้ำ แบรนด์นั้นก็ไม่สามารถเติบโตได้ในระยะยาว

“ตั้งแต่เปิดแบรนด์มา เราไม่เคยมีพรีเซ็นเตอร์เลย และไม่อยากจะโชว์เลย แต่ต้องอวดหน่อยนะคะว่าถ้าเปิดกล่องของครีมตัวแรกของเรามาจะเห็นหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งก็คือวาล์วเอง แล้วตอนนั้นเราอายุ19 ปีนะคะ แต่เรามั่นใจมากๆ

ในวันนั้นลูกค้าที่รักเราเชื่อมั่นเราจริงๆ เขาทัชกับคำที่วาล์วบอกว่า เราเป็นพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าตัวเองก่อน เมื่อเราใช้จริง วันที่วาล์วไปพัฒนาสูตรที่เกาหลีกว่าจะออกสินค้าได้ประมาณ4-5 เดือน ถ้าพูดถึงตัวคลอลาเจน ซาคานะ ปัจจุบัน1 ปีเลยนะคะ ถ้าใครที่ติดตามเฟซบุ๊กวาล์วก็จะเห็นว่าไปอยู่ญี่ปุ่น ไปพัฒนาสูตรกับแล็บ น่าจะเดือน ธ.ค. ของปีนึง แล้วกว่าจะออกสินค้า ก็คือ  ธ.ค. อีกปีนึงเลยค่ะ

เพราะฉะนั้นวาล์วไม่ได้แบบอยู่ในจุดที่เราทำสินค้าอะไรก็ได้ แน่นอนว่าในวงการมีสินค้ามากมายให้เราเลือก หรือแม้กระทั่งว่า แบบเดียวกัน เปลี่ยนแค่ Packaging ก็มี คือมันมีหมดให้เราเลือก อยู่ที่ว่าเราจะเลือกจุดไหน

แต่ในตอนนั้นที่เราตั้งใจกับสินค้าจริงๆ เพราะเราอยากให้สินค้าคือตัวชู และทำให้มันมีคุณค่าจริงๆ สุดท้ายแล้ว การที่วันนี้เรามีพรีเซ็นเตอร์ระดับแม่ชม หรือเป้นระดับไหนก็ตาม ถ้าสินค้าเราไม่ได้จริง ลูกค้าซื้อครั้งเดียวจริงไหมคะ ลูกค้าก็คือรับรู้ ตื่นเต้นอยากใช้ พอมาใช้จริงสินค้าไม่ได้ดีอย่างที่พูดเลย เราก็เป็นเพียงแค่กระแสแล้วก็เปิดได้แค่ครั้งเดียว

เราต้องทำธุรกิจระยะยาว เพราะฉะนั้นเมื่อลูกค้าซื้อซ้ำ นั่นแหละ Real Order Is The King การซื้อซ้ำคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ธุรกิจเราเติบโต นอกจากเราเป็นพรีเซ็นเตอร์ของเราเอง ในซาคานะก็จะเจอหน้าของวาล์วเหมือนกันที่เราพรีเซ็นความเป็นเรา”


ทุกวันนี้เรียกได้ว่าธุรกิจด้านสกินแคร์มีอยู่เต็มท้องตลาดมาก ข้อแตกต่างที่ทำให้แบรนด์นี้เป็นที่สนใจของหลายคน คือ เจ้าของแบรนด์ใช้จิง และให้ผลได้ในระยะยาว และยังมองว่า ลูกค้าไม่ได้โง่ที่จะเลือกสิ่งดีๆ ให้ตัวเอง

นอกจากที่เราเป็นพรีเซ็นเตอร์ของตัวเองแล้ว สิ่งสำคัญคือลูกค้าในทุกวันนี้ไม่โง่ค่ะ นี่เป็นคำที่เรากล้าพูดเลย เหมือนกับเรา ที่อยู่ในฐานะที่เป็นเจ้าของแบรนด์ แต่เราก็อยู่ในฐานะที่เป็นลูกค้าของสินค้าต่างๆ ด้วย เพราฉะนั้นเราเชื่อว่าเราเองก็ไม่โง่ ลูกค้าคนอื่นก็ไม่โง่ที่ต้องการสินค้าที่ดีจริงๆ

ถ้าคำว่าวาล์วใช้เองไหม แน่นอนว่า ถ้าสำหรับวาล์วใช้เอง แล้วก็เดินทางมา 2 ปี ถึงเลือกที่จะคว้าพรีเว็นเตอร์ระดับสากลที่เหมือนเป็นไอคอนของสินค้าเราจริงๆ ว่าเขาเลือกแล้วนะ นี่คือสิ่งสำคัญค่ะ

ถ้าย้อนกลับไปที่ครีมตัวแรก เหตุผลที่ครีมตัวแรกเราขายดีมากๆ ไม่มีพรีเซ็นเตอร์เลย คือพี่หนึ่งนั่นเอง ก็คือพี่หนึ่ง สามี เป็นหนูทดลองของเรา ต้องไปดูคลิปเจ้าของแบรนด์หน้าผี ตอนนี้น่าจะ 30-40 ล้านวิวนะคะ ก็คือ พี่หนึ่งเมื่อก่อนสิวขึ้นเป็นไร่ แต่พอใช้โรสโกล์ด กลายเป็นไวรัลขึ้นมา แล้วทำให้สินค้าตัวนี้ดังจริง

นอกจากนี้ แบรนด์นี้ เป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ 100% ลงทุนลงแรงบินไปดูควบคุมผลิตสินค้าเองถึงประเทศเกาหลี และญี่ปุ่น และเร็วๆ นี้ จะมีสินค้านำเข้ามากจากประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย

“ไม่มีใครเก่งตั้งแต่วันแรก แต่เราต้องพัฒนาตัวเองให้เร็ว ตอนนี้วาล์วก็รู้สึกว่าเราพิสูจน์ให้หลายคนเห็นแล้วว่าเราตั้งใจทำจริงๆ ตั้งใจสร้างสินค้าที่ดีต่อลูกค้าจริง

คนส่วนใหญ่จะรู้สึกกลัว ไม่อยากให้คนรู้ลึก แต่วาล์วสวนทาง จะพูดเสมอว่าการทำธุรกิจวาล์วจะถือมีดอยู่ตลอดเวลา จะผ่าให้คนดูเสมอว่าเราทำอะไรบ้าง พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นอยู่ตลอด

ลูกค้าก็เลยเหมือนติดตามชีวิตของแบรนด์เราอยู่ตลอด ไปดูแล็บที่ญี่ปุ่น เกาหลี เขาก็จะสนุกไปกับเรา มันก็เลยทำให้ กลายเป็นความแตกต่างที่ทำให้ลูกค้ารักและลูกค้าชอบค่ะ”



แม้จะเรียนไม่จบ แต่มองการศึกษาสำคัญเสมอ





 “ทำงานตั้งแต่เด็กไม่เรียนหนังสือเหรอ นี่จะเป็นคำถามที่ฮิตมากๆ เหมือนกัน อย่างที่วาล์วบอก ในตอนที่เราอายุประมาณ 13-14 ปี ตอนนั้นเราเจอวิกฤตในครอบครัวหนักมาก มันเลยทำให้เราต้องเลือกแล้วว่าเราจะทำยังไงต่อ ช่วงประมาณ ม.2 วิกฤตค่อนข้างเข้ามารุกล้ำเรา ก็คือ การที่พ่อกับแม่ไม่มีตังค์จ่ายค่าเทอม ซึ่งนั่นคือจุดพลิกในชีวิตก็ว่าได้


จากตอนแรกที่เราเห็นปัญหาครอบครัว แล้วมันก็รุกล้ำมาสู่ตัวเรา มันก็ทำให้เราต้องเริ่มต้นดูแลตัวเองให้ได้แล้วนะ เราอาจจะยังไม่มีกำลังดูแลพ่อแม่ในตอนนั้น แต่เราต้องดูแลตัวเองให้ได้ในตอนนั้น ก็คิดแล้วว่าจะทำยังไง ก็เลือกที่จะหาโอกาสว่าเราอยากที่จะไม่เรียน แต่เราก็ต้องรับผิดชอบในด้านนี้ให้ได้ ก็คือ ตอนนั้นเราอยู่ ม.2 เราก็หาทางแล้วว่าเราอยากที่จะสอบเทียบ


ซึ่งปกติคนที่จะสอบเทียบจะต้องอยู่ ม.4 ขึ้นไปถึงจะสอบเทียบได้ แต่ว่าจะมีอยู่อันหนึ่งที่เป็น IGCSE เป็นการสอบเทียบของอังกฤษ แต่จะยากกว่ามากๆ ของ GED จะยากกว่ามากๆ ของเมืองไทยที่เขาสอบกัน แต่เด็ก ม.2 ตอนนั้นสามารถสอบได้ อายุประมาณ14-15 สามารถเริ่มสอบได้แล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าเราท้าทายตัวเอง และเราอยากจะทำงาน อยากจะไปใช้ชีวิต สร้างชีวิตตัวเอง เพื่อทั้งตัวเองและครอบครัว เราก็ต้องรับผิดชอบตรงนี้ในระยะเวลาอันสั้น เราก็เลยสอบเทียบตรงนั้น และใช้ระยะเวลาเพียงแค่ปีกว่าๆ ในการสอบ และทำให้วาล์วได้วุฒิ ม.6 ตั้งแต่วาล์วอายุ 14 ปี


ตอนนั้นวาล์วก็เลยไม่ได้เรียน ม.3-ม.6 แต่วาล์วได้วุฒิ ม.6 มาตั้งแต่วาล์วอายุ 14 ปี ในตอนนั้น และเราก็ใช้เวลาที่เราลัดอย่างรวดเร็วไปใช้ชีวิต ไปหาประสบการณ์จริง ก็เลยทำให้วาล์วมีวันนี้


พออายุประมาณ17-18 ปี เราก็เริ่มเห็นเพื่อนๆ เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย เพราะเราจบ ม.6 ก่อนเพื่อนๆ ตอนนั้นเราก็เลยเลือกที่จะไปสอบเข้าที่ธรรมศาสตร์ คณะวารสารศาตร์ ตอนนั้นเราก็ดูแลตัวเองได้แล้ว จ่ายค่าเทอมตัวเองได้แล้ว ทุกอย่างมันท้าทายเราหมด ในขณะที่เราไม่มีเวลา เรากำลังสร้างชีวิตอยู่ แต่เราจะทำให้มันสำเร็จได้ยังไง ในเรื่องนี้ด้วย


ตอนนั้นวาล์วเรียกได้ว่าไม่อ่านหนังสือเลยในการเข้าสอบ กลายเป็นว่า ใช้เวลา 24 ชั่วโมง ตั้งแต่เที่ยงคืนถึงเที่ยงวัน นั่งอ่านหนังสือเข้าสอบคณะวารสารศาสตร์เพียงแค่วันเดียว คือ วาล์วรู้สึกว่าถ้าเราอยากทำอะไร ถ้าเราโฟกัสในสิ่งนั้นเราสามารถทำได้เสมอ เราถึงสอบเข้าปี 1 ในตอนนั้นได้


สุดท้ายแล้ว เราเรียนไปได้แค่ 1 ปี ในขณะเดียวกัน ธุรกิจตอนนั้นเรากำลังเริ่มที่จะทำโรสโกลด์แล้ว มันค่อนข้างที่จะรุ่งเรือง เมื่อเราอยู่ในมหาลัย ที่ค่อนข้างเข้มงวด แค่ขาดเรียน 3 ครั้ง ก็คือ เอฟแล้ว ในขณะเดียวกัน เมื่อเจอวันต้องสอบ เราต้องไปเจอลูกค้ารายใหญ่ ไปเจอพาร์ตเนอร์ใหญ่ที่ต้องปิดยอดขายเป็นหลักล้าน มันต้องเลือก


ตรงนี้มันก็เลยทำให้เราไม่สามารถที่จะทำทั้งสองอย่างให้มันที่สุดได้จริงๆ แล้วบวกกับว่าปัญหาของครอบครัวหนักขึ้นเรื่อยๆ จากตอนนั้นเราเห็นหลักสิบล้าน กลายเป็นในช่วงที่เราสร้างตัวเอง พ่อกับแม่เจอวิกฤตไปถึง 40-50 ล้าน


มันเหมือนกับสิ่งที่เราทำมันเหมือนต้องวิ่งตามปัญหาที่เราเจอตลอดเวลา ก็เลยทำให้ตอนนั้นต้องเลือกเยอะมาก ก็เลยเลือกที่จะดรอปเรียนปี 1 หันมาตั้งใจทำธุรกิจเป็นเสาหลักของครับครัวอย่างแท้จริง เพราะครอบครัวไม่มีรายได้เลย พี่ๆ ก็ไม่มีรายได้แล้ว เราต้องเลี้ยงเขายังไง ก็เลยต้องเลือกที่จะออกจากปี 1


แต่ว่าถือเป็นความภาคภูมิใจที่เราได้พิชิต ทำให้พ่อกับแม่เห็นแล้วว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็สามารถทำได้หมดเลย แต่ตอนนั้นเหมือนเป็นวิกฤตที่เราต้องเลือกแล้วจริงๆ ค่ะ


การศึกษาสำคัญแน่นอน อย่าตัดสินว่าเห็นวาล์วเป็นแรงบันดาลใจแล้วก็ไปเลิกเรียนเลยดีกว่า ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ เพราะว่าชีวิตของบางคนก็เลือกได้ แต่ชีวิตใครบางคนก็อาจจะเลือกไม่ได้ ตอนนั้นวาล์วไม่สามารถเลือกได้


แต่ถามว่าในตอนนั้นที่เราเลือกที่จะออกจากมหาลัย จริงๆ มันต้องคิด 360 องศาแล้วว่าเราเลือกทางนี้มันจะดีกว่าแค่ไหน บางคนคิดว่าไม่อยากเรียนแล้ว ออกไปทำงาน อยากไปทำงานตามที่เขาว่ากัน แต่ถ้าหากไปทำเล่นๆ แล้วก็ทิ้งการเรียนด้วย สุดท้ายแล้วก็จะไมได้อะไรสักอย่าง


สำหรับวาล์วมองว่า ถ้าเราเลือกได้ในตอนนี้ การศึกษานั้นยังสำคัญ ที่เราจะต้องตั้งใจเรียนในสิ่งที่เราชอบ เพราะส่วนใหญ่การศึกษาคนส่วนใหญ่จะมาค้นพบตัวเองตอนที่เรียนจบแล้ว บางคนเริ่มเข้าปี 1 อาจจะยังไม่พบตัวเอง การค้นหาตัวเองอยู่ตลอดเวลาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด


การศึกษาสำหรับวาล์วในวันนี้ ถึงแม้ว่าเป็นคนนึงที่เลือกจะออกจากศึกษา ถึงแม้ว่ามันอีกนิดนึงมันจะสำเร็จแล้ว แต่วาล์วก็รู้สึกว่าการที่วันนี้เราออกมา เราก็ไมได้หยุดที่จะศึกษาเรียนรู้ พอเราออกมาเราก็เลือกที่จะศึกษาเรียนรู้ข้างนอก ศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์จริงๆ ที่มันมีมากกว่าในตำรา


ในทางของวาล์วเองมองว่า ถึงแม้จะอยู่ในจุดนี้ การศึกษาที่วาล์วได้รับในวันนี้คือความล้มเหลว ปัญหา โจทย์ชีวิตที่ทำให้เราต้องแก้ มันเหมือนเราได้ใช้งานมันตลอดเวลา แต่สำหรับใครบางคนมองว่าจะทิ้งการเรียนไปสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ชอบนั้นมันต้องสร้างประโยชน์ให้ครอบครัวและตัวเราได้เช่นกัน อย่างแท้จริงและแน่นอน

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก