ตากระตุก (Eye Twitching) คือ อาการที่เปลือกตามีการขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มักเกิดขึ้นและหายได้เองในเวลาอันสั้น และแม้จะเป็นอาการเพียงเล็กน้อย หากเกิดขึ้นถี่ ๆ ก็ทำให้เกิดความรำคาญได้
แต่อาการตากระตุก ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนบางอย่างจากร่างกาย ว่าเรากำลังเป็นโรคร้ายบางชนิด เช่น โรคอัมพาตใบหน้า, โรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง เป็นต้น
มนุษย์ออฟฟิศ ต้องรู้ “วิธีถนอมดวงตาคู่สวย” !!!
รู้หรือไม่ว่า "ชีวิตติดจอ" ส่งผลร้ายต่อคุณแค่ไหน
“ตากระตุก” เกิดจากอะไร?
-เครียดสะสม พักผ่อนไม่เพียงพอ
-ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป
-สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
-จ้องจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน มองแสงจ้า มากเกินไป
-ลม หรือมลพิษทางอากาศ ตาล้า ตาแห้ง
-ระคายเคืองที่เปลือกตาด้านใน โรคภูมิแพ้
-ขาดวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารบางชนิด
-ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
สิ่งที่ต้องทำเบื้องต้น เมื่อ “ตากระตุก”
-นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
-ลดการใช้สมาร์ทโฟน หรือ ลดการจ้องมองที่ที่มีแสงจ้า
-ลด/หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
-งดการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
-ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
-ประคบร้อน/อุ่นบริเวณดวงตา นวดกล้ามเนื้อรอบดวงตา
-หยอดน้ำตาเทียม เมื่อตาแห้ง หรือระคายเคือง
แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม
-ตากระตุกติดต่อกันนานเป็นเวลา 2 สัปดาห์ขึ้นไป
-มีอาการกระตุกบริเวณอื่นๆ เพิ่มเติมบนใบหน้า
-ตาที่กระตุกมีอาการอ่อนแรงหรือหดเกร็ง / บวม แดง หรือมีสารคัดหลั่งไหลออกมา
-เปลือกตาด้านบนห้อยย้อยลงมา หรือ เปลือกตาปิดสนิททุกครั้งที่เกิดอาการตากระตุก
หากดูแลตัวเองแล้วไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์ รับการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ รับประทานยาตามแพทย์สั่ง หรือ ฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งเป็นวิธีที่ผ่านการรับรองให้ใช้รักษาอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งที่ควบคุมไม่ได้
ภาวะหนังตากระตุก หรือ ตาเขม่น เป็นอาการที่กล้ามเนื้อรอบดวงตามีการเกร็งกระตุก หดตัวผิดปกติ มักเริ่มจากอาการเล็กน้อย และค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น บางรายมีอาการรุนแรงถึงขั้นรบกวนการมองเห็นตาปิดและลืมตาไม่ขึ้น
สาเหตุส่วนใหญ่
- โรคตา หรือ กระจกตาที่ทำให้เกิดการระคายเคือง เช่น ตาแห้ง จากการใช้สายตา หรือ เพ่งจอ คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
- ความเครียด ไม่ได้พักผ่อน
อาการ
- กะพริบตาถี่มากขึ้นหรือรอบตากระตุก อาจเกิดได้ทั้งข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง
- กรณีรุนแรงผู้ป่วยจะมีอาการกะพริบตาค้าง หรือ ไม่สามารถลืมตาขึ้นเองได้ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้
แนะนำ
- หากมีอาการกระตุกเพียงเล็กน้อย แนะนำให้ผักสายตา หยอดน้ำตาเทียม
- หากมีอาการเรื้อรัง ควรรีบพบจักษเพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและประเมินการรักษาต่อไป
ข้อมูล ณ วันที่ 21 เมษายน 2565
ที่มา : รศ. พญ.พริมา หิธัญวิวัฒน์กุล
ฝ่ายจักษุวิทยา
รู้จักเปลือกตากระตุก
อาการเปลือกตากระตุก (Eyelid Twitching) เกิดขึ้นจากกล้ามเนื้อเปลือกตาเกิดการเกร็งกระตุก สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง ส่วนใหญ่จะเป็นที่เปลือกตาบน มีอาการตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง และหากมีการกระตุกของส่วนอื่น ๆ บนใบหน้า อาจเป็นสัญญาณบอกโรคได้
เปลือกตากระตุกบอกความผิดปกติ
อาการเปลือกตากระตุกสามารถแยกออกเป็นโรคที่มีอาการแสดงและสาเหตุแตกต่างกันออกไป ได้แก่
- กล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น (Eyelid Myokymia)
- กล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก (Blepharospasm)
- กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีก (Hemifacial Spasm)
กล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น
กล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น (Eyelid Myokymia) คือ ภาวะที่เปลือกตามีอาการเต้นหรือกระตุก เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยมีอาการเต้นหรือกระตุกเฉพาะบริเวณเปลือกตา ส่วนมากจะเป็นเพียงข้างเดียว พบว่าเกิดกับเปลือกตาล่างบ่อยกว่าเปลือกตาบน อาการมักเป็นสั้น ๆ และหายเองได้ในเวลาไม่กี่วินาทีหรือเป็นชั่วโมง แต่บางครั้งอาจมีอาการนานหลายสัปดาห์ได้
สาเหตุของโรค
สาเหตุของกล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีหลายปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น อาทิ
- ความเหนื่อยล้า
- ความเครียด
- ความวิตกกังวล
- การดื่มคาเฟอีน
- การดื่มแอลกอฮอล์
- การออกกำลังกาย
- การสูบบุหรี่
- อาการระคายเคืองตา
- แสงจ้า
- ลมหรือมลภาวะทางอากาศ
- ยาบางชนิด เช่น Topiramate, Clozapine, Gold Salts, Flunarizine ฯลฯ
นอกจากนี้โรคทางระบบประสาทบางอย่างอาจทำให้เกิดภาวะเปลือกตากระตุกได้ แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการทางระบบประสาทอื่นร่วมด้วย เช่น Demyelinating Diseases, Autoimmune Disease, Brainstem Pathology ฯลฯ
อาการต้องพบแพทย์
ส่วนใหญ่แล้วกล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่นมักจะหายได้เองถ้าหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
- ตาเขม่นไม่หายเป็นเวลานาน 2 – 3 สัปดาห์
- ตาเขม่น ทำให้ลืมตายากหรือตาปิด
- มีการกระตุกบริเวณอื่นของใบหน้าหรือร่างกายร่วมด้วย
- ตาแดงหรือมีขี้ตา
- เปลือกตาตก
รักษากล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น
- ส่วนมากสามารถหายเองได้ โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ
- หากเป็นมากจนรบกวนชีวิตประจำวันหรือนานเกิน 3 เดือน อาจพิจารณาให้รักษาด้วยการฉีด Botulinum Toxin
กล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก
กล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก (Blepharospasm) คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อเปลือกตาหดตัวผิดปกติ ทำให้กะพริบตาบ่อยขึ้น หลับตาทั้งสองข้างโดยไม่ได้ตั้งใจ มักเริ่มจากอาการกล้ามเนื้อเปลือกตากระตุกเล็กน้อย และอาการค่อย ๆ เป็นมากขึ้น จนอาจรบกวนการมองเห็น เนื่องจากไม่สามารถลืมตาได้ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมักพบในช่วงอายุ 40 – 60 ปี
สาเหตุของโรค
สาเหตุกล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุกยังไม่ทราบแน่ชัด อาจมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมในบางรายอาจมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของสมองส่วน Basal Ganglia
ปัจจัยกระตุ้นโรค
ปัจจัยที่อาจกระตุ้นกล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก ได้แก่
- อุบัติเหตุที่ศีรษะหรือใบหน้า
- ประวัติครอบครัวที่มีโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติ เช่น Dystonia, Tremor ฯลฯ
- Reflex Blepharospasm จากโรคทางตา เช่น ตาแห้ง, เปลือกตาอักเสบ, ตาอักเสบ, ภาวะไวต่อแสง ฯลฯ
- มีสิ่งระคายเคืองเยื่อหุ้มสมอง
- ภาวะเครียด
- ผลจากยา เช่น กลุ่มยารักษาโรคพาร์กินสัน ฯลฯ
- การสูบบุหรี่
- พบได้ในโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติอื่น ๆ เช่น Tardive Dyskinesia, Generalized Dystonia, Wilson Disease, และ Parkinsonian Syndromes
รักษากล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก
- รักษาปัจจัยที่กระตุ้น Reflex Blepharospasm ได้แก่ การใช้น้ำตาเทียม, การรักษาเปลือกตาอักเสบ, การใช้แว่นตาดำ โดยเฉพาะชนิด FL-41 ฯลฯ
- กลุ่มยาคลายกล้ามเนื้อ กลุ่มยานอนหลับ
- การฉีด Botulinum Toxin มักให้ผลการรักษาที่ดี
- การผ่าตัด เฉพาะในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการฉีด Botulinum Toxin
กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีก
กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีก (Hemifacial Spasm) คือ ภาวะที่มีการกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีก มักพบในช่วงอายุ 50 – 60 ปี และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย อาการมักเริ่มที่เปลือกตาก่อนแล้วค่อย ๆ เป็นมากขึ้น โดยมีอาการกระตุกที่แก้มและริมฝีปากด้านเดียวกัน อาการกระตุกนี้ไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อโรครุนแรงขึ้นจะมีอาการกระตุกเกือบตลอดเวลา อาจพบอาการกระตุกขอบใบหน้าอีกฝั่งได้ แต่พบน้อยมาก และจะมีอาการกระตุกไม่พร้อมกัน
ปัจจัยกระตุ้นโรค
อาการใบหน้ากระตุกอาจถูกกระตุ้นได้จากปัจจัยต่าง ๆ อาทิเช่น
- การเคลื่อนไหวใบหน้า
- ความวิตกกังวล
- ความเครียด
- ความเหนื่อยล้า
- ฯลฯ
ประเภทของโรค
กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- Primary Hemifacial Spasm คือ การที่เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 โดนกดทับจากเส้นเลือดบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดความผิดปกติของการควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า เกิดการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและเปลือกตา
- Secondary Hemifacial Spasm พบได้น้อยกว่า Primary Hemifacial Spasm บางครั้งอาจไม่ทราบสาเหตุ และพบว่าบางรายมีประวัติครอบครัวร่วมด้วย โดยอาจเกิดจาก
- เส้นเลือดแข็งตัว (Atherosclerosis)
- เส้นเลือดผิดปกติ (Arteriovenous Malformation)
- เส้นเลือดโป่งพอง (Aneurysm)
- เนื้องอกของต่อมน้ำลาย
- เนื้องอกที่บริเวณ Cerebellopontine Angle
- การบาดเจ็บของเส้นประสาทคู่ที่ 7
- รอยโรคของก้านสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคปลอกประสาทอักเสบ และ Bell’s Palsy
ตรวจวินิจฉัยโรค
- ซักประวัติและตรวจร่างกาย
- การตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจสมองและเส้นประสาทสมองด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ฯลฯ
รักษากล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีก
- กลุ่มยากันชัก อาจช่วยลดอาการได้บ้างในบางราย
- การฉีด Botulinum Toxin
- การผ่าตัด Microvascular Decompression ในกรณีที่มีเส้นเลือดกดทับเส้นประสาท
แม้อาการเปลือกตากระตุกสามารถหายได้เอง แต่อย่านิ่งนอนใจ หากมีอาการเรื้อรังนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน มีอาการผิดปกติของดวงตาที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว