ถ้าถามว่าวันนี้ประเทศไหนมีประชากรมากที่สุดในโลก ปี 2022 พี่จีนก็ยังคงยืนหนึ่งเรื่องการเป็นที่สุดในโลกด้านนี้อยู่ แต่ล่าสุดมีข้อมูลใหม่ล่าสุดออกมาว่า พี่จีนของเรากำลังจะเสียแชมป์ประชากรมากที่สุดในโลกให้กับ “อินเดีย” แล้วในปี 2023
วันนี้พี่ทุยก็เลยอยากชวนทุกคนมาติดตามไปด้วยกันเรื่องประชากรโลก และคิดไปพร้อมกันว่าเมื่ออินเดียมีประชากรมากที่สุดในโลกจะมีผลอะไรตามมา
ประชากรโลกยังเติบโต แต่บางประเทศเริ่มลดลง
ก่อนอื่นพี่ทุยขอเริ่มจากการหยิบข้อมูลจำนวนประชากรโลก มาสรุปให้ทุกคนดูกัน
จำนวนประชากร อินเดีย VS จีน
ถ้าดูจากข้อมูลจำนวนประชากรแล้ว ก็จะพบว่า จำนวนประชากรโลกโดยรวมก็ยังเติบโตไปเรื่อย ๆ จากนี้ไปจนถึงปี 2050 เพียงแต่อัตราการเติบโตช้าลงกว่าเดิม เพราะอัตราการเจริญพันธุ์ในหลายประเทศลดลง โดยพบว่า ในปี 2022 มีถึง 2 ใน 3 ของประชากรโลก ที่อาศัยอยู่ในประเทศหรือพื้นที่ที่ผู้หญิง 1 คน มีอัตราการให้กำเนิดบุตรต่ำกว่า 2.1 คน
นอกจากนี้ก็พบว่า ระหว่างปี 2022-2050 จะมีถึง 61 ประเทศหรือพื้นที่ ที่จำนวนประชากรจะลดลง 1% หรือมากกว่านั้น เพราะว่าประเทศมีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำ หรือมีคนอพยพออกจากประเทศไปสูง
คราวนี้พอเจาะลึกไปที่อินเดียและจีน ก็พบว่า จีนครองตำแหน่งประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกมายาวนาน แต่ในปี 2023 นี้ จีนมีแววจะเสียแชมป์จำนวนประชากรมากที่สุดในโลกให้อินเดียไป
ถ้าตัวเลขเป็นไปตามที่ UN คาดการณ์ ซึ่งส่วนสำคัญก็มาจาก จำนวนประชากรจีนเริ่มไม่โต ส่วนจำนวนประชากรอินเดียเติบโตมาก และในอนาคตจีจีนมีแนวโน้มที่จำนวนประชากรจะลดลง แต่อินเดียกลับมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นแบบไม่หยุดยั้ง
ประชากรจีนโตน้อย ผลพวงนโยบายลูกคนเดียวที่ใช้มาในอดีต
เหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้อัตราการเติบโตของประชากรจีนเป็นเช่นนี้ ส่วนสำคัญมาจากนโยบายลูกคนเดียวที่จีนเคยใช้มาตั้งแต่ปี 1980 ทำให้จำนวนการให้กำเนิดบุตรของแต่ละครอบครัวจำกัด ซึ่งก็หมายความว่า ประชากรที่มีจำกัดในวันนั้น เมื่อเติบโตขึ้นมาอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ในวันนี้ ก็มีจำนวนจำกัดไปด้วย
แม้ว่าจีนจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายนี้เพื่อยับยั้งสถานการณ์ที่ประชากรลดลง โดยเริ่มอนุญาตให้ครอบครัวคนจีนมีลูกได้ 2 คน ตั้งแต่ปี 2015 และปี 2021 ก็ไฟเขียวให้มีลูกได้ 3 คน แต่ดูเหมือนว่ากลับตัวตอนนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ประชากรเพิ่มได้มาก ๆ แล้ว
ข้อมูลจากเว็บไซต์ worldometers พบว่า ในปี 2020 อายุเฉลี่ยของประชากรจีนโดยรวมอยู่ที่ 38.4 ปี แต่ประชากรอินเดียอยู่ที่ 28.4 ปี เท่านั้น แปลว่า ประชากรส่วนใหญ่ในอินเดียเป็นประชากรที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์อยู่ ต่างจากจีน ซึ่งมีประชากรที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์น้อยกว่า
ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ สังคมอินเดียยังเป็นสังคมที่คนหนุ่มสาวแต่งงานไว ทำให้มีโอกาสให้กำเนิดบุตรได้มากกว่าจีน ซึ่งแนวโน้มคนแต่งงานช้าลง และอินเดียมีแนวโน้มต้องรองรับประชากรที่อพยพมาต่อเนื่องจากบังคลาเทศ เนปาล และเมียนมา
“อินเดีย” เผชิญแรงกดดันและโอกาสจากการมีประชากรมากที่สุดในโลก
สรุปความท้าทายที่อินเดียต้องเจอ เมื่อมีประชากรมากที่สุดในโลก
- อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น
- มีปัญหาการจัดการใช้กำลังคนที่มีอยู่
- มีปัญหาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่ทันการเติบโตของจำนวนประชากร
- มีปัญหาการจัดการทรัพยากร เช่น ที่ดิน น้ำ และป่าไม้
- ความสามารถในการผลิตลดลง เพราะผลิตไม่ทันจำนวนคนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้นก็จะมีปัญหาใหญ่เรื่องเงินเฟ้อด้วย
- มีความเหลื่อมล้ำในด้านการกระจายรายได้สูงขึ้น
เมื่ออินเดียกำลังจะยืนหนึ่งเป็นประเทศที่ประชากรมากที่สุดในโลกในปี 2023 สิ่งที่ตามมาก็คือ ความท้าทายหลายด้าน อย่างเช่น ด้านทรัพยากร ที่อินเดียจะมีความต้องการมากขึ้น เพื่อมารองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น
ในเดือน มิ.ย. 2022 ก็เห็นสัญญาณชัดแจ๋วแล้วในประเด็นนี้ เมื่ออินเดียนำเข้าถ่านหินสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งผลพวงที่จะตามมาก็คือ อินเดียจะเผชิญความท้าทายมากในการทำให้ประเทศลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล เพื่อร่วมแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลก โดยก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรี Narendra Modi ของอินเดีย เคยประกาศไว้ว่าจะนำพาอินเดียสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2070
แม้จะมีความท้าทายที่พ่วงมากับจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก แต่ถ้าอินเดียบริหารจัดการได้ดี ก็ยังมีโอกาสดี ๆ ในการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจต่อหัวได้มากขึ้นอยู่ เพราะประชากรอินเดียส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน
คราวนี้ลองมาเจาะลึกเศรษฐกิจอินเดียกันหน่อยว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
ตัวเลขเศรษฐกิจอินเดียที่พี่ทุยสรุปมานี้ ต้องบอกก่อนว่าเป็นตัวเลขที่โดนหั่นลงมาแล้วจากประมาณการรอบก่อน ทั้งของ World Bank และ IMF ซึ่งการปรับลด หลัก ๆ มาจากผลกระทบที่อินเดียต้องเผชิญด้านต้นทุนการนำเข้าพลังงานที่แพงขึ้น หลังรัสเซียสู้รบกับยูเครน แต่ถึงตัวเลขจะลดลงมาแล้ว ก็จัดว่าอินเดียอยู่ในกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตสูงอยู่
ประชากรมาก เศรษฐกิจโตสูง ทำให้อินเดียเป็นอีกจุดหมายนักลงทุนต้องมอง
เมื่อเศรษฐกิจเติบโตสูง แถมประชากรก็มีมาก พี่ทุยก็เลยมองว่า คงไม่ใช่แค่จีนแล้ว ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม อินเดียก็เป็นอีกประเทศที่นักลงทุนต้องจ้อง ๆ บ้างแล้วเหมือนกัน
จากข้อมูลพบว่าคนอินเดียเริ่มสนใจลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียกันมากขึ้นในปี 2021 หลังจากที่ราคาหุ้นในปีนั้นขึ้นมา 25% ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในช่วงนั้นที่ยังต่ำอยู่ โดยถ้าดูสถิติล่าสุดของปี 2022 จากการสำรวจความคิดเห็นของครัวเรือนต่าง ๆ พบว่า คนอินเดีย 31% ที่ตอบแบบสำรวจมีการลงทุนในกองทุนรวม ส่วน 10% ลงทุนในหุ้น
พี่ทุยอยากชวนทุกคนมาลองคิดไปด้วยกันว่า ถ้าจำนวนประชากรอินเดียยังเติบโตต่อเนื่อง ถึงแม้สัดส่วนคนอินเดียที่ลงทุนในหุ้นและกองทุนรวมเทียบกับประชากรโดยรวมเท่าเดิม ก็แปลว่าในอนาคตยังมีโอกาสที่จำนวนคนอินเดียที่เข้ามาลงทุนในกองทุนรวมและหุ้น จะเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน
เมื่อมีนักลงทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น ก็จะช่วยผลักดันมูลค่าตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มขึ้น มีการซื้อขายหมุนเวียนในตลาดมากขึ้นโดยปริยาย ดังนั้นก็จะยิ่งดึงดูดให้ตลาดหุ้นอินเดียมีความน่าสนใจมากขึ้นในสายตานักลงทุนต่างชาติ
ต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นที่มีนักลงทุนรายย่อยลงทุนอยู่เยอะ ก็จะมีโอกาสผันผวนได้มากกว่าตลาดที่มีสัดส่วนนักลงทุนสถาบันสูง เพราะโอกาสที่นักลงทุนรายย่อยจะซื้อหรือขายตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับตลาดในช่วงนั้น ๆ มีมาก ขณะที่นักลงทุนสถาบันจะไม่ใช่กลุ่มที่ซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นบ่อย ๆ แต่จะถือลงทุนยาวเสียมากกว่า
ฉะนั้นเมื่อตลาดอินเดียยังผันผวนได้ง่าย แต่อนาคตข้างหน้าก็ดูมีแววที่น่าสนใจ เพราะตลาดมีโอกาสเติบโตตามจำนวนประชากร นักลงทุนจึงควรยกให้อินเดียเป็นอีกตัวเลือกสำหรับการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการลงทุนผ่านกองทุนรวม
อย่างไรก็ตาม พี่ทุยก็ต้องเตือนว่า ช่วงนี้ตลาดหุ้นอินเดียยังมีโอกาสผันผวนสูงอยู่ เพราะเป็นช่วงที่อินเดียปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น โดยมีการปรับขึ้นเร็วและแรง ซึ่งในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้ นักลงทุนจะเริ่มกังวลมากขึ้น
ถ้าพวกเขาไปลงทุนในหุ้นก็อาจจะได้ส่วนต่างจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากน้อยลง แปลว่าพวกเขาจะได้ผลตอบแทนที่แท้จริงน้อยลง คือ พอเอาผลตอบแทนที่ได้จากหุ้น หักลบด้วยผลตอบแทนจากเงินฝากแล้ว เหลือส่วนต่างน้อยลง แต่ความเสี่ยงที่เจอเหมือนเดิม
ดังนั้น จะเรียกว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องลงทุนอินเดีย ก็คงบอกได้ไม่เต็มปาก เพราะก็ยังต้องรอจับตาเรื่องการเมืองของอินเดียด้วยในระยะสั้น แต่ทิ้งไปเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้นพี่ทุยมองว่า ลองติดตามตลาดไปก่อน ถ้าตั้งใจอยู่แล้วว่าจะลงทุนระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป พี่ทุยก็มองว่า แบ่งเงินส่วนหนึ่ง แบบไม่มากมายอะไร มาลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียเป็นอีกทางเลือกเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนระยะยาว ก็ไม่เสียหายอะไร
หรือถ้ามั่นใจว่า ตัวเองรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้แน่ๆ ทั้งความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของราคาหุ้น ความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงความไม่แน่นอนต่าง ๆ ทางการเมืองระหว่างประเทศ และนโยบายภาครัฐ และเชื่อแบบไม่มีข้อสงสัยว่า เศรษฐกิจอินเดียยังไงก็ต้องโตต่อแน่ๆ หุ้นอินเดียต้องได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกมากขึ้น จะทำ DCA ลงทุนเฉลี่ยเท่ากันทุกเดือน กับกองทุนที่มีนโยบายลงทุนหุ้นอินเดียก็ไม่เสียหายอะไร
อ่านเพิ่ม
- “Mukesh Ambani มหาเศรษฐีอินเดีย” ที่ขึ้นชื่อว่ารวยที่สุดในเอเชีย