ใครที่เคยทำ Custom Audience ด้วยเบอร์มือถือใน Facebook จะทราบดีว่าเบอร์มือถือที่อัพโหลดขึ้นไปนั้นจะต้องเป็นเบอร์ที่มีรหัสประเทศด้วยจึงจะสามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ ยกตัวอย่างเช่นเบอร์ 085xxxxxxx จะต้องแก้ไขให้เป็น 6685xxxxxxx ก่อนที่จะอัพโหลดขึ้นไป ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นคือ ปกติเรามักจะเก็บเบอร์มือถือที่ไม่มีรหัสประเทศ ทีนี้พอจะเอามาใช้งานก็เลยต้องมาแก้ไขกันก่อน ซึ่งถ้ามีจำนวนเบอร์ไม่มากก็สามารถที่จะแก้ไขแบบแมนนวลได้แต่อาจจะเสียเวลาหน่อย แต่ถ้ามีเบอร์จำนวนหลายพันหรือหลายหมื่นเบอร์ การแก้แบบแมนนวลก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงหลักแสนหรือหลักล้านเบอร์อย่างที่ผมเองเคยต้องทำ ถ้าต้องแมนนวลแล้วละก็ ฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่าครับ สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก Custom Audience สามารถอ่านได้จากท้ายบทความนี้
วิธีใส่รหัสประเทศ 66 ในเบอร์มือถือง่ายๆ ด้วย Excel
- เปิดไฟล์ CSV หรือ Excel ที่เก็บลิสต์เบอร์มือถือสำหรับทำ Facebook Custom Audience ขึ้นมาตามตัวอย่างภาพด้านล่าง
- ใน Cell B ให้ใส่สูตร Replace ตามภาพด้านล่างโดยพิมพ์คำว่า =REPLACE( เมื่อพิมพ์ถึงวงเล็บเปิด Excel จะแสดงตัวอย่างคำแนะนำในการระบุค่าต่างๆ ในสูตร โดยที่แต่ละตัวมีความหมายดังนี้
- old_text คือ Cell ที่เราจะทำการแก้ไข ในที่นี้คือ Cell A1 ให้คลิ้กที่ A1 แล้วใส่เครื่องหมายคอมม่า
- start_num คือ การกำหนดว่าข้อมูลใหม่ที่จะ Replace เข้าไปนั้นให้เร่ิมใส่ที่ตัวอักษรที่เท่าไร กรณีนี้เราจะนำ 66 ไปใส่แทน 0 ซึ่งเป็นตัวแรกดังนั้นส่วนนี้ให้พิมพ์เลข 1 แล้วพิมพ์คอมม่า
- num_chars คือให้ Replace แทนที่ตัวอักษรเดิมไปกี่ตัวนับจาก start_num กรณีนี้เราจะแทนที่ 0 ตัวเดียวดังนั้นให้พิมพ์ 1 แล้วพิมพ์คอมม่าเหมือนเดิม
- new_text คือข้อมูลใหม่ที่เราจะนำไปแทนที่เลข 0 ส่วนนี้ก็ให้ใส่รหัสประเทศ 66 เข้าไปตามภาพ พิมพ์วงเล็บปิด แล้ว enter เป็นอันเสร็จขั้นตอนการใส่สูตร
- เมื่อใส่สูตรถูกต้องแล้วจะได้เบอร์มือถือใหม่ในช่อง B1 ที่มีรหัสประเทศแล้วตามภาพ หลังจากนั้นก็ถึงขึ้นตอนสุดท้ายคือการเปลี่ยนหมายเลขมือถือที่เหลือทั้งหมดให้มีรหัสประเทศ ตรงนี้หลายคนคุ้นเคยกับการลาก Cell ที่ใส่สูตรคลุมไปจนหมายเลขสุดท้ายซึ่งก็สามารถทำได้ แต่ถ้ามีเบอร์มือถืออยู่หนึ่งล้านเบอร์เหมือนที่ผมเคยต้องทำ วิธีลากไปเรื่อยๆ ก็คงทำไม่ไหวเช่นกัน เทคนิคที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้คือการดับเบิ้ลคลิ้กจุดสี่เหลี่ยมของกรอบสี่เขียวที่ใส่สูตรไว้จะเป็นการ copy สูตรไปยัง Cell สุดท้ายที่มีหมายเลขมือถือในช่อง A ทั้งหมดในพริบตาเดียว! ประหยัดเวลาไปเยอะมาก
- เมื่อทำเสร็จตามขั้นตอนที่สามก็จะได้ผลลัพธ์ที่พร้อมนำไปใช้งานอัพโหลดขึ้นเฟซบุ๊คแล้ว สำหรับคนที่ทำจากไฟล์ xls ก่อนอัพโหลดให้เซฟเป็น csv ก่อนนะครับ เพราะเฟซบุ๊คไม่รับไฟล์ xls
Facebook Custom Audience คืออะไร (อย่างย่อ)
การทำ Custom Audience เป็นการสร้างกลุ่มเป้าหมายสำหรับการแสดงโฆษณาในระดับแอดวานซ์ ที่แตกต่างจากการเลือกกลุ่มหมายแบบเบสิค เช่น เพศ อายุ ความสนใจ ที่ระบบ Facebook ให้มาอย่างสิ้นเชิง วิธีการทำ Custom Audience นั้นมีหลายรูปแบบ แต่วิธีที่ใช้ได้ดีและมีความแม่นยำมากคือการอัพโหลดเบอร์โทรศัพท์มือถือที่เรามือยู่ขึ้นไปบนระบบของเฟซบุ๊คเพื่อให้เฟซบุ๊คนำไป Map เข้ากับ Facebook ID ที่ผูกไว้กับเบอร์มือถือ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเวลาที่ทำ Custom Audience ด้วยวิธีนี้มักจะมีอัตราการ Map เจอที่ค่อนข้างสูงถึง 50-70% เลยทีเดียว นั่นหมายความว่าหากเรามีเบอร์โทรกลุ่มเป้าหมายมากเท่าไร การ Map เข้ากับ Facebook ID ก็จะได้กลุ่มเป้าหมายจำนวนมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เราสามารถส่งโฆษณาไปหากลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจงรายบุคคลได้จากเบอร์มือถือที่เราอัพโหลดขึ้นไปนั่นเอง
ใช้ Custom Audience ในการ Targeting อย่างไรได้บ้าง
ถ้าจะให้สรุปโดยย่อแล้ว เวลาที่จะเลือกใช้การ Targeting แบบ Custom Audience นั้นจะมีลักษณะและวัตถุประสงค์ที่ค่อนข้องชัดเจนเฉพาะเจาะจง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะใช้สำหรับงาน e-commerce เป็นหลักแต่ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับกรณีอื่นได้เช่นกัน
การ เพิ่มเลขหมายโทรศัพท์พื้นฐานทั่วประเทศจาก 7 หลักเป็น 8 หลัก ในปี พ.ศ. 2544 นั้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการเขียนเลขหมายโทรศัพท์ เพื่อใช้ในนามบัตร โบรชัวร์ หรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ
ทีโอทีได้แนะนำรูปแบบการเขียนเลขหมายโทรศัพท์ ให้เป็นไปตามมาตรฐานของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) เพื่อให้เป็นที่เข้าใจได้ง่าย ตรงตามมาตรฐานสากล โดยมีแนวทาง ดังต่อไปนี้
แบ่งกลุ่มตัวเลขให้ถูก
1. เลขหมายโทรศัพท์ในประเทศ
2. ให้เขียนเลขศูนย์นำหน้า ตามด้วยเลขหมาย 8 หลัก ซึ่งเป็นไปตามหลักของการเขียน Trunk prefix + Subscriber numbers
3. เช่น 0 2345 6789 หรือ 0 5345 6789
4. เลขหมายโทรศัพท์สำหรับติดต่อกับ ต่างประเทศ
5. ให้เขียนรหัสประเทศตามด้วยเลขหมายโทรศัพท์ ซึ่งเป็นไปตามหลักของการเขียน Country code + Subscriber numbers
6. เช่น +66 2345 6789 หรือ +66 5345 6789
7. หลายคนอาจจะมีปัญหากับการเขียนเลขหมายระบบใหม่ เพราะเคยชินกับระบบเดิมอยู่ แต่ก่อนเราเขียน (02) 345 6789 เพื่อแยกรหัสพื้นที่ ออกจากเลขหมายโทรศัพท์
8. ในเมื่อระบบเลขหมาย 8 หลัก ไม่มีรหัสพื้นที่แล้ว การที่เรายังคงเขียนเป็น (02) 345 6789 นั้นก็อาจทำให้เข้าใจผิดไปได้บ้าง แม้ว่าผลลัพธ์ของการโทรนั้นไม่แตกต่างกัน แต่ในการพูด คุณสามารถที่จะบอกเบอร์โทรของคุณเป็น “ศูนย์สอง สามสี่ห้า หกเจ็ดแปดเก้า” ได้เหมือนเดิม ก็ไม่มีใครว่าอะไร
9. ที่จริงแล้ว บ้านเราก็ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของ ITU เสียทั้งหมด
10. รูปแบบบางอย่างเราก็ยังคงใช้ตามนิยมที่ทุกคนเข้าใจ เช่น การเขียนเบอร์โทรที่ประกอบด้วยหลายเลขหมาย (Multiple numbers) นั้น มาตรฐาน ITU-T Recommendation E.123 แนะนำให้ใช้เครื่องหมายทับ (/) ระหว่างตัวเลข เช่น
11. * เลขหมายที่ไม่ติดกัน 0 2123 4567 / 3456 7890 / 4567 8901
12. * เลขหมายที่ติดกัน สามารถย่อเป็น 0 2123 4567 / 8 / 9
13. แต่ เราแทบจะไม่เคยเห็นรูปแบบนี้ในประเทศไทยเลย ที่นิยมใช้และเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป จะใช้เครื่องหมายขีด “-” ระหว่าง เลขหมายที่ติดกัน หรือคั่นด้วย “,” สำหรับเลขหมายที่ไม่ติดกัน เช่น
14. * เลขหมายติดกัน 0 2123 4567-9 หรือ 0 2123 4567-71
15. * เลขหมายที่ไม่ติดกัน 0 2134 4567, 0 2345 6789
16. การเขียนเลขโทรศัพท์ตามแบบใหม่นี้ยังมีข้อดีคือ เลขหมายของคนกรุงเทพฯและต่างจังหวัด จะมีรูปแบบเหมือนกันทั้งประเทศ
17. เช่น เลขหมายของชาวกรุงเทพฯ 0 2345 6789
18. กับเลขหมายของชาวเชียงใหม่ 0 5345 6789
19. ถือเป็นการลดช่องว่างระหว่างเมืองกรุงกับภูมิภาคได้อีกระดับหนึ่ง
20. แบ่งกลุ่มตัวเลขด้วยช่องว่าง
21. มาตรฐาน ITU E.123 แนะนำให้มีการแบ่งกลุ่มตัวเลขของหมายเลขโทรศัพท์ โดยใช้ สัญลักษณ์ช่องว่าง (Spacing symbols) เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและความสะดวกในการบอกกล่าว สัญลักษณ์ที่ควรใช้ที่สุดก็คือ ช่องว่าง (space) หรือการเว้นวรรค
22. ไม่ควรใช้เครื่องหมายอื่นอย่างเช่น เครื่องหมายขีด “-” โดยเฉพาะเลขหมายระหว่างประเทศ เพราะอาจสร้างความสับสนได้โดยเฉพาะเมื่อนำไปใช้รวมกับเลขหมายที่ต่อเนื่องกัน เช่น 0-2123-4567-8 หรือ 0-2123-4567-70
23. ด้วยเหตุนี้ เราควรใช้ “ช่องว่าง” ในการแบ่งกลุ่มตัวเลขเท่านั้น
24. ใครที่เคยเขียนเบอร์โทรเป็น 02-123-456 นั้น
25. ก็ควรเปลี่ยนมาเขียนเป็น 0 2123 4567 ซึ่งถูกต้องกว่า
26. เลิกใช้เครื่องหมายวงเล็บ ( ) กับเบอร์โทร
27. เครื่องหมายวงเล็บ ( ) นั้นใช้แสดงว่า ตัวเลขที่อยู่ในวงเล็บนั้นอาจไม่จำเป็นต้องใช้ในการโทร
28. เช่น รหัสพื้นที่ (02) สำหรับกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งแต่ก่อนสามารถโทรถึงกันได้โดยไม่จำเป็นต้องกดรหัส 02 ก่อน เราจึงสามารถเขียนเลขหมายเป็น (02) 123 4567 หรือ (053) 123 456 ได้ เพื่อแสดงให้ทราบว่าถ้าอยู่ในพื้นที่เดียวกันไม่ต้องกดรหัสพื้นที่ แต่หลังจากการเปลี่ยนระบบเลขหมายโทรศัพท์จาก 7 หลักมาเป็น 8 หลัก ทำให้ในปัจจุบัน เราต้องกดรหัสพื้นที่ก่อนเสมอ
29. ด้วยเหตุนี้
เราจึงไม่ควรใช้เครื่องหมายวงเล็บ ( ) ในเลขหมายโทรศัพท์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกต่อไป
30. คำแนะนำในการเขียนเลขหมายโทรศัพท์ ให้ถูกต้องตามมาตรฐานสากล Part 2/6 ใช้ +66 สำหรับเลขหมายระหว่างประเทศ (International number)
31. เครื่องหมายบวก “+” เป็น International prefix symbol ที่ใช้นำหน้ารหัสประเทศ และแสดงให้ทราบว่าเลขหมายโทรศัพท์ที่ตามมานั้นเป็นเบอร์โทรระหว่างประเทศ สำหรับตัวเลข “66” นั้นก็คือ รหัสประเทศ(Country code) ของไทยนั่นเอง
32. ในการกดเบอร์โทรไปต่างประเทศด้วยเครื่องโทรศัพท์ธรรมดา เราไม่ต้องกดเครื่องหมายบวก “+”
33. แต่ถ้าโทรออกด้วยโทรศัพท์มือถือ เราถึงจะสามารถกดเครื่องหมายบวก “+” ได้จริงๆ
34. แต่ถ้าเป็นการโทรระหว่างประเทศ เลข 0 ซึ่งเป็น Trunk prefix นี้จะถูกละเว้นไป นั่นเป็นเหตุผลที่เราสามารถเขียนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับการโทรระหว่างประเทศ เป็น +66 2345 6789 และ
ไม่ควรใช้เครื่องหมายวงเล็บ ( ) และเครื่องหมายขีด (-) ในเลขหมายโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะสร้างความสับสนได้ง่าย
35. หมายเลขต่อ (ext.)
36. สำหรับ เบอร์ต่อนั้น ITU แนะนำให้เขียนโดยใช้คำว่า “ext.” ซึ่งย่อมาจาก extension ตามด้วยเลขหมาย เช่น 0 2345 6789 ext. 1234
37. แต่ของไทยเรานั้นใช้คำว่า “ต่อ” แทน จึงเขียนได้เป็น 0 2345 6789 ต่อ 1234 บางทีก็เห็นใช้เครื่องหมายชาร์ป (#) แทนอย่าง 0 2345 6789 # 1234 ก็เป็นที่เข้าใจได้เช่นกัน
สรุปแนวทางการเขียนเลขหมายโทรศัพท์
จาก หลักการเขียนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับสิ่งพิมพ์และสื่อต่างๆ ซึ่งได้แก่ การแบ่งกลุ่มตัวเลขให้ถูกต้อง การใช้ช่องว่างแยกกลุ่มตัวเลข, การเลิกใช้เครื่องหมายวงเล็บ และการใช้ “+66” สำหรับเลขหมายระหว่างประเทศ เราจึงมีแนวทางการเขียนเบอร์โทรศัพท์ดังนี้
เลขหมายโทรศัพท์ สำหรับโทรในประเทศ
เลิกใช้วงเล็บ ไม่ควรเขียนว่า (02) 345 6789
เลิกใช้เครื่องหมายขีด (-) ไม่ควรเขียนว่า 02-345-6789
เลิกใช้ช่องว่างรวมกับเครื่องหมายขีด (-) ไม่ควรเขียนว่า 02 345-6789
ใช้ช่องว่างแยกกลุ่มตัวเลขให้ถูกต้อง เขียนได้เป็น 0 2345 6789
การ เขียนเลขหมายโทรศัพท์อย่างถูกต้องนั้น อาจจะดูแปลกในตอนแรก หากเราลองฝืนใจทำตามคำแนะนำไปสักระยะหนึ่ง ไม่นานก็จะรู้สึกดีขึ้น ที่เราเขียนเบอร์โทรได้ตรงตามมาตรฐาน ไม่ทำให้คนอื่นสับสน
สำหรับเลขหมายโทรศัพท์สำหรับติดต่อกับต่างประเทศ
ไม่ควรเขียน (662) 3456789 เพราะไม่ควรใช้วงเล็บ และขาดเครื่องหมาย +
ไม่ควรเขียน +66 23 456789 เพราะแบ่งกลุ่มตัวเลขไม่เหมาะสม
ไม่ควรเขียน +66(0) 23456789 เพราะไม่จำเป็นต้องมีเลข 0 ให้สับสน
ไม่ควรเขียน +66 (0) 2 345 6789 เพราะไม่จำเป็นต้องมีเลข 0 และยังแบ่งกลุ่มไม่ถูก ยิ่งทำให้ดูสับสน
ไม่ควรเขียน +66-2345-6789 เพราะไม่ควรใช้เครื่องหมายขีด (-) ที่ทำให้ดูสับสนเมื่อมีทั้งเครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) อยู่ร่วมกัน
ควรเขียนเป็น +66 2345 6789 ซึ่งเรียบง่าย และเป็นที่เข้าใจในระดับสากล (มือถือ >+668 1123 4567)
การเขียนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่
สำหรับติดต่อในประเทศ
ให้เขียนโดยแยก 08 ไว้ข้างหน้า เว้นวรรคด้วยช่องว่าง ตามด้วยเลขอีก 4 ตัว เว้นวรรคด้วยช่องว่าง แล้วจึงตามด้วยเลขที่เหลืออีก 4 ตัว เช่น 08 1234 5678
ไม่ควรเขียนเป็น (081)-234-5678, (081) 234 5678, (081) 234 5678, 081-234-5678, 081 234 5678, 08-1234-5678, (08) 1234 5678