Successfully reported this slideshow.
Your SlideShare is downloading. ×
อาชีวอนามัยและความปลอดภัย
ประชุมวิชาการภายในศูนย์มะเร็งอุดรธานี
ประชุมวิชาการภายในศูนย์มะเร็งอุดรธานี
More Related Content
- 1. อาชีวอนามัยและความปลอดภัย ( Occupational Health and Safety ) กนกวรรณ ธาตุทำเล ศูนย์มะเร็งอุดรธานี 24 กุมภาพันธ์ 2555
- 2. ความหมายของอาชีวอนามัยและความปลอดภัย • อาชีวะ ( Occupation) : หมายถึง บุคคลที่ประกอบสัมมาชีพ หรือคนที่ประกอบอาชีพทั้งมวล • อนามัย ( Health) : หมายถึง สุขภาพอนามัย ความเป็นอยู่ที่สุขสมบูรณ์ของผู้ประกอบอาชีพ อาชีวอนามัย หมายถึง งานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมดูแล สุขภาพอนามัยของผู้ประกอบอาชีพทั้งหมด เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพอนามัย รวมทั้งการดำรงคงไว้ซึ่งสภาพร่างกาย และจิตใจที่สมบูรณ์ของผู้ประกอบอาชีพทุกอาชีพ
- 3. อาชีวอนามัย ( Occupational Health ) หมายถึง สุขภาพอนามัยในผู้ประกอบอาชีพที่มี ความเกี่ยวข้อง หรือมีความสัมพันธ์กันระหว่าง สุขภาพ ของผู้ปฏิบัติงาน กับ สภาพงาน หรือ สภาพสิ่งแวดล้อม ในการทำงาน อาชีพ ( การทำงาน ) สุขภาพอนามัย
- 4. ความปลอดภัย ( Safety) : หมายถึง สภาพแวดล้อมของการทำงาน ที่ปราศจากภัยคุกคาม ไม่มีอันตราย ( Danger) และความเสี่ยงใดๆ ( Risk) ในทางปฏิบัตินั้นอาจจะไม่สามารถควบคุมอันตรายหรือความเสี่ยงในการทำงานที่มีผลต่อสุขภาพ การบาดเจ็บ การพิการ การตายได้ทั้งหมด แต่ต้องมีการดำเนินงาน มีการกำหนดกิจกรรมด้านความปลอดภัยเพื่อให้เกิดอันตรายหรือความเสี่ยงน้อยสุดเท่าที่จะทำได้
- 5. ลักษณะงานด้านอาชีวอนามัย องค์การอนามัยโลก ( WHO) และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ( ILO) ได้ประชุมร่วมกันให้ลักษณะงานด้าน อาชีวอนามัยไว้ ประกอบด้วยลักษณะงาน 5 ประการสำคัญคือ 1. การส่งเสริม ( Promotion) หมายถึง การส่งเสริมและธำรงรักษาไว้ เพื่อให้แรงงานทุกอาชีพมีสุขภาพ ร่างกาย ที่แข็งแรง มี จิตใจ ที่สมบูรณ์ที่สุด และมีความเป็นอยู่ในสังคมที่ดีตามสถานะที่พึงมีได้ 2. การป้องกัน ( Prevention) หมายถึง งานด้านป้องกันผู้ที่ทำงาน ไม่ให้ มีสุขภาพอนามัย เสื่อมโทรมหรือผิดปกติอันมีสาเหตุอันเนื่องมาจากสภาพ สภาวะการทำงานที่ผิดปกติ
- 6. 3. การป้องกันคุ้มครอง ( Protection) หมายถึง การปกป้องคนทำงานในสถานประกอบการ หรือลูกจ้างไม่ให้ทำงานที่เสี่ยงต่อสภาพการทำงานที่ อันตราย จนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหา อุบัติเหตุ การบาดเจ็บจากการทำงานได้ 4. การจัดการงาน ( Placing) หมายถึง การจัดสภาพต่างๆของการทำงาน และปรับสภาพ ให้ทำงานใน สิ่งแวดล้อม ของการทำงานที่เหมาะสมกับความสามารถของร่างกายและจิตใจของแต่ละคนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมในด้านต่างๆ โดยการนำเอาด้านการลงทุนมาประกอบพิจารณาถึงความเป็นไปได้ด้วย
- 7. 5. การปรับงานให้กับคนและปรับคนให้กับงาน ( Adaptation) หมายถึง การปรับสภาพของงานและของคนให้สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม คำนึงถึงสภาพทางสรีระวิทยามากที่สุด อยู่ในพื้นฐานของความแตกต่างกันของสภาพร่างกายและจิตใจ พยายามเลือกจัดหางานให้เหมาะ สมกับสภาพร่างกายมากที่สุด เพื่อประสิทธิภาพของงาน ทำงานให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุด
- 8. อาชีวอนามัย เป็นการศึกษาถึงปัจจัยที่มีความสัม พันธ์กับการทำงาน วิธีการทำงาน สภาพของงาน สิ่งแวดล้อมในการทำงาน ความเหมาะสมของเครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน ลักษณะท่าทางการทำงาน ความซ้ำซากของงาน เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค เกิดความผิดปกติของร่างกาย เกิดการบาดเจ็บหรือความพิการ ทุพลภาพ
- 9. worker ขอบเขตของงานอาชีวอนามัย สภาพสิ่งแวดล้อมของงาน ( Working environment )
- 10. worker การค้นหาโรค อันตรายและ อุบัติเหตุจากการทำงาน การส่งเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกันโรค การฟื้นฟูสุขภาพ
- 11. โรคจากการประกอบอาชีพ ( Occupational Diseases) หมายถึง โรคหรือความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติงาน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการสัมผัสสิ่งคุกคาม หรือสภาวะแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม โดยที่อาการของความเจ็บป่วยนั้นๆ อาจเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติงานในขณะทำงาน หรือหลังจากการทำงานเป็นเวลานานเช่น โรคพิษตะกั่ว โรคซิลิโคสิส โรคพิษสารตัวทำละลาย โรคผิวหนังจากการประกอบอาชีพ และการบาดเจ็บจากการทำงานฯลฯ
- 12. สภาพสิ่งแวดล้อมของงาน ( Working environment ) โดยใช้หลักการทางอาชีวสุขศาสตร์ ( Occupational hygiene ) มีหลักการอยู่ 3 ข้อด้วยกันคือ - การรู้ปัญหา ( Recognition ) - การประเมินอันตราย ( Evaluation ) - การควบคุม ( Control )
- 13. การรู้ปัญหา ( Recognition ) อันตรายจากสิ่งแวดล้อมทางด้านกายภาพ เช่น อุณหภูมิ เสียง แสง รังสี ความกดดันบรรยากาศที่ผิดปกติ อันตรายจากสารเคมี อันตรายจากด้านชีวภาพ ปัญหาทางด้านการยศาสตร์ ได้แก่ ความเหมาะสมของเครื่องมือ เครื่องจักร และวิธีการปฏิบัติงาน
- 14. การประเมินอันตราย ( Evaluation ) ต้องมีการประเมินระดับอันตราย โดยการ ตรวจสอบ การตรวจวัด เปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน การควบคุม ( Control ) โดยใช้มาตรการ วิธีการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา
- 15. สิ่งแวดล้อมของงานที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ โรคจากการทำงาน การตรวจวินิจฉัย การดูแลรักษา คนงานที่มีสุขภาพดี ความสัมพันธ์ระหว่างคนและสิ่งแวดล้อมของงาน เมื่อไม่มีการจัดการทางด้านสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ
- 16. สิ่งแวดล้อมของงานที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ โรคจากการทำงาน การตรวจวินิจฉัย การดูแลรักษา คนงานที่มีสุขภาพดี ความสัมพันธ์ระหว่างคนและสิ่งแวดล้อมของงาน ที่มีการจัดการทางด้านสิ่งแวดล้อม การรู้ปัญหา การประเมินอันตราย การควบคุมอันตราย สิ่งแวดล้อมของงานที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
- 17. โรคจากการประกอบอาชีพที่เป็นปัญหาในประเทศไทย แบ่งเป็น - อุบัติภัย / การบาดเจ็บ จากการประกอบอาชีพ (Accidents/Occupational Traumatic Injuries) การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อ ( Musculoskeletal Injuries) - โรคปอด จากการประกอบอาชีพ ( Occupational Lung Diseases) รวมถึงโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ เช่น โรคซิลิโคสิส โรคบิสสิโนสิส โรคแอสเบสโตสิส และอาการระคายเคืองทางเดินหายใจ ฯลฯ - โรคพิษจากสารโลหะหนัก ( Heavy Metal Poisoning) เช่น โรคพิษตะกั่ว โรคพิษจากสารหนูปรอท แมงกานีส ฯลฯ
- 18. - โรคพิษจากสารกำจัดศัตรูพืช (PesticidePoisoning) และเวชศาสตร์เกษตรกรรม - โรคผิวหนังจากการประกอบอาชีพ (Dermatological Disorders) - ภาวะการได้ยินเสื่อมจากเสียงดัง (Occupational Hearing Loss) - ภาวะเป็นพิษต่อระบบประสาท ( Neurotoxic Disorders) - โรคมะเร็งจากการประกอบอาชีพ ( Occupational Cancers) - โรคหัวใจและหลอดเลือด ( CardiovascularDiseases) - ปัญหาสุขภาพจิตและความเครียดจากการทำงาน ( Psychological Disorders and Work Stress)
- 19. ปัญหาสุขภาพแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ โรคหรือความผิดปกติจากการทำงาน ( Occupational disease ) เกิดจากการสัมผัสหรือได้รับตัวการเกิดโรคขณะทำงาน ซึ่งอาจได้รับ เป็นระยะเวลานานๆจนเกิดอาการปรากฏ หรือได้รับในปริมาณที่มากในระยะเวลาสั้นๆ และต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยการยืนยันจากแพทย์ หรืออาจสรุปได้ว่า เป็นโรคที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงาน ( Worked related disease ) และต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของงาน หรือตัวก่อโรค เช่น การสูญเสียการได้ยิน โรค silicosis ที่เกิดจากการทำงานในบรรยากาศที่มีฝุ่นหินทรายและหายใจเอาฝุ่นหินทรายเข้าไปในปอด อาการอักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็น หรือข้อต่อที่เกิดจากการทำงานซ้ำซากจากการใช้ท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน ฯลฯ ( จึงจำเป็นต้องมีข้อมูลพื้นฐานสุขภาพก่อนเข้าทำงานเพื่อเปรียบเทียบ )
- 20. การบาดเจ็บจากการทำงาน ( Occupational Injuries ) เป็นการบาดเจ็บจากการทำงาน เนื่องจากได้รับอุบัติเหตุจากการทำงาน เช่น ความบกพร่องของเครื่องมือ เครื่องจักรที่ใช้ใน การทำงาน การจัดเก็บและดูแลสถานที่ทำงาน ลักษณะของงาน หรือเกิดจากความประมาทของผู้ปฏิบัติงาน ขาดความรู้และทักษะ ต้องการความสะดวกในการทำงานโดยไม่ป้องกัน เช่นการใส่อุปกรณ์เครื่องป้องกัน ฯลฯ และการบาดเจ็บที่เรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคได้ และอาจส่งผลกระทบต่อคนและสิ่งแวดล้อมรอบรอบได้
- 21. อันตรายจากสิ่งแวดล้อมในการประกอบอาชีพ ( Occupational environmental hazard ) อันตรายทางด้านกายภาพ ( Physical hazard ) 1 . เสียง ( Noise ) 2. สภาพการจัดแสงสว่างในการทำงาน ( Lighting in the workplace ) 3. ความสั่นสะเทือน ( Vibration ) 4. อุณหภูมิที่ผิดปกติ ( Abnormal temperature ) 5. ความกดดันบรรยากาศที่ผิดปกติ ( Abnormal pressure ) 6. รังสี ( Radiation )
- 22. อันตรายทางด้านเคมี ( Chemicxal hazards ) เกิดจากการนำสารเคมีมาใช้ทำงาน หรือมี สารเคมีที่เป็นอันตรายเกิด ขึ้นจากขบวนการผลิตของงาน โดยร่างกายอาจ ได้รับสารเคมีทาง การหายใจ การดูดซึม เข้าทางผิวหนัง การกิน ที่ไม่ได้ตั้งใจ
- 23. อันตรายจากสิ่งแวดล้อมทางเคมี การป้องกัน และควบคุม สารเคมีที่ใช้ในโรงพยาบาล มีดังนี้คือ สารเคมีที่ใช้ในการฆ่าเชื้อโรค ( chemical disinfectants) เนื่องจากโรงพยาบาลเป็นสถานที่รับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ จากที่ต่างๆ เพื่อรับการรักษาดังนั้น การใช้สารเคมีในการทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคตามสถานที่ เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ และอื่นๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันมิให้ทั้งผู้ป่วยหรือผู้ปฏิบัติงานเกิดการติดเชื้อได้ สารเคมีที่ใช้ได้แก่ Isopropyl alcohol, Sodium Hypochlorite (chlorine), Iodine, Phenolics, Quaternary ammonium compounds, Glutaraldehyde, Formaldehyde
- 24. Antineoplastic drugs Antineoplastic drugs เป็นยาที่ใช้เพื่อยังยั้งหรือป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อเยื่อร้าย
- 25. ผลต่อสุขภาพ Antineoplastic drugs หลายชนิดมีรายงานจากการทดลองในสัตว์ ที่ได้รับสารนี้ว่า ทำให้เกิดการกลายพันธุ์และเป็นมะเร็ง สัตว์ที่เกิดมามีอวัยวะผิดปกติ มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า Cyclophosphamide, Chlorambucil, 1-4-butanediol dimethyl sulfonate และ melphalan เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ( Sorsa et al ค . ศ . 1985) เมื่อให้ยาในการรักษาผู้ป่วย พบว่า antineoplastic drugs (Cyclophosphamide) มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มอุบัติเหตุ ของโรคเนื้อร้าย ( IARC ค . ศ . 1981) และทำให้เด็กเกิดมามีอวัยวะผิดปกติ
- 26. Sotaniemi et al ( ค . ศ . 1983) รายงานว่า พบตับถูกทำลายในพยาบาล 3 คนซึ่งทำหน้าที่ให้ยา และจับต้องยา antineoplastic เป็นเวลาหลายปี โดยมี อาการปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ ผิวหนัง และเยื่อบุมีลักษณะเปลี่ยนแปลง ผมร่วง ไอมีปฏิกิริยาภูมิแพ้ อาการที่พบในพยาบาลทั้ง 3 คน มีลักษณะเช่นเดียวกับผู้ป่วยที่ได้รับยา antineoplastic
- 27. สารเคมีที่ใช้บำบัดโรคมะเร็งแต่สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็ง กับผู้ที่สัมผัส และก่อให้เกิดทารกพิการแต่กำหนดตัวอ่อนผิดปกติ หากมารดาได้รับสารดังกล่าว ขณะตั้งครรภ์ สรุปโดย IARC ( ปี ค . ศ . 1975, 1976, 1981) สารเคมีที่ใช้ในการบำบัดโรคมะเร็ง หลักฐานที่ค้นพบการเป็นมะเร็ง ทารกพิการแต่กำเนิด ( 1) และตัวอ่อนผิดปกติ (2) ในมนุษย์ ในสัตว์ Actinomtcin-D ไม่พอเพียง จำกัด 1, 2+ Adriamycin ไม่พอเพียง พอเพียง ..... BCNU ไม่พอเพียง พอเพียง 1, 2
- 28. สารเคมีที่ใช้ในการบำบัดโรคมะเร็ง หลักฐานที่ค้นพบการเป็นมะเร็ง ทารกพิการแต่กำเนิด ( 1) และตัวอ่อนผิดปกติ (2) ในมนุษย์ ในสัตว์ Bleomycin ไม่พอเพียง ไม่พอเพียง ..... 1,4-Butanedol dimethylsulfonate (Myleran, Busal fan) พอเพียง จำกัด 1 Chlorambucil พอเพียง พอเพียง 1, 2 CCNL ไม่พอเพียง พอเพียง 1, 2 Cisplatin ไม่พอเพียง จำกัด 2
- 29. สารเคมีที่ใช้ในการบำบัดโรคมะเร็ง หลักฐานที่ค้นพบการเป็นมะเร็ง ทารกพิการแต่กำเนิด ( 1) และตัวอ่อนผิดปกติ (2) ในมนุษย์ ในสัตว์ Cyclophosphamide พอเพียง พอเพียง 1, 2 Dacarbazine ไม่พอเพียง พอเพียง 1, 2 5-Fluorouracil ไม่พอเพียง ไม่พอเพียง 1, 2 Melphalan พอเพียง พอเพียง 1 6-Mercaptopurine ไม่พอเพียง ไม่พอเพียง 1, 2 Methotrexate ไม่พอเพียง ไม่พอเพียง 1, 2
- 30. สารเคมีที่ใช้ในการบำบัดโรคมะเร็ง หลักฐานที่ค้นพบการเป็นมะเร็ง ทารกพิการแต่กำเนิด ( 1) และตัวอ่อนผิดปกติ (2) ในมนุษย์ ในสัตว์ Nitrogen mustard ไม่พอเพียง พอเพียง 1, 2 Procarbazine ไม่พอเพียง พอเพียง 1, 2 Thiotepa ไม่พอเพียง พอเพียง 1 Uracil mustard ไม่พอเพียง พอเพียง 1 Vinblastine ไม่พอเพียง ไม่พอเพียง 1, 2 Vincristine ไม่พอเพียง ไม่พอเพียง 1, 2
- 31. Mercury ผลต่อสุขภาพ ปรอทสามารถเข้าสู่ร่างกายโดยทางการ หายใจและดูดซึมเข้าสู่ผิวหนัง การสัมผัสช่วงเวลาสั้นๆ แต่ปริมาณสูงทำให้เกิดการระคายเคือง การย่อยอาหารผิดปกติ และทำให้ ไต ถูกทำลายการสัมผัสเป็นเวลานาน ในปริมาณความเข้มข้นต่ำ เป็นผลให้ อาการทางประสาท มีลักษณะอารมณ์ที่ไม่คงที่ หน้ายุ่ง สั่น เหงือกบวม น้ำลายออกมาก anorexia น้ำหนักตัวลด และเป็น โรคผิวหนัง เนื่องจากการแพ้สาร
- 32. การป้องกันและควบคุม 1. มีระบบระบายอากาศบริเวณที่มีการใช้สารปรอทเพื่อป้องกันไม่ ให้ไอปรอทสะสมอยู่ในห้องหรือเกิดการไหลเวียนในสถานที่ทำงาน 2. ควรมีการเฝ้าควบคุมสิ่งแวดล้อมการทำงาน โดยการตรวจ วัดอากาศเพื่อหาปรอท 3. กรณีที่ปรอทหกรดตามจุดต่างๆควรมีการกำจัดทันที เพราะจะทำ ให้ไอปรอทกระจายอยู่ในอากาศ 4. การกำจัดปรอทที่หก ควรมีการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันชนิดใช้แล้วทิ้ง 5. ควรมีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะเพื่อวิเคราะห์หาปรอทเป็นระยะๆ ในกลุ่มคนที่ทำงานสัมผัสปรอท ระดับปรอทในปัสสาวะ 0.1-0.5 mg./urine 1 lit มีนัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการของพิษปรอทได้
- 33. อาการของพิษปรอท การเกิดพิษจากสารปรอทมีทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง พิษชนิดเฉียบพลันมักเกิดจากอุบัติเหตุโดยการกลืนกินสารปรอทเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งปริมาณปกติที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายและทำให้คนตายได้ โดยเฉลี่ยประมาณ 0.02 กรัม อาการที่เกิดจากการกลืนกินปรอท คือ - อาเจียน ปากพอง แดงไหม้ อักเสบและเนื้อเยื่ออาจหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ - เลือดออก ปวดท้องอย่างแรง เนื่องจากปรอทกัดระบบทางเดินอาหาร - มีอาการท้องร่วงอย่างแรง อุจจาระเป็นเลือด - เป็นลม สลบเนื่องจากร่างกายเสียเลือดมาก - เมื่อเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต ปรอทจะไปทำลายไต ทำให้ปัสสาวะไม่ออกหรือปัสสาวะเป็นเลือด - ตายในที่สุด
- 34. พิษชนิดเรื้อรัง ปรอทเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปทำอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งได้แก่ สมอง และไขสันหลัง ทำให้เสียการควบคุมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของแขน ขา การพูด มีผลต่อระบบประสาทรับความรู้สึก เช่น การได้ยิน การมองเห็น ซึ่งอันตรายเหล่านี้ เมื่อเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้กลับดีดังเดิมได้ หายใจหอบ ปอดอักเสบ มีอาการเจ็บหน้าอก มีไข้ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออกและตายได้
- 35. การป้องกัน และควบคุม 1. การใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล การเลือกใช้ชนิด ใดขึ้นอยู่กับลักษณะงาน และโอกาสที่ได้รับการสัมผัส เช่น การใช้ถุงมือหรืออุปกรณ์ป้องกันใบหน้า เพื่อป้องกัน สารสัมผัสกับผิวหนังหรือ ใช้แว่นตาเพื่อป้องกันสารกระเด็นเข้าตา 2. ขณะทำงานถ้าเสื้อผ้าเปื้อน ควรรีบถอดออก และแยก นำไปซัก 3. สารเคมีถูกผิวหนังต้องรีบล้างออก 4. สถานที่ใช้สารเคมีต้องมีการระบายอากาศเฉพาะที่ที่ดี เพื่อกำจัดไอและกลิ่นของสารเคมี 5. ผู้ปฏิบัติงานควรได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี
- 36. อันตรายทางด้านชีวภาพ ( Biological hazards ) เกิดจากการทำงานที่ต้องเสี่ยงจากการสัมผ้สได้รับอันตรายจากสารชีวภาพ ( Biological agents ) ทำให้เกิดความผิด ปกติต่อร่างกาย หรือมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น เช่น เชื้อจุลินทรีย์ ฝุ่นละอองจากส่วนของพืชหรือสัตว์ การติดเชื้อจากสัตว์หรือแมลง รวมทั้งการถูก ทำร้ายจากสัตว์และ แมลง
- 37. สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ <ul><ul><ul><li>เลือด body fluids ควรจะรีบเก็บไว้ในภาชนะ ที่มีฝาปิด เพื่อป้องกันการรั่วระหว่างการขนส่งและป้องกันมิให้มีการปนเปื้อนจากภายนอก </li></ul></ul></ul><ul><ul><ul><li>บริเวณพื้นที่ทำงาน ควรปูด้วยวัสดุที่กันการซึมผ่านของตัวอย่างชีววัตถุ และทำความสะอาดง่าย เช่นแผ่นพลาสติก เมื่อตัวอย่างเลือด หรือ body fluids หกกระจายควรกำจัดการปนเปื้อนด้วยสารเคมีฆ่าเชื้อ เช่น Sodium hypochloride ที่มีความเข้มข้น 0.5% ทันที ก่อนที่จะทำความสะอาด </li></ul></ul></ul>
- 38. เสื้อผ้าที่ปนเปื้อนด้วยชีววัตถุ เมื่อต้องการทำความสะอาด ต้องใช้ผงซักฟอกและน้ำที่อุณหภูมิอย่างน้อย 71 º C (160 º F) เป็นเวลานาน 25 นาทีกรณีที่ใช้อุณหภูมิต่ำกว่านั้น จะต้องใช้สารเคมีในการฆ่าเชื้อ
- 39. ตัวอย่างของเสียที่เป็นของแข็ง ( Solid waste) เช่น เสื้อผ้า เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อนด้วยเลือด และ body fluids เมื่อต้องการกำจัดควรนำไปกำจัดด้วยการเผาที่เตาเผาอุณหภูมิสูง ส่วนอุจจาระที่ปนเปื้อน ควรกำจัดโดย Sanitary landfill or pit latrine
- 40. ด้านการยศาสตร์ ( Ergonomics ) เป็นอันตรายที่เกิดจากการใช้ท่าทางที่ไม่ เหมาะสมในการทำงาน วิธีการปฏิบัติงานที่ไม่ถูกต้อง การปฏิบัติงานที่ทำซ้ำซาก อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุจากการทำงาน
- 41. ด้านกายภาพ เสียง ( Noise ) แบ่งออกเป็น 4 ประเภท 1. เสียงที่ดังสม่ำเสมอ ( Steady-level noise ) ไม่เกิน 5 เดซิเบลใน 1 วินาที พบในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรใช้ในการทำงานตลอดเวลา เสียงเครื่องทอผ้า เสียงพัดลม ฯลฯ 2. เสียงที่เปลี่ยนแปลงระดับเสมอ ( Fluctuating noise ) เสียงที่มีระดับความเข้มที่ไม่คงที่ สูงๆต่ำๆ มีการเปลี่ยนแปลงระดับเสียงที่เกินกว่า 5 เดซิเบลใน 1 วินาที เช่น เสียงไซเรน เสียงเลื่อยวงเดือน กบไสไม้ไฟฟ้า ฯลฯ
- 42. 3. เสียงที่ดังเป็นระยะ ( Intermittent noise ) เป็นเสียงที่มีความดังไม่ต่อเนื่อง เช่นเสียงเครื่องบิน เครื่องอัดลม เครื่องเป่าหรือเครื่องระบายไอน้ำ เสียงจากการจราจร ฯลฯ 4. เสียงกระทบ ( Impact noise or Impulse noise ) เป็นเสียงจากการกระทบหรือกระแทก อาจเกิดแล้วหายไป หรือเกิดติดๆกันหรือเกิดขึ้นนานๆครั้ง เช่น เสียงจากการทุบหรือตีโลหะ ตอกเสาเข็มฯลฯ
- 43. ระดับเสียงและระยะเวลาที่ยอมให้สัมผัสได้ใน 1 วัน ที่มา :OSHA standard ระยะเวลาในแต่ละวัน ( ช . ม ) ระดับเสียง ( เดซิเบลเอ ) 8 90 6 92 4 95 3 97 2 100 11/2 102 1 105 1/2 110 ¼ or less 115
- 44. การสัมผัสเสียง ที่มีความเข้มสูง เป็นระยะเวลานานหลายปีจะทำให้เกิดการสูญเสียการได้ยินแบบถาวร ( permanent hearing loss) ซึ่งจะไม่มีโอกาสกลับคืนสู่สภาพปกติ และไม่มีทางรักษาหายได้ การสัมผัสเสียงดัง มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของร่างกาย เช่นการทงานของ Cardiovascular, endocrine, neurogenic และสรีระของร่างกาย เป็นต้นนอกจากนี้ ยังพบว่า เสียงดังทำให้เกิดการรบกวนการพูด การสื่อความหมายและกลบเสียงสัญญาณต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุจากการทำงานได้
- 45. การควบคุมอันตรายจากเสียง พิจารณาจากองค์ประกอบ 3 ประการ ควบคุมที่ แหล่งกำเนิด เสียง ( Source control ) ต่ำกว่า 85 เดซิเบลเอ การควบคุมหรือลดระดัยบเสียงที่ ทางผ่านระหว่างแหล่งกำเนิดไปยังคน โดยพิจารณาการส่งผ่านเสียงว่ามาทางใด ทำกำแพงกั้น ใช้วัสดุดูดซับ การควบคุมหรือ ลดอันตรายที่ผู้รับเสียง การใส่อุปกรณ์ เครื่องครอบหู ที่อุดรูหู
- 46. ความสั่นสะเทือน ( Vibration ) การได้รับอันตรายจากความสั่นสะเทือนแบ่งได้ 2 ประเภท 1. ความสั่นสะเทือนที่เกิดกับร่างกายทุกส่วน ( ทั่วร่างกาย ) พบในผู้ที่ขับรถบรรทุกรถไถ เครื่องจักรที่มีคนควบคุมส่งผ่านความสั่นสะเทือนทางที่นั่ง อยู่ในช่วงความถี่ ระหว่าง 2 ถึง 100 เฮิร์ท
- 47. 2. ความสั่นสะเทือนที่เกิดกับ อวัยวะเฉพาะ ส่วนของร่างกาย ส่วนใหญ่จะเกิดที่ แขนและมือ ที่ใช้ในการทำงาน เช่น เครื่องขุดเจาะขนาดใหญ่ ค้อนทุบ เครื่องตัด เลื่อยไฟฟ้า เครื่องขัดถูพื้นหินขัด ความถี่อยู่ในช่วง 20-1000 เฮิร์ท
- 48. ผลของความสั่นสะเทือนต่อร่างกาย - กำลังมากๆขณะทำงาน จะเกิดเรื้อรังสำหรับผู้ที่ทำงานเป็นระยะเวลานาน - มีผลต่อกระดูกโครงสร้าง ( Bone structure ) - รบกวนการหลั่งของน้ำย่อยในระบบทางเดินอาหาร - ความสามารถในการเคลื่อนไหว มีผลในการเปลี่ยนแปลงความไวของประสาท - กระดูกข้อต่อเกิดการอักเสบ
- 49. โรคมือและแขนที่เกิดจากความสั่นสะเทือน ( Hand-arm vibration syndrome ) หรือ HAVS 1. เกิดการบีบเกร็งของหลอดเลือดบริเวณนิ้วมือ ทำให้นิ้ว ซีดขาว 2. ประสาทรับความรู้สึกที่มือเปลี่ยนแปลง ลดความรู้สึก ความว่องไวลดลง 3. กล้ามเนื้อมือผิดปกติ
- 50. การป้องกันอันตรายจากความสั่นสะเทือน 1. ลดความเข้ม และระยะเวลาในการสัมผัส กับความสั่นสะเทือน 2. ตรวจสอบระดับการสัมผัสความสั่นสะเทือน 3. การตรวจร่างกายเป็นระยะ ควรห้าม สูบบุหรี่หรือใช้ยาสูบ 4. มีการจัดเตรียมยาเมื่อมีอาการผิดปกติ
- 51. 5. ควรใช้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ที่สามารถลด ความสั่นสะเทือน 6. ควรมีการจัดอบรมให้ความรู้ แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน เพื่อลดความเสี่ยง
- 52. ความร้อน แหล่งที่พบ โรงซักรีด ห้องติดตั้งหม้อไอน้ำ โรงครัวเป็นสถานที่ทำงานที่มีแหล่งกำเนิดความร้อน ทำให้อุณหภูมิบริเวณที่ทำงานอยู่สูงกว่าปกติมาก
- 53. ผลต่อสุขภาพ ความร้อนมีผลกระทบต่อสุขภาพ คือ ทำให้เกิดเป็นลมเนื่องจากความร้อนในร่างกายสูง ( Heat stroke) เกิดการอ่อนเพลียเนื่องจากความร้อน (Heat exhaustion) เกิดกดารเป็นตะคริว ( Heat Cramp) เนื่องจากความร้อนอาการผดผื่นขึ้น ตามบริเวณผิวหนัง ( Heat rash) และเกิดการขาดน้ำ ( dehydration)
- 54. การป้องกันและควบคุม - สำหรับผู้ทั่ทำงานหนัก ควรจัดให้มีระยะพักผ่อน ที่มีอากาศเย็น - เครื่องมืออุปกรณ์ที่มีแหล่งความร้อน ควรมีฉนวนหุ้มกันความร้อน - ติดตั้งระบบดูดอากาศเฉพาะที่ เพื่อระบายความร้อน - ติดตั้งฉากกั้นความร้อน - จัดให้มีลมเป่า เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ และการระเหยของเหงื่อ - จัดให้มีน้ำเย็นสำหรับดื่มในที่ทำงาน - จัดให้มีที่ทำงานสำหรับที่พักเย็น
- 55. รังสี มีรังสีแตกตัว และไม่แตกตัว อันตรายจากการสัมผัสรังสี - บริเวณที่มีการใช้ การสะสม - การทิ้งสารกัมมันตรังสี
- 56. ผลต่อสุขภาพ - ปริมาณ - ระยะเวลาการสัมผัส - ระยะทาง - ชนิดของสิ่งขวางกั้นระหว่างรังสี กับผู้ปฏิบัติงาน - ชนิดของรังสี - ปัจจัยเสี่ยง อายุ เพศ สภาวะสุขภาพ อาหาร ฯลฯ
- 57. รังสีที่ไม่แตกตัว ( Nonionization Radiation ) <ul><li>รังสีไม่แตกตัว เป็นรังสีที่ไม่มีพลังงานเพียงพอที่จะแตกตัวเป็นอะตอม แต่จะสั่นสะเทือน และการเคลื่อนตัวของโมเลกุลจะทำให้เกิดความร้อน </li></ul><ul><li>รังสีเหนือม่วง มีผลต่อตา ผิวหนังอักเสบ มะเร็งผิวหนัง </li></ul><ul><li>- รังสีในช่วงคลื่นที่สายตามองเห็นได้ ( Visible Light ) ปวดศีรษะ ตาเมื่อยล้า </li></ul><ul><li>หลอดไฟควรมีอุปกรณ์กรองแสง ติดตั้งหลอดไฟให้เหมาะสม </li></ul>
- 58. <ul><li>รังสีใต้แดง ( Infrared ray ) มีผลต่อ </li></ul><ul><li>ตา ผิวหนัง </li></ul><ul><li>รังสีในช่วงคลื่นวิทยุ มีผลต่อตา </li></ul><ul><li>ระบบ ประสาทส่วนกลาง ระบบสืบพันธ์ </li></ul><ul><li>รังสีไมโครเวฟ ผลต่อสุขภาพ เช่นเดียวกับ radio frequency </li></ul><ul><li>รังสีอุลตร้าซาวน์ </li></ul>
- 59. รังสีอุลตร้าซาวด์ ผลต่อสุขภาพ แม้ว่าการสัมผัสกับอัลตราซาวน์จะไม่ปรากฎว่าเป็นอันตราย แต่การสัมผัสอัลตราซาวน์ที่มีความถี่สูงที่สามารถได้ยินได้ คือ ความถี่ที่มากกว่า 10 KHz ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน Tinitus ปวดหู มึนงง อ่อนเพลีย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการ สูญเสียการได้ยินชั่วคราว การสัมผัสรังสีอัลตราซาวน์ที่มีความถี่ต่ำ จะทำให้เกิดผลเฉพาะที่เกิดการทำลายปลายประสาทของอวัยวะส่วนที่สัมผัส ผู้ที่สัมผัสรังสีอัลตราซาวน์ซึ่งเคลื่อนที่โดยมีอากาศเป็นตัวกลาง จะมีผลต่อ ระบบประสาทส่วนกลาง ระบบอื่นๆอวัยวะในหู และการได้ยิน
- 60. ผลต่อสุขภาพกับการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ <ul><li>- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดคอ หลัง ไหล่ เอว สาเหตุจากการนั่งไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน การนั่งทำงานนาน ทำให้มีผลต่อการไหลเวียนเลือด เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆไม่สะดวก จึงเกิดการเมื่อยล้า โต๊ะ เก้าอี้ควรเหมาะสม ปรับระดับได้ </li></ul><ul><li>ความล้าของสายตา ควรมีแสงสว่างที่เหมาะสม หน้าจอไม่ควรเกิน 500 ลักซ์ ควรมีการพักเมื่อทำงานติดต่อกัน 2 ชั่วโมง ควรพัก 15 นาที </li></ul><ul><li>เกิดความเครียดได้ </li></ul>
- 61. การสัมผัสรังสีแตกตัว ทำให้เกิดการ กลายพันธุ์ของยีนส์การเปลี่ยนแปลงของโครโมโซม การแบ่งตัวของเซลล์ล่าช้า และเซลล์ถูกทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ( เนื้อเยื่อในเลือด , ผิวหนัง , เลนส์ตา ) กว่าปกติจะทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงกว่า เซลล์ที่แบ่งตัวช้า ( กระดูกต่อมเอ็นโดรไครน์และระบบประสาท ) เกิด fibrosis ของปอด และไต ตา โรคโลหิตจางชนิด Aplastic ทำให้เป็นหมัน โรคผิวหนังและอายุขัยสั้น
- 62. ค่ามาตรฐานสำหรับรังสีที่ก่อให้เกิดการแตกตัว <ul><li>หมายถึงผู้ฏิบัติงานที่ทำงานในแผนกรังสี หรือลักษณะงานอื่นที่มีโอกาสสัมผัสกับรังสีที่ก่อให้เกิดการแตกตัว </li></ul><ul><li>** หมายถึง ( N-18) อายุของผู้ปฏิบัติงาน ลบด้วย 18 </li></ul>ชนิดของมาตรฐาน Federal Radiation Council (FRC) National Council on Radiation Protection and Measurement (NCRP) Nuclear Regulatory Commission (NRC) Occupational safety and Health Administration (OSHA) ผู้ปฏิบัติงานที่สัมผัสรังสีทั่วร่างกาย * 5 rem/ ปี 3 rem/3 เดือน ต้องไม่เกินค่าสะสม ขณะที่มีชีวิตอยู่ 4 rem/ ปี 3 rem/3 เดือน ต้องไม่เกินค่าสะสม ขณะที่มีชีวิตอยู่ 5 rem/ ปี 3 rem/3 เดือน ต้องไม่เกินค่าสะสม ขณะที่มีชีวิตอยู่ 3 rem/3 เดือน ค่าสะสมขณะที่มีชีวิต 5 (N-18)** rem 5 (N-18) rem 5 (N-18) rem 5 (N-18) rem ประชากรทั่วไปที่สัมผัสรังสีทั่วร่างกาย 0.5 rem/ ปี 0.5 rem/ ปี 0.5 rem/ ปี
- 63. มีการบันทึกเกี่ยวกับ การสัมผัสรังสีของผู้ปฏิบัติงาน ปริมาณรังสีและการจัดเก็บ รายงานการสำรวจรังสีในสถานที่ทำงาน การใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล การตรวจสอบอุปกรณ์ มีมาตรการควบคุมสารกัมมันตรังสี <ul><ul><ul><li>ให้มีการตรวจวัดปริมาณรังสี ในพื้นที่ทำงานเป็นระยะๆ เพื่อหารอยรั่วหรือจุดบกพร่องของต้นกำเนิดรังสี หรือหาปริมาณ </li></ul></ul></ul><ul><ul><ul><li>รังสีที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศหลังจากที่ตรวจพบ จะได้ใช้เป็นแนวทางการป้องกัน ควบคุม และแก้ไขต่อไป </li></ul></ul></ul>การควบคุมการได้รับสัมผัส
- 64. <ul><ul><ul><li>- ตรวจวัดปริมาณรังสีดูดกลืน เข้าสู่ร่างกายผู้ปฏิบัติงานโดยใช้เครื่องบันทึกรังสี ประจำตัวบุคคล เพื่อเฝ้าระวังสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานค่าที่ได้จะประเมินปริมาณรังสีที่ร่างกายสะสมไว้ เกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยหรือไม่ </li></ul></ul></ul>- ตรวจสุขภาพประจำปี ก่อนปฏิบัติงาน CBC ตา ระบบสืบพันธ์
- 65. สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยาสังคม เป็นสิ่งแวดล้อมการทำงานที่ก่อให้เกิดความเครียดจากการทำงาน การเปลี่ยนแปลงทางสรีระ อันเนื่องมาจากอารมณ์หรือจิตใจที่ได้รับความบีบคั้น
- 66. สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา สังคม มุ่งเป้าไปที่ตัวคน และจิตวิญญาณ ( Spirit) ที่ต้องใช้เพื่อการทำงานดังนั้น แนวคิดในการ มองปัจจัยต้นเหตุ ผลกระทบ ค่ามาตรฐาน และการควบคุมป้องกันจึงแตกต่างกัน กับสิ่งแวดล้อมที่กล่าวข้างต้นอย่างสิ้นเชิง
- 67. สิ่งแวดล้อมทางจิตสังคม หมายถึง ปฏิกิริยาที่เกิดจากหลายปัจจัยปะปนกัน ได้แก่ สิ่งแวดล้อมที่เป็นวัตถุ ตัวงานซึ่งมีทั้งปริมาณ และ คุณภาพ ประกอบกันไปสภาพการบริหารงานในองค์กร ความรู้ ความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน ความต้องการพื้นฐานวัฒนธรรม ความเชื่อ พฤติกรรม ตลอดจนสภาพแวดล้อมนอกงาน ที่ทำให้เกิดการรับรู้และประสบการณ์
- 68. สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีความสลับซับซ้อนและ เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ยังผลให้เกิดผลงาน ( work performance) ความพึงพอใจในงาน ( Job satisfactiion) สุขภาพทางกายและทางจิต ( physical and mental health) ซึ่งจะเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัย
- 69. สิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด ( Stressor) หมายถึง สภาวะแวดล้อมซึ่งบีบคั้น ยังผลให้เกิดความเครียด
- 70. ปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจและงานที่มีผลต่อสุขภาพจิตของผู้ปฏิบัติงาน าก : Psychosocial factors at Work : Recognition and control. Geneva, International Labour Office, 1984
- 71. สิ่งที่ทำให้เกิดความเครียด ( Stressors) เช่น ความต้องการ เวลา ตารางการจัดงาน ความต้องการในงาน งานล่วงเวลา กะการทำงาน สภาพทางกายภาพ - มีสิ่งคุกคามทางกายภาพหรือทางเคมี หรือทางเออร์กอนอมิคส์ การจัดองค์กร - บทบาทไม่ชัดเจน มีความขัดแย้งในบทบาท มีการแข่งขันและไม่เป็นมิตร สภาพขององค์กร - ชุมชน งานไม่มั่นคงไม่มีการพัฒนาในอาชีพ สภาพนอกงาน - ส่วนตัวครอบครัว ชุมชน เศรษฐกิจ
- 72. ผลที่ตามมา ทางกาย ระยะสั้น – ความดันโลหิตเพิ่ม ระยะยาว - ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคแผลในกระเพาะอาหาร หอบหืด ทางจิต ระยะสั้น - ความวิตกกังวล ความไม่พึงพอใจ โรคอุปทาน ( mass psychogenic illness) ระยะยาว - ซึมเศร้า จิตสลาย ( burnout) ความผิดปกติทางจิต
- 73. <ul><li>พฤติกรรม </li></ul><ul><li>ระยะสั้น </li></ul><ul><li>- ขาดงาน ผลผลิตลด การร่วมงานลด </li></ul><ul><li>- ลดการคบเพื่อนคบฝูง และการทำกิจกรรมต่างๆ </li></ul><ul><li>ติดบุหรี่ ติดเหล้า ติดยา </li></ul><ul><li>ระยะยาว - ไม่พยายามช่วยตัวเอง </li></ul>
- 74. ในปี ค . ศ . 1977 NIOSH ได้ศึกษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เมื่อวิเคราะห์แล้วพบว่า ผู้ป่วยซึ่งประกอบอาชีพ 130 ประเภท มีผู้ป่วยที่ประกอบอาชีพ 22 ประเภทมีอัตราการผิดปกติทางจิตสูงมากที่สุด โดยมีอาชีพ 6 ประเภทซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องอูแลสุขภาพ ได้แก่ นักวิชาการสุขภาพ พยาบาลเวชปฏิบัตินักเทคนิคการแพทย์ ผู้ช่วยพยาบาล พยาบาลวิชาชีพ ผู้ช่วยทันตแพทย์ ( colligan et al. 1977) และจากการศึกษา อื่นๆ พบว่า สัดส่วนอัตราการตาย ( Proportional mortality ratio = PMR) ของผู้ชายกับผู้หญิงได้เพิ่มขึ้น โดยที่ผู้ชายมักประกอบอาชีพ ทันตแพทย์ แพทย์ นักวิชาการด้านการแพทย์ และทันตแพทย์ ส่วนผู้หญิงประกอบอาชีพ พยาบาล
- 75. ในปี ค . ศ . 1988 สถาบันอาชีวอนามัยในฟินแลนด์ ทำการศึกษาความเครียดและอาการจิตสลายที่เกิดขึ้นในหมู่แพทย์ชาวฟินแลนด์ พบว่าแพทย์ที่มีความเครียดมากที่สุด คือ คนที่ไม่มีงานถาวรทำ และทำงานในแผนกฉุกเฉินเป็นส่วนใหญ่ และเป็นโรงพยาบาลในส่วนกลางส่วนอาการจิตสลายพบมากในแพทย์ที่ทำหน้าที่ ดูแลคนป่วยในแผนกผู้ป่วยนอก แพทย์ที่มีอาการเครียดมากที่สุด ได้แก่ แพทย์เฉพาะทาง สาขากุมารจิตเวชจิตแพทย์ทั่วไป และแพทย์เฉพาะทางที่ทำงานใกล้ชิด กับผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือโรคอื่นที่หนักมากๆ ทันตแพทย์ก็เป็นอาชีพหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดความเครียดได้สูงสาเหตุเนื่องจาก การที่ต้องจัดการกับผู้ป่วย การพยายามรักษาตารางเวลาการทำงานพยายามประคับประคองการทำงานของตน ให้อยู่ใต้การทำงานหนักเกินไป งานบริหารสภาพงานที่ไม่เหมาะสม เพราะต้องทำในที่จำกัด และท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสม
- 76. ลักษณะงานที่ทำเหมือนๆ กันจนเป็นกิจวัตรน่าเบื่อและพยาบาลก็ถือว่าเป็นอาชีพมีความเครียดสูงที่สุด มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดและมีอัตราการป่วยเป็นโรคจิตสูง ป็นอันดับแรกของรายชื่อผู้ป่วยโรคจิตที่โรงพยาบาลได้รับ หน้าที่พยาบาลที่แตกต่างกันไปให้ความรู้สึกกดดันที่แตกต่าง พยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วยหนักในแผนก ไอ . ซี . ยู . ที่ต้องใช้เครื่องมือช่วยชีวิต ที่ยุ่งยากสลับซับซ้อน มีลักษณะงานที่ฉุกเฉินและต้องผจญกับความเป็นความตาย ของคนไข้อยู่ตลอดเวลา เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่ทำให้เกิดความเครียดสูงสุด ในผู้มีอาชีพพยาบาล
- 77. ผลต่อสุขภาพ ที่พบในผู้ทำงานด้านดูแลผู้ป่วย พบว่า ความเครียดมีความสัมพันธ์กับความไม่อยากอาหาร แผลอักเสบ ความผิดปกติด้านจิตใจ ปวดศีรษะข้างเดียว นอนไม่หลับ การมีอารมณ์แปรปรวน การทำลายชีวิตของครอบครัวและสังคม การเพิ่มการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และยา ความเครียดมีผลกระทบต่อทัศนคติและพฤติกรรม และยังพบว่า ผู้ปฏิบัติงานที่มีความเครียดมีผลต่อการติดต่อสื่อสารกับผู้ป่วย และเพื่อนร่วมงาน
- 78. <ul><li>สาเหตุของความเครียดในผู้ทำหน้าที่รักษาพยาบาล </li></ul><ul><li>ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด สรุปได้ดังนี้คือ </li></ul><ul><li>เพื่อนร่วมงาน </li></ul><ul><li>ความขัดแย้งระหว่างบุคคล </li></ul><ul><li>บุคลากรไม่พอเพียง </li></ul><ul><li>การทำงานในที่ไม่คุ้นเคย </li></ul><ul><li>การทำงานในที่มีเสียงดังเกินไป </li></ul><ul><li>การไม่มีส่วนร่วมในการวางแผน หรือตัดสินใจ </li></ul><ul><li>การขาดรางวัล หรือสิ่งจูงใจ </li></ul><ul><li>การไม่ได้แสดงความสามารถพิเศษ หรือความสามารถอื่นๆ </li></ul><ul><li>การเปลี่ยนงานกะ เข้าเวร </li></ul>
- 79. <ul><li>การสัมผัสกับสารเคมีต่างๆ ขณะทำงาน </li></ul><ul><li>การสัมผัสกับผู้ป่วยโรคติดต่อ </li></ul><ul><li>การเพิ่มงานพิเศษ </li></ul><ul><li>ความแตกต่างในเรื่องตำแหน่งรายได้ </li></ul><ul><li>การขาดความเป็นอิสระ </li></ul><ul><li>ตารางาการปฏิบัติงานเต็ม </li></ul><ul><li>ปัจจัยด้านเออร์กอนอมิคส์ </li></ul><ul><li>- การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี </li></ul>
- 80. ตัวชี้วัดสุขภาพจิต ในทางบวก ในทางลบ 1. ค่าความพึงพอใจต่างๆ ได้แก่ ความพึงพอใจ ในงาน ความวิตกกังวล ความพึงพอใจ ในชีวิต ความเบื่อหน่ายในงาน ความพึงพอใจ ต่อความต้องการที่ได้รับการสนองตอบ การผละงาน ความพึงพอใจ ในศักดิ์ศรีที่ได้รับในการตอบสนอง ความซึมเศร้า
- 81. ตัวชี้วัดสุขภาพจิต ในทางบวก ในทางลบ . ความสามา 2 รถ และการควบคุมตนเองจนสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้แก่ 2. ความไม่สามารถกระทำกิจการและไม่สามารถควบคุมตนเองให้ผ่านพ้นอุปสรรคได้ ได้แก่ การพัฒนาตน การปล่อยปละละเลยตนเอง ความเป็นอิสระในความคิดนึก การเฉยเมย ไม่คิด ไม่นึก การกระทำที่เกื้อหนุนให้บรรลุผลสำเร็จ การเฉื่อยชา ไม่ลงมือกระทำการใดๆ
- 82. 3. จิตใจที่เป็นสุขได้แก่ 3. จิตใจที่ไม่เป็นสุขได้แก่ ความพึงพอใจในความเป็นอยู่ ความกระวนกระวาย ไม่พอใจในความเป็นอยู่ ความรู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ ความเบื่อหน่ายในชีวิต ความพอใจในชีวิตสมรส ความเบื่อชีวิตสมรส การเข้าร่วมเป็นส่วนของสังคม ความเบื่อ และหลีกหนีจากสังคม ความสามารถในงานที่ทำ ความไร้ความสามารถในงานที่ทำ
- 83. <ul><li>หลักกการประเมินสุขภาพจิตในการทำงาน </li></ul><ul><li>มีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ คือ </li></ul><ul><li>ประเมินจากลักษณะทางจิตโดยทั่วๆ ไป เช่น ประสบการณ์ในการบำบัดรักษาทางจิตในอดีต การปรับตัว ทางสังคม ตรวจอาการของโรคจิตต่างๆความรู้สึกส่วนตัวของบุคคล การประเมินพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน </li></ul><ul><li>การประเมินความพึงพอใจในการทำงาน </li></ul>
- 84. - ประเมินจากความเครียดในการทำงาน - ประเมินจากความวิตกกังวลของบุคคล - ประเมินจากความเครียดในชีวิต ( Life Stress) - ด้านวิธีการประเมิน เครื่องมือที่ใช้ ตลอดจนการแปลและสรุปผลการประเมินปัญหาสุขภาพจิตในการทำงานประเมินจากขวัญ กำลังใจในการทำงาน
- 85. <ul><li>วิธีการจัดการกับความเครียด </li></ul><ul><li>วิธีการควบคุมสุขภาพจิต จากความเครียดที่เกิดจากการทำงาน เสนอโดยสถาบันความปลอดภัย และอาชีวอนามัยแห่งชาติ ของสหรัฐอเมริกา ( NIOSH) ให้ใช้กลวิธี 4 ข้อ ดังต่อไปนี้ คือ </li></ul><ul><li>ออกแบบงานให้มีการปรับปรุงสภาพงาน </li></ul><ul><li>เฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยง และความรับผิดชอบทางจิต </li></ul><ul><li>ให้ข้อมูล ให้การศึกษา ฝึกอบรม </li></ul><ul><li>ให้บริการทางสุขภาพจิตแก่ผู้ปฏิบัติงาน </li></ul>
- 86. <ul><li>อาจประยุกต์มาเป็นวิธีการปฏิบัติในรายละเอียดได้ ดังต่อไปนี้ </li></ul><ul><li>มีการประชุมกับทีมงานเป็นประจำ เพื่อรับฟังความคิดเห็นและให้มีแนวความคิดสร้างสรรค์ร่วมกัน </li></ul><ul><li>จัดให้มีโครงการบริหารจัดการความเครียดในองค์กร </li></ul><ul><li>ผู้ทำหน้าที่ควบคุม กำกับงาน ควรมีความยืดหยุ่นและ </li></ul><ul><li>มีแนวคิดการเปลี่ยนแปลงระบบงาน </li></ul><ul><li>มีจำนวนผู้ร่วมทีมงานที่เหมาะสม </li></ul>
- 87. <ul><li>จัดให้มีการทำงานเป็นกะอย่างเหมาะสม ผู้ที่ต้องอยู่งานกะต้องได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอก่อนเข้างานกะ </li></ul><ul><li>จัดให้มีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ และมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม </li></ul><ul><li>การเข้าถึงแต่ละบุคคล โดยให้มีกิจกรรมคลายเครียด </li></ul><ul><li>การเพิ่มพูนความรู้ และโอกาสที่จะปรับปรุงทักษะ และความเชื่อมั่นในการทำงาน </li></ul><ul><li>ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดเวลางาน </li></ul>
- 88. การประเมินความเสี่ยง (RISK ASSESSMENT) หมายถึง กระบวนการ การประมาณระดับความเสี่ยง และการตัดสิน ว่าความเสี่ยงนั้นอยู่ในระดับที่ยอมรับได้หรือไม่ กระบ การประเมินความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรควรจะดำเนินตามเกณฑ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ จำแนกประเภทของกิจกรรมของงาน ให้เขียนชนิดของกิจกรรมที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ และให้เขียนขั้นตอนปฏิบัติงาน ของแต่ละกิจกรรม โดยให้ครอบคลุม สถานที่ทำงาน เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ บุคลากร รวมทั้งทำการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าว
- 89. ชี้บ่งอันตราย ชี้บ่งอันตรายทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง แต่ละกิจกรรมของงาน พิจารณาว่าใครจะได้รับอันตรายและจะได้รับอันตรายอย่างไร <ul><li>กำหนดความเสี่ยง </li></ul><ul><li>ประมาณความเสี่ยงจากอันตรายแต่ละอย่าง โดย สมมุติว่ามีการควบคุมตามแผน หรือตามขั้นตอนการทำงานที่มีอยู่ ผู้ประเมินควรพิจารณาประสิทธิผลของการควบคุม และผลที่เกิดจากความล้มเหลวของการควบคุม </li></ul>
- 90. <ul><li>ตัดสินว่าความเสี่ยงยอมรับได้หรือไม่ </li></ul><ul><li>ตัดสินว่า แผนหรือการระวังป้องกันด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยที่มีอยู่ ( ถ้ามี ) เพียงพอที่จะจัดการอันตรายให้อยู่ภายใต้การควบคุมและเป็นไปได้ตามข้อกำหนดตามกฎหมายหรือไม่ </li></ul>
- 91. <ul><li>เตรียมแนวปฏิบัติการควบคุมความเสี่ยง ( ถ้าจำเป็น ) </li></ul><ul><li>หากพบว่า ขั้นตอนปฏิบัติข้อใดมีความหละหลวม ไม่ถูกต้อง และต้องการปรับปรุงแก้ไข เพื่อลดระดับหรืออันตราความเสี่ยงลงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ </li></ul><ul><li>เตรียมแผนงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ที่พบในการประเมิน หรือที่ควรเอาใจใส่ องค์กรควรแน่ใจว่าการควบคุมที่จัดทำใหม่และที่มีอยู่มีการนำไปใช้อย่างมีประสิทธิผล </li></ul>
- 92. <ul><li>ทบทวนความเพียงพอของแผนปฏิบัติการ </li></ul><ul><li>ประเมินความเสี่ยงใหม่ด้วยวิธีการควบคุมที่ได้มีการปรับปรุง และตรวจสอบว่าความเสี่ยงนั้นอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ </li></ul>
- 93. <ul><li>รูปแบบการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment Pro-Forma) </li></ul><ul><li>องค์กรควรมีการเตรียมรูปแบบง่าย ๆ ที่สามารถใช้เพื่อการบันทึกสิ่งที่ค้นพบจากการประเมินโดยทั่วไป จะครอบคลุมถึง </li></ul><ul><li>กิจกรรมของงาน (Work Activity) </li></ul><ul><li>อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น (Hazards) </li></ul><ul><li>มาตรการควบคุมที่มีอยู่ (Control in place) </li></ul><ul><li>บุคคลที่มีโอกาสเสี่ยง (Personnel at risk) </li></ul><ul><li>สิ่งที่น่าจะก่อให้เกิดอันตราย ( ความเป็นไปได้ในการเกิดอันตรายนั้นมีมากน้อยเพียงใด ) </li></ul><ul><li>ความรุนแรงของอันตราย </li></ul><ul><li>ระดับความเสี่ยง </li></ul><ul><li>สิ่งที่ต้องการทำภายหลังการประเมิน </li></ul><ul><li>รายละเอียดทั่วไป เช่น ชื่อผู้ประเมิน วันที่ประเมิน ฯลฯ </li></ul>
- 94. <ul><li>พิษของกรดเกลือที่มีต่อร่างกาย </li></ul><ul><li>ระบบทางเดินหายใจ </li></ul>กรดเกลือก่อให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุจมูก ลำคอและเยื่อบุทางเดินหายใจ อาการจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อสูดดมเข้าไปในปริมาณ 35 ส่วนในล้าน หากได้รับเข้าไป 50 - 100 ส่วนในล้าน อาการจะรุนแรงจนทนไม่ได้ผลที่เกิดขึ้นกับเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบน เมื่อได้รับกรดเกลือในปริมาณมากอาจทำให้เนื้อเยื่อบวมอย่างมาก จนเกิดการอุดตันทางเดินหายใจ และ suffocation ได้ ผู้ที่ได้รับพิษขั้นรุนแรงจะมีอาการหายใจหอบหายใจไม่ทัน เนื่องจากภาวะอุดกั้นหลอดลมขนาดเล็กบางรายอาจเกิดภาวะปอดบวมน้ำซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก สำหรับในเด็กอาจเกิดอาการกล้ายหอบหืด ซึ่งจะเป็นอยู่นานหลายเดือนและไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาขยายหลอดลม
- 95. <ul><li>สมดุลกรด - ด่างของร่างกาย </li></ul>อาจเกิดขึ้นได้จากการได้รับพิษทางระบบทางเดินอาหารเนื่องจากคลอไรด์อิออนเพิ่มสูงขึ้นในเด็กที่มีอัตราการเผาผลาญในร่างกายสูงจะได้รับผลกระทบมากกว่าปกติถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ <ul><li>ผิวหนัง </li></ul><ul><li>แผลที่ผิวหนังเป็นลักษณะแผลลึก คล้ายแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก อาจเกิดแผลที่เยื่อบุซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออ่อนได้เช่นกันการได้รับพิษโดยการสัมผัสกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น จะทำให้เกิดแผลเป็นขนาดใหญ่และลึกหากสัมผัสสารละลายที่เจือจาง ก็จะเกิดเป็นผื่นผิวหนังอักเสบและระคายเคืองในเด็กจะพบปัญหาที่ผิวหนังมากกว่าผู้ใหญ่ </li></ul>
- 96. <ul><li>พิษต่อตา </li></ul><ul><li>ไอระเหยของไฮโดรเจนคลอไรด์หรือกรดไฮโดรคลิริกทำให้เซลล์กระจกตาเกิดการตาย เลนส์ตาเกิดเป็นต้อกระจกและความดันภายในลูกเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นต้อหินได้กรณีที่สัมผัสกับสารละลายที่เจืองจาง จะเกิดแผลที่กระจกตาด้านนอก </li></ul><ul><li>ระบบทางเดินอาหาร </li></ul><ul><li>ก่อให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรง กลืนลำบาก คลื่นไส้อาเจียน การได้รับพิษโดยการกินกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้นจะทำให้เกิดการหลุดลอกของเยื่อบุหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร เกิดเป็นแผลภายในมีเลือดออก แผลอาจทะลุได้ </li></ul>
- 97. <ul><li>ระบบหัวใจและหลอดเลือด </li></ul><ul><li>เกิดขึ้นเมื่อได้รับพิษจากการกินเข้าไปหรือสัมผัสในปริมาณสูง ทั้งกรดไฮโดรคลอริกและแก๊ซไฮโดรเจนคลอไรด์ทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลง เกิดภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารและระบบสมดุลน้ำและของเหลวในร่างกายเสียไปการทำหน้าที่ของปอดจะกลับมาเป็นปกติหลังจากได้รับพิษ 7 - 14 วัน </li></ul>
- 98. “ เก่า” กับ “ใหม่” • บริการอาชีวอนามัย แบบเดิม ( Traditional Services) – เน้นการบังคับใช้กฎหมาย ( กระทรวงแรงงาน ) – เน้นผู้เชี่ยวชาญ • เดินสำรวจโรงงาน เก็บตัวอย่างสารเคมี ตรวจร่างกาย การเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อม การเฝ้าระวังสุขภาพ • บริการอาชีวอนามัย แบบ “ทันสมัย” – เน้นการมีส่วนร่วม ( Participation : employer and employee) – ผู้เชี่ยวชาญ คือ facilitator – บูรณาการ / องค์รวม (“ whole person” approach) – เป็นไปตามความต้องการ / ปัญหาของกลุ่ม พื้นที่
- 99. วงจรคุณภาพ - การป้องกันโรคจากการทำงาน Plan ( ประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพ ) Do ( ลดสิ่งคุกคาม , ลดการสัมผัส ) Check ( การตรวจวัดสิ่งแวดล้อมและสุขภาพพนักงาน environmental and biological monitoring) Act ( ปรับขั้นตอน Do)
- จิตของผ