ความรอบรู้และเข้าใจในเรื่องการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพครู
.
ตัวอย่างเนื้อหา
- การฟังจับใจความจากการบรรยายหรือการประชุม
- การพูดถ่ายทอดความรู้ในโอกาสต่าง ๆ
- การอ่านอย่างมีวิจารณญาณ
- การเขียนเชิงวิชาการ เช่น บทความ รายงาน วิจัย
.
สอบอะไรบ้าง?
ความรอบรู้และเข้าใจในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพครู
.
ตัวอย่างเนื้อหา
- การฟังจับใจความบทสนทนาอย่างง่ายที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
- การพูดแสดงความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมงานในที่ทำงาน
- การอ่านข้อความสั้น ๆ ที่มีความหมายตรงไปตรงมาในชีวิตประจำวัน
- การเขียนบรรยายประสบการณ์หรือความรู้สึกของตนเองได้
.
สอบอะไรบ้าง?
ความรอบรู้และเข้าใจในเรื่องการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา ได้แก่ การเข้าใจสื่อดิจิทัล การเข้าถึงและการประยุกต์ใช้สื่อดิจิทัล หรือการสร้างสรรค์และการแก้ปัญหาโดยใช้สื่อดิจิทัล
.
ตัวอย่างเนื้อหา
- การใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต
- การใช้ดิจิทัลเพื่อความมั่นคงปลอดภัย
- ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI)
- การรู้เท่าทันสื่อ
- การเข้าใจแนวปฏิบัติของสังคมยุคดิจิทัล
- การใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์
.
สอบอะไรบ้าง?
ความรอบรู้และความเข้าใจในเนื้อหาสาระต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพครู สามารถบูรณาการความรู้กับการปฏิบัติจริง หรือบูรณาการข้ามศาสตร์ได้
.
ตัวอย่างเนื้อหา
- การเปลี่ยนแปลงบริบทของโลก สังคม และแนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
- จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาการศึกษา และจิตวิทยาให้คําปรึกษาในการวิเคราะห์และพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
- หลักสูตร ศาสตร์การสอน และเทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนรู้
- การวัด ประเมินผลการเรียนรู้ และการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน
- การออกแบบ และการดําเนินการเก่ียวกับงานประกันคุณภาพการศึกษา
.
ความรอบรู้และเข้าใจในเรื่องเนื้อหาวิชาเอกที่สอน เช่น เนื้อหาสาระวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาคณิตศาสตร์ หรือวิชาสังคมศึกษา
**รู้หรือไม่** การสอบวิชาเอกถูกตัดออกจากการสอบในปีพ.ศ. 2565 เนื่องจากบอร์ดคุรุสภามีความเห็นอาจซ้ำซ้อนกับการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครู
7.1.2 รายวิชาความถนัดวิชาชีพครู (เหตุการณ์สำคัญ, หลักการศึกษา, ประกันคุณภาพการศึกษา, บริบททางการศึกษา, หลักสูตร, การจัดการเรียนรู้, การวัดผลและประเมินผลการศึกษา, การวิจัยทางการศึกษา, จิตวิทยาการศึกษา, คุณธรรมจริยธรรม, ความเป็นครู, จรรยาบรรณวิชาชีพครู ฯลฯ)การศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครูที่คุรุสภารับรอง ซึ่งเดิมกำหนดให้เป็นแนวทางหลักแนวทางหนึ่งสำหรับผู้ที่จบสาขาวิชาอื่นสามารถศึกษาต่อยอด โดยจะศึกษาเฉพาะวิชาชีพครูตามมาตรฐาน และปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วสามารถใช้คุณวุฒิในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้ เนื่องจากในพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 กำหนดไว้ว่า วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพควบคุม ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพควบคุมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และกำหนดเฉพาะที่เป็นการประกอบวิชาชีพควบคุมในสถานศึกษาปฐมวัย ขั้นพื้นฐาน และอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา ทั้งของรัฐและเอกชน
ปัจจุบัน คุรุสภาให้การรับรองประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครูของสถาบัน และให้เปิดรับเฉพาะผู้ประกอบวิชาชีพครูในหน่วยงานต้นสังกัดต่างๆ ที่ยังไม่มีคุณวุฒิปริญญาทางการศึกษา โดยคณะกรรมการคุรุสภาในการประชุมครั้งที่ 7/2558 วันที่ 11 พฤษภาคม 2558 มีมติให้การรับรองประกาศนียบัตรบัณฑิตทางการบริหารการศึกษา 4 หลักสูตร ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู 49 หลักสูตร ของมหาวิทยาลัย จำนวน 48 แห่ง เพื่อพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาในสังกัดต่างๆ ที่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา โดยให้สถาบันจัดการเรียนการสอนเฉพาะในที่ตั้งเท่านั้น เก็บค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตร ภายในวงเงินไม่เกิน 35,000 บาท ยกเว้นหลักสูตรนานาชาติของวิทยาลัยนานาชาติเซนต์เทเรซา กำหนดภายในวงเงินไม่เกิน 70,000 บาท และรับนักศึกษาตามจำนวนที่คุรุสภาให้การรับรอง โดยรวมทุกสถาบันแล้ว สามารถรับนักศึกษาได้จำนวน 7,560 คน โดยคุรุสภาได้กำหนดคุณสมบัติผู้ประกอบวิชาชีพครูที่จะเข้าศึกษา ป.บัณฑิต ประจำปี 2558 ดังนี้ 1) มีคุณสมบัติตามที่กำหนดในเอกสารหลักสูตรที่เสนอขอรับรองจากคุรุสภา 2) มีรายชื่ออยู่ในการสำรวจของหน่วยงานต้นสังกัด จำนวน 235 แห่ง และ 3) ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการสอนเท่านั้น กรณีที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูแล้ว ต้องมีสัญญาจ้างให้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการสอน หากเป็นกรณีที่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ต้องมีหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครูโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูที่ออกก่อนวันที่ 19 มีนาคม 2558 เพิ่มเติมจากสัญญาจ้าง
นอกจากนี้ ยังมีแนวทางอื่นสำหรับผู้ที่จบสาขาอื่นแล้วต้องการเป็นครู ซึ่งคุรุสภาเองก็ไม่ได้กีดกั้นไม่ให้มาเป็นครู แต่หลักการสำคัญ คือ ทำอย่างไรให้บุคลนั้นมีคุณสมบัติตามมาตรฐานวิชาชีพครู กล่าวคือ มีมาตรฐานความรู้วิชาชีพครูและมีประสบการณ์ในการปฏิบัติการสอนไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน แม้ว่าวิธีการเข้าสู่วิชาชีพครูอาจจะแตกต่างกันไป ดังแนวทางต่อไปนี้
แนวทางที่ 1 การขอรับรองความรู้วิชาชีพครูตามมาตรฐานวิชาชีพครูของคุรุสภา กำหนดให้มี 2 วิธี คือ การเทียบโอน (การนำเอาความรู้ตามหลักสูตรไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี โดยดูจากคำอธิบายรายวิชามาเทียบกับสาระความรู้ตามมาตรฐานวิชาชีพครู) ซึ่งในขณะนี้เปิดให้เฉพาะผู้ที่ศึกษาอยู่ก่อนข้อบังคับว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ.๒๕๕๖ มีผลบังคับใช้ และยังไม่สำเร็จการศึกษาให้เทียบโอนให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี นับจากวันสำเร็จการศึกษา และการฝึกอบรม (การจัดอบรมเนื้อหาวิชาชีพครู 9 มาตรฐาน) โดยสามารถใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือสองวิธีรวมกันให้ผ่านการรับรองความรู้วิชาชีพครู เมื่อผ่านการรับรองความรู้ครบ 9 มาตรฐานแล้ว สามารถขอรับใบอนุญาตปฏิบัติการสอน เพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงคุณสมบัติของผู้ที่มีมาตรฐานความรู้วิชาชีพครูแต่ยังขาดประสบการณ์การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี คุรุสภาให้มีสิทธิในการเป็นครูโดยอยู่ในความควบคุมของผู้บริหารสถานศึกษาได้ เมื่อประกอบวิชาชีพครูต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี และผ่านการประเมินของสถานศึกษาแล้ว สามารถนำแบบประเมินการสอนพร้อมใบอนุญาตปฏิบัติการสอน มาขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้
แนวทางที่ 2 การขอรับรองคุณวุฒิ ตามที่กฎหมายมาตรา 44 กำหนดว่าเป็นคุณวุฒิปริญญาทางการศึกษา หรือเทียบเท่า หรือคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง คุรุสภาจึงกำหนดให้ผู้ต้องการประกอบวิชาชีพครูสามารถขอรับรองคุณวุฒิได้ตามประกาศหลักเกณฑ์ที่คุรุสภากำหนด โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นคุณวุฒิที่เป็นความต้องการของผู้ใช้ โดยให้หน่วยงานผู้ใช้ระบุเหตุผลความจำเป็น พร้อมกับผู้นั้นต้องมีประสบการณ์ที่เป็นที่ยอมรับและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อวิชาชีพครูตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดด้วย
สำหรับสถานศึกษาที่มีความจำเป็นต้องรับผู้ที่ยังไม่มีคุณสมบัติในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูเข้าสอน โดยสถานศึกษาหรือหน่วยงานจะต้องเป็นผู้ขอให้คุรุสภาออก หนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครูโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ซึ่งจะต้องระบุเหตุผลความจำเป็นในการขออนุญาตดังกล่าว ซึ่งคุรุสภาจะพิจารณาอนุญาตจากคุณวุฒิ เหตุผลและความจำเป็น หนังสืออนุญาตนี้มีอายุใช้ได้ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุญาต โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ที่ได้รับอนุญาตจะต้องพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่คุรุสภากำหนดเพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพต่อไป และหากผู้ได้รับอนุญาตลาออกจากสถานศึกษาที่ขออนุญาต ถือว่า ยกเลิกการอนุญาตดังกล่าว เนื่องจากเป็นการอนุญาตให้สอนเฉพาะในสถานศึกษาที่ ขออนุญาตให้เท่านั้น