Iphone 8 ม โหมด portrait ไหม

โหมดภาพถ่ายบุคคลใช้กล้องจากเลนส์หลายตัวที่ติดตั้งมาใน iPhone ซีรีย์ 11 (11 / 11 Pro / 11 Pro Max), X series (X / XS / XS Max / XR), iPhone 8 Plus / 7 Plus, ฟังก์ชั่นนี้ช่วยให้คุณถ่ายภาพบุคคลให้ดูคมชัดขึ้น ด้วยพื้นหลังเบลอและสามารถเลือกปรับเอฟเฟ็กต์แสงได้อีกด้วย

ภาพทางซ้าย:ถ่ายในโหมด Portrait , ภาพทางขวา:ถ่ายในโหมด Photo

จะเห็นได้ว่า โหมดภาพถ่ายบุคคล (Portrait) นั้น มีความแตกต่างจากโหมดถ่ายภาพปกติ ตรงที่ เน้นโฟกัสไปยังวัตถุหรือบุคคลให้มีความโดนเด่นขึ้นมา แต่หากต้องการองค์ประกอบโดยรวมทั้งหมด การใช้โหมดธรรมดาอาจเหมาะมากกว่า หากคุณต้องการถ่ายภาพบุคคลให้ดูเป็นมืออาชีพจาก iPhone มาเริ่มต้นกันเลย

วิธีถ่ายรูปในโหมดภาพถ่ายบุคคล

ง่ายๆ เพียงเปิดแอพ [Cemara] จากนั้นปัดหน้าจอไปทางซ้าย เพื่อสลับโหมดจาก PHOTO เป็น [PORTRAIT] เมื่อหน้าจอแสดงค่าเอฟเฟ็กต์เป็นตัวอักษรสีเหลือง พื้นที่ด้านหลังวัตถุหรือบุคคล จะเบลอ แสดงว่าคุณกำลังจะถ่ายภาพนั้นด้วยโหมด ภาพถ่ายบุคคล

⇒ วิธีใช้ แอพ Camera (กล้อง) : ขั้นพื้นฐาน

เพิ่มเอฟเฟกต์แสงให้กับภาพถ่ายบุคคล

บน iPhone ซีรีส์ 11 iPhone ซีรีส์ X และ iPhone 8 Plus สามารถใช้คุณสมบัติ การจัดแสงภาพถ่ายบุคคล เพื่อใส่เอฟเฟ็กต์การจัดแสงคุณภาพระดับสตูดิโอ ไปยังรูปภาพในโหมดภาพถ่ายบุคคลได้ มีให้เลือก 5 รูปแบบ

ปรับแต่งความเบลอของพื้นหลัง ในภาพถ่ายบุคคล

ในซีรี่ส์ iPhone 11 และ iPhone X สามรถปรับระดับความเบลอของด้านหลังภาพถ่ายที่ถ่ายในโหมดภาพถ่ายบุคคล (Portrait) ได้

ข้อควรระวังเมื่อถ่ายภาพ ในโหมดภายถ่ายบุคคล

หากวัตถุอยู่ใกล้เกินไปไกลหรือขาดความสว่าง คำแนะนำจะแสดงขึ้นมาเช่น "ถอยห่างออกมา" หรือ "ต้องการแสงเพิ่ม แฟลชอาจช่วยได้" หรือ "ให้สิ่งที่ถ่ายอยู่ภายใน 2.5 เมตร" เป็นต้น หากเอฟเฟ็กต์ในโหมดแสดงเป็นขาวดำ แล้วคุณกดชัตเตอร์ นั่นหมายความว่า คุณจะได้ภาพถ่ายในแบบธรรมดา ทำตามคำแนะนำที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอ จนเอฟเฟ็กต์ที่คุณเลือก แสดงเป็นสีเหลือง ก่อนแล้วจึงค่อยกดชัตเตอร์ คุณจึงจะได้ภาพถ่ายในโหมด ภาพถ่ายบุคคล

วิธีปรับแต่งให้เป็นภาพปกติ

รูปภาพที่ถ่ายในโหมดภาพถ่ายบุคคล (Portrait) สามารถกู้คืนสู่รูปภาพปกติ โดยไม่เบลอพื้นหลังได้จากแอพ Photos

เปิดหน้าจอ Edit

■ เปิดอัลบั้ม Portrait

แตะ [Albums] จากมุมขวาด้านล่างจอ จากนั้นเลื่อนลงเพื่อมายัง ส่วน "Media Types" แตะที่ [Portrait] โฟรเดอร์จะถูกสร้างขึ้นอัตโนมัติ เมือมีการถ่ายภาพ ในโหมดภาพถ่ายบุคคล

■เลือกรูปที่ต้องการ

แตะรูปที่ต้องการ จะแก้ไข

■ปรับแต่ง
แตะ [Edit] ที่มุมบนด้านขวา

ยกเลิก โหมดภาพถ่ายบุคคล

แตะที่ [PORTRAIT] ตรงกลาง ด้านบน เพื่อยกเลิกเอฟเฟ็กในโหมดภายถ่ายบุคคล พื้นหลังที่ถูกเบลอไว้จะถูกยกเลิก และรูปถ่ายดังกล่าว จะกลับเข้าสู่โหมด PHOTO เมื่อเสร็จสิ้นแล้วแตะที่ [Done]


หลังจากที่ได้ทำการแกะกล่อง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่เพิ่งวางจำหน่ายในประเทศไทยกันไปเรียบร้อยแล้ววันนี้ทีมงาน @flashfly ก็มีรีวิวการใช้งานของทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มาฝากกันโดยทั้ง 2 รุ่นอัดแน่นไปด้วยทั้งสเปคที่แรงกว่าเดิมมากฟีเจอร์ใหม่ๆอีกเพียบแม้หน้าตาจะดูคล้ายกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในรุ่นก่อนหน้า ซึ่งพอสัมผัสใช้งานจริงแล้วจะขอบอกเลยว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจริงๆ สมฉายาที่ว่าเป็น iPhone เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด โดย Apple ได้ข้ามจากรุ่น iPhone 7s และ iPhone 7s Plus ไปเรียบร้อย

มาเริ่มกันที่รูปร่างหน้าตาความสวยงามภายนอกกันก่อน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มาพร้อมหน้าจอขนาด 4.7 นิ้วและ 5.5 นิ้วเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้าแต่มีการเปลี่ยนดีไซน์ตัวเครื่องใหม่เป็นแบบกระจกทั้งหมดทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่ออกแบบมาโดยเฉพาะพร้อมชั้นเสริมความแข็งแกร่งที่หนาขึ้นอีก 50% และก็ยังมีโลหะแบบใหม่ซ้อนอยู่ข้างใต้เชื่อมด้วยเลเซอร์ โดย Apple ยืนยันว่าเป็นกระจกที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน พร้อมเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ ที่สามารถเช็ดรอยเปื้อนและรอยนิ้วมือออกได้ง่ายๆ

ตรงขอบด้านข้างตัวเครื่องขอบอะลูมิเนียมซีรีส์ 7000 เกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรม อวกาศช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เข้าไปอีก

ตัวเครื่องมีให้เลือก 3 สีเท่านั้นคือสีเทาสเปซเกรย์ สีเงิน และ สีทองใหม่ล่าสุด โดยในรุ่นนี้ไม่มีสีโรสโกลด์ และสีดำเงาที่หลายคนชื่นชอบอีกต่อไปแล้ว สำหรับกระจกที่ด้านหลังตัวเครื่องนั้นผ่านกระบวนการลงหมึก 7 ชั้นทำให้แสดงเฉดสีและความทึบแสงได้อย่างสวยงาม เชื่อว่าถ้าใครได้เห็นของจริงต้องบอกว่าสวยจริงๆ

เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาก็จะพบกับหน้าจอ Retina HD แบบใหม่สวยงามยิ่งกว่าที่เคยโดย iPhone 8 มีหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334×750 พิกเซล ส่วน iPhone 8 Plus มีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920×1080 พิกเซล

หน้าจอทั้ง 2 รุ่นมีการแสดงผลแบบ True Tone แบบเดียวกับ iPad Pro ที่จะปรับแสงบนหน้าจอให้สบายตารู้สึกเป็นธรรมชาติไม่ต่างจากบนหน้ากระดาษจริงๆ ซึ่งก็เป็นการช่วยลดอาการเมื่อยล้าของสายตา แถมสีบนหน้าจอยังดูสวยงามสมจริงด้วยคอนทราสต์ที่สูง มีขอบเขตสีที่กว้างจึงดูสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงการใช้งาน 3D Touch ก็มีมาใน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เช่นเดียวกัน

ทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังคงมาพร้อมเซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือ Touch ID ที่ปุ่ม Home ที่เราคุ้นเคยกันดีที่ใช้ในการปลดล็อคหน้าจอ รวมถึงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น สั่งซื้อของออนไลน์

ทำไม Apple ถึงเปลี่ยนวัสดุจากฝาหลังอลูมิเนียมที่ใช้กันมาตั้งแต่ iPhone 6 มาเป็นกระจกอีกครั้งใน iPhone 8 คำตอบคือนอกจากความสวยงามแล้วก็เพื่อให้ตัวเครื่องสามารถชาร์จแบบไร้สายได้ง่ายๆนั่นเอง โดย Apple ตั้งใจออกแบบ iPhone ให้เป็นอุปกรณ์ไร้สายอย่างเต็มรูปแบบนั่นคือไม่ต้องมีสายชาร์จและสายหูฟังให้เกะกะอีกต่อไป

โดยด้านหลังตัวเครื่องที่ทำจากกระจกจะมีระบบชาร์จไร้สายฝังอยู่ภายในสามารถใช้กับเครื่องชาร์จ Qi ให้บริการในรถยนต์ ร้านกาแฟ โรงแรม สนามบิน และบนเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงแผ่นรองชาร์จไร้สายแบบใหม่สองรุ่นจาก Mophie และ Belkin แถมยังรองรับการชาร์จแบบเร็วทั้งแบบมีสายและไร้สาย สามารถชาร์จได้สูงสุด 50% ภายในเวลา 30 นาที โดยต้องใช้ที่ชาร์จ Apple USB-C Power Adapter ของเครื่อง MacBook ขนาด 29 วัตต์ขึ้นไปในการชาร์จ

ทางด้านชิพเซ็ตนั้นทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มาพร้อมชิพ A11 Bionic รุ่นใหม่ล่าสุดทั้งทรงพลังและฉลาดที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟนของ Apple มาพร้อมดีไซน์แบบ 6 คอร์แบ่งเป็น คอร์ประมวลผลการทํางาน 2 คอร์และคอร์ประหยัดพลังงาน 4 คอร์ และตัวควบคุมประสิทธิภาพรุ่นที่ 2 ที่ทำงานได้เร็วกว่าชิพ A10 Fusion ถึง 25% ประหยัดพลังงานกว่าเดิมถึง 70% ส่วน GPU แบบ 3 คอร์เร็วขึ้นถึง 30% มาพร้อม Metal 2 ที่ทำให้นักพัฒนาสร้างเกมได้ระดับเครื่องคอนโซลเลยทีเดียว

เมื่อทั้งหมดนี้ทำงานรวมกันในชิพ A11 Bionic ทำให้การเล่น 3D กราฟิกหนักๆประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการใช้งาน AR ก็แสดงผลได้สมจริงแบบสุดๆ แถมประหยัดพลังงานเดิมมาก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแบตเตอรี่ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ถึงอึดกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด

มาถึงกล้องดิจิตอลที่ต้องบอกเลยว่าแม้จะมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่ากับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แต่ Apple ได้ยกเครื่องใหม่หมดด้วยเซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีความไวกว่าเดิม มีโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพรุ่นใหม่ที่ Apple ออกแบบมาสำหรับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus โดยเฉพาะในการตรวจจับองค์ประกอบต่างๆในฉากไม่ว่าจะเป็นคน การเคลื่อนไหว และสภาพแสง เพื่อปรับแต่งรูปภาพให้สวยยิ่งขึ้น ภาพถ่ายสีสันสดใส สมจริง

และเก็บรายละเอียดได้ดียิ่งขึ้น ระบบออโต้โฟกัสที่เร็วขึ้นแม้ในที่แสงน้อย ถ่ายภาพ HDR ได้ดีขึ้น รวมถึงยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS แบบออปติคอลในการถ่ายรูปภาพและวิดีโอ

โดยกล้องของ iPhone 8 Plus นั้นยังคงมี 2 ตัวความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่ากันตัวแรกเป็นกล้องมุมกว้างประกอบไปด้วยเลนส์ 6 ชิ้น ขนาดรูรับแสง ƒ/1.8 ส่วนอีกตัวกล้องเทเลโฟโต้ขนาดรูรับแสง ƒ/2.8 เมื่อทำงานด้วยกันทำให้เราสามารถซูมแบบออปติคอลได้ 2 เท่าซูมดิจิตอลได้สูงสุด 10 เท่า


และสามารถใช้งานโหมด Portrait หรือโหมดภาพถ่ายบุคคลหน้าชัดหลังเบลอได้นั่นเอง ซึ่ง iPhone 8 Plus นั่นถ่ายภาพระยะหน้าได้คมชัดกว่าเดิมส่วนฉากหลังเก็บลอได้อย่างเป็นธรรมชาติสวยงามแบบกล้องโปรเลยทีเดียว ได้โบเก้ที่สวยงามมากๆ

iPhone 8 Plus นอกจากจะถ่ายโหมด Portrait ได้สวยงามกว่าเดิมแล้วยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Portrait Lighting หรือการจัดแสงภาพถ่ายบุคคล ที่ยังเป็นรุ่นเบต้าอยู่ โดยตัวเครื่องจะมีระบบตรวจจับใบหน้าในการถ่ายภาพถ่ายบุคคลพร้อมแสงเงา พร้อมสร้างเอฟเฟ็กต์แสงได้แบบสตูดิโอมืออาชีพ ซึ่งเมื่อถ่ายภาพในโหมด Portrait เราจะสามารถเลือกปรับเอฟเฟ็กต์แสงได้ 5 แบบดังนี้

แสงไฟธรรมชาติ (Natural Light) – โหมดปกติของ Portrait ได้ระยะหน้าที่คมชัดตัดกับฉากหลังที่เบลออย่างลงตัว
แสงไฟสตูดิโอ (Studio Light) – ปรับแสงบนใบหน้าให้สว่างสดใสเหมือนกับจัดแสงด้วยไฟสตูดิโอ
แสงไฟคอนทัวร์ (Contour Light) – เพิ่มรายละเอียดเงาให้คมชัดพร้อมทั้งไฮไลท์และโลว์ไลท์

แสงไฟเวที (Stage Light) – จะเปลี่ยนให้ฉากหลังเป็นสีดำให้ระยะหน้าสว่างเพียงจุดเดียวเหมือนอยู่บนเวที
แสงไฟเวทีขาวดำ (Stage Light Mono) – ฉากหลังจะเป็นสีดำเหมือนเอ็ฟเฟ็กต์แสงไฟเวที แต่จะเปลี่ยนเป็นภาพขาวดำสุดคลาสสิกแทน

สำหรับ iPhone 8 นั้นมีกล้องมุมกว้างตัวเดียว ซึ่งก็เหมือนกับกล้องมุมกว้างใน iPhone 8 Plus ทุกอย่างทั้งชุดเลนส์ 6 ชิ้น ขนาดรูรับแสง ƒ/1.8 ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล OIS และเซ็นเซอร์ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่ใหญ่ขึ้นและไวขึ้น

ทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังมีไฟแฟลช True Tone แบบ LED สี่ดวงพร้อมคุณสมบัติสโลว์ซิงค์ในการใช้ความไวชัตเตอร์ต่ำควบคู่กับการยิงไฟแฟลชแบบสั้นๆ ถี่ๆ ช่วยในการถ่ายในที่แสงน้อยที่จะทำให้วัตถุในภาพสว่างพอดีกับฉากหลังแบบพอดี แถมให้แสงสว่างกว่าเดิมถึง 40% ช่วยลดแสงสะท้อนกลับจากสิ่งที่ถ่ายได้

ส่วนกล้องหน้าหรือกล้อง FaceTime HD ของทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีความละเอียด 7 ล้านพิกเซลรูรับแสงขนาด ƒ/2.2 เท่ากัน สามารถถ่ายภาพเซลฟี่และ Live Photos ได้สวยสดงดงามด้วยขอบเขตสีกว้าง การปรับ HDR อัตโนมัติ พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ รวมถึงยังมี Retina Flash ใช้ไฟจากหน้าจอแทนไฟแฟลช สามารถถ่ายวิดิโอที่ความละเอียด Full HD 1080p

ถ่ายภาพนิ่งได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้แล้ว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังสมารถถ่ายวิดีโอความระดับ 4K ที่ 60 fps ได้แล้วจากเดิมที่ได้เพียง 30 fps เท่านั้น ถ่ายวิดีโอสโลว์โมชั่นความละเอียด 1080p ที่ 240 fps ได้แบบเนียนสุดๆ และยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอลที่ดีขึ้น สามารถซูมออปติคอลและซูมดิจิตอลได้ 6 เท่า (เฉพาะ iPhone 8 Plus) พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวทำให้วิดีโอที่ถ่ายมีคุณภาพดีที่สุด

สามารถถ่ายภาพนิ่งความละเอียด 8 ล้านพิกเซลขณะบันทึกวิดีโอ 4K ได้พร้อมกัน แถมการบีบอัดข้อมูลแบบ HEVC ทำให้ได้ไฟล์วิดีโอที่มีคุณภาพเท่าเดิมในขนาดไฟล์ที่เล็กลงถึงครึ่งหนึ่ง หมดปัญหาเมมเครื่องเต็มบ่อยๆ แถมตัวเครื่องพกพาสะดวกสบาย สวยงามกว่าเดิม

แม้ว่าทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus จะเป็นดีไซน์ใช้วัสดุเป็นกระจกแบบใหม่ตัวเครื่องก็ยังคงกันน้ำ กันฝุ่นเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า ซึ่งผ่านการทดสอบตามหลักเกณฑ์ของห้องปฏิบัติการที่ได้รับการควบคุมที่ระดับ IP67 คืออยู่ในน้ำที่ความลึก 1 เมตรได้ไม่เกิน 30 นาที

แต่แน่นอนว่า Apple ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานในน้ำหรือใต้น้ำ ซึ่งคุณสมบัตินี้จะช่วยป้องกันตัวเครื่องที่อาจจะโดนฝนตกหรือน้ำกระเด็นใส่เท่านั้น และห้ามชาร์จขณะที่เครื่องยังเปียกอยู่

สำหรับใครที่ชื่นชอบลำโพงสเตอริโอบน iPhone 7 ต้องบอกเลยว่าบน iPhone 8 ทำได้กระหึ่มยิ่งกว่าเดิมเพราะตัวลำโพงได้รับการออกแบบใหม่ให้เสียงดังขึ้นกว่าเดิม 25% ให้เสียงเบสได้ลึกกว่าเดิมอีกด้วย คราวนี้จะดูหนัง เล่นเกม ฟังเพลง ก็สะใจโดยไม่ต้องหาต่อลำโพงภายนอกให้วุ่นวาย หรือจะฟังผ่าน AirPods หูฟังไร้สายยอดนิยมก็สะดวกสบายแบบสุดๆ



ทางด้านอุปกรณ์เสริมของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ก็ยังคงมีออกมาให้เลือกทั้งเคสหนังและเคสซิลิโคนที่ออกแบบโดย Apple เองในการปกป้องตัวเครื่องซึ่งคราวนี้เป็นดีไซน์กระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลังทำให้หลายคนกังวลอยู่ไม่น้อย

สำหรับกระจกกันรอยของแบรนด์ดังเจ้าตลาดอย่าง Focus ก็มีออกมาวางจำหน่ายเรียบร้อยแล้วทั้ง 2 ขนาดหน้าจอ มีให้เลือกทั้งด้านหน้าสีขาวและสีดำ ถ้าใช้ทั้ง 2 อย่างนี้ด้วยกันแล้ว เลิกกังวัลกลัวทำตัวเครื่องตกแตกไปได้เลย

และนี่คือทั้งหมดของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่ทีมงาน @flashfly นำมารีวิวแบบเจาะลึกทุกฟีเจอร์ใหม่ที่ Apple ได้นำมาใส่ไว้ในรุ่นนี้แม้จะมีหน้าตาคล้ายรุ่นเดิมแต่แตกต่างโดยสิ้นเชิง ทั้งสเปคเครื่องที่ดีกว่าเดิมหลายเท่าตัว กล้องที่ได้ปรับปรุงใหม่หมด การออกแบบตัวเครื่องใหม่ รองรับการชาร์จไร้สาย ใช้งานได้ยาวนานกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งต้องบอกว่าทั้ง 2 รุ่นนี้มีความสามารถที่โดดเด่นไม่แพ้ iPhone X อาทิใช้ชิพ A11 Bionic ตัวเดียวกัน หน้าจอ True Tone ดีไซน์กระจกกันน้ำกันฝุ่น ชาร์จไร้สายได้เหมือนกัน ,หน้าจอ True Tone ,ความจุ 64GB และ 256GB รวมไปถึงเซ็นเซอร์กล้องดิจิตอล และมีโหมด Portrait Lighting ใน iPhone 8 Plus อีกด้วย

โดย iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เปิดราคาทางการในประเทศไทยเริ่มต้นที่ 28,500 บาทและ 32,500 บาทตามลำดับ อาจจะดูว่าสูงกว่ารุ่นเดิมแต่ความจุเริ่มต้นขยับมาที่ 64GB แล้วนั่นเอง ขณะที่ความจุ 256GB ราคาจะต่างกัน 6,000 บาทต่อรุ่น ขณะที่ iPhone X เปิดราคาทางการในระดับถึงสี่หมื่นบาท แน่นอนว่า Apple เองก็ได้แบ่งกลุ่มผู้ใช้งานเอาไว้แบบชัดเจนแล้ว การที่จะเลือก iPhone 8 หรือ iPhone 8 Plus ยังถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในการใช้งานเพราะยังถือเป็นแฟลกชิปในปีนี้ แถมประหยัดเงินไปอีกกว่า 12,000 บาทไว้ซื้อของขวัญในช่วงปลายปี ขณะที่ iPhone X เป็นรุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 10 ปี iPhone ใส่เทคโนโลยีใหม่ๆเพิ่มเข้ามา แน่นอนว่าทีมงาน @flashfly ก็เตรียมปล่อยรีวิวตามมาในเร็วๆนี้แล้วเช่นเดียวกัน ใครที่สนใจอยู่ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด

ปิดท้ายด้วยตัวอย่างภาพถ่ายโดย iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่ไม่ได้มีการปรับแต่งใดๆเพียงแค่ย่อขนาดลงมาเท่านั้น

บทความโดย – www.flashfly.net



Tags: AppleiPhone 8iPhone 8 PlusPreviewReviewพรีวิวรีวิว

Toplist

โพสต์ล่าสุด

แท็ก