วัดกระแสไฟฟ้าที่เป็นมาตรฐานสัญลักษณ์ของแอมมิเตอร์นิยมเขียนด้วยตัว A ในวงกลม A เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าหรือแอมมิเตอร์มี 2 แบบ ด้วยกัน คือเครื่องวัดปริมาณไฟฟ้ากระแสตรงหรือแอมมิเตอร์วัดไฟฟ้ากระแสตรง ( D.C.Ammeter ) เมื่อจะใช้วัดกระแสไฟฟ้าจะต้องคำนึงถึงขั้วบวกและขั้วลบของเครื่องมือวัดด้วย ส่วนอีกแบบหนึ่ง คือ แอมมิเตอร์วัดไฟฟ้ากระแสสลับ ( A.C.Ammeter ) เมื่อจะใช้วัดกระแสไฟฟ้าสลับไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงขั้วบวกและขั้วลบ เหมือนกับแอมมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้าตรง เนื่องจากไฟฟ้ากระแสสลับมีการเปลี่ยนแปลงขั้วบวกขั้วลบอยู่ตลอดเวลา
การอ่านค่ากระแสไฟฟ้าจากแอมมิเตอร์ ในกรณีที่ใช้แอมมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้ากระแสตรงผู้ใช้จะต้องต่อขั้วบวกของแอมมิเตอร์เข้ากับขั้วบวกของวงจรหรือแหล่งจ่ายไฟ เช่น ถ่านไฟฉาย และต่อขั้วลบของแอมมิเตอร์เข้ากับอีกปลายข้างหนึ่งของวงจร และก่อนที่จะวัดนั้นจะต้องทราบว่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านวงจรนั้นมีค่าประมาณเท่าใด กระแสที่ต้องการวัดต้องไม่เกินขนาดของย่านการวัดแอมมิเตอร์ที่ใช้ ตัวอย่างเช่น ถ้าย่านการวัดของแอมมิเตอร์มีขนาด 0-2 แอมแปร์ กระแสที่วัดต้องไม่เกิน 2 แอมแปร์ และถ้าย่านการวัดของแอมมิเตอร์มีขนาด 0-5 แอมแปร์ กระแสที่วัดจะต้องไม่เกิน 5 แอมแปร์
หน่วยของปริมาณของกระแสไฟฟ้า นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณหาหน่วยของไฟฟ้าจากอิเล็กตรอนหรือประจุไฟฟ้า 6.28 X 1018 ตัว เท่ากับ 1 หน่วย เรียกว่า 1 คูลอมบ์ เพื่อเป็นการยกย่องนักฟิสิกส์ ชื่อ กูลง, ชาร์ล-โอกูสแตง เดอ ( Coulomb, harles-Augustin de ) นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส และต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้คิดคำนวณหาปริมาณการไหลของกระแสไฟฟ้าจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน โดยกำหนดปริมาณประจุไฟฟ้า 1 คูลอมบ์ เคลื่อนที่ในตัวนำผ่านจุดๆ หนึ่งภายในเวลา 1 วินาที เป็นปริมาณกระแสไฟฟ้า 1 หน่วย เรียกว่า 1 แอมแปร์
กำหนดให้ 1 แอมแปร์ ( A ) = 1,000 มิลลิแอมแปร์ ( mA )
หรือ 1 มิลลิแอมแปร์ ( mA ) = 0.001 แอมแปร์ ( A )
ในปัจจุบัน เครื่องวัดกระแสไฟฟ้ามีหลายแบบ แต่ที่นักเรียนควรรู้จักมี 2 แบบ คือ
1. เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าแบบเข็มชี้ ( Analog )
เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าแบบเข็มชี้นี้มีการออกแบบหน้าปัด เป็นสเกลขนาดต่างๆ เมื่อต้องการทราบค่ากระแสไฟฟ้า ให้อ่านค่าตัวเลขที่เข็มชี้ของเครื่องวัดขึ้นบนสเกลของเครื่องวัดนั้นๆ
ในการปฏิบัติการทางช่างไฟฟ้า ซึ่งเกี่ยวกับการบริการทางไฟฟ้าจะต้องเคลื่อนที่ไปตามส่วนต่างๆ ของการเดินสายและการติดตั้งไฟฟ้าในสถานที่ต่างๆ นั้น การต่อสายเข้าเครื่องวัดกระแสไฟฟ้ากระทำได้ยากและไม่ปลอดภัย ในทางปฏิบัติจึงนิยมใช้แคลมบ์ออนมิเตอร์ซึ่งเป็นเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าอีกแบบหนึ่งที่ใช้คล้องหรือเกี่ยวสาย เป็นการวัดค่ากระแสไฟฟ้าที่สะดวกประเภทหนึ่ง
2.เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าแบบตัวเลข ( Digital )
ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตได้คิดและผลิตเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าแบบตัวเลข ซึ่งอ่านค่าได้สะดวกและรวดเร็วกว่าแบบเข็มชี้ เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าแบบนี้เหมาะกับการปฏิบัติงานไฟฟ้าทั่วๆ ไป ที่ต้องออกปฏิบัติงานนอกสถานที่
แอมมิเตอร์ เป็นเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าที่สําคัญชนิดหนึ่งในทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้วัดปริมาณ กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าใด ๆ
แบ่งออกได้ 2 ชนิดตามลักษณะของกระแสไฟฟ้า คือ
1) แอมมิเตอร์ ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current Ammeter)
2) แอมมิเตอร์ ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current Ammeter)
ซึ่งทั้ง 2 ชนิดจะใช้ชุดขดลวดเคลื่อนที่แบบดาร์สันวัล (D’Arsonval moving coil) เป็นอุปกรณ์
หลักในการแสดงผลปริมาณกระแสไฟฟ้าทั้งสิ้น
แอมป์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง
แอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง เป็นเครื่องมือวัดไฟฟ้าที่ดัดแปลงจากชุดขดลวดเคลื่อนที่แบบดาร์ สันวัล โดยอาศัยสนามแม่เหล็กถาวรและสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในขดลวดเคลื่อนที่ ดังนั้นเมื่อมี กระแสไฟฟ้าไหลผ่านจึงทําให้เกิดแรงบิดบ่ายเบนจากขดลวดเคลื่อนที่พาให้เข็มมิเตอร์แสดงค่าปริมาณ กระแสไฟฟ้าได้ โดยปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ทําให้เข็มมิเตอร์บ่ายเบนไปจนเต็มสเกลนี้เรียกว่า กระแสไฟฟ้า เต็มสเกล
แอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงนี้เป็นเครื่องมือวัดไฟฟ้าแบบอะนาลอก (Analog Instrument) หรือ อาจจะเรียกอีกชื่อว่าเครื่องมือวัดแบบเข็มชี้ (Indicating Instrument) ใช้สําหรับวัดกระแสไฟฟ้าแบบ กระแสตรง (Direct Current : DC) โดยลักษณะของการวัดจะต่อแบบอนุกรมกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต้องการ วัด (ภาพที่ 1) และแสดงผลการวัดด้วยเข็มมิเตอร์ซึ่งติดอยู่กับขดลวดเคลื่อนที่แบบดาร์สันวัล ซึ่งจะหมุน ไปพร้อมกันเพื่อแสดงค่ากระแสไฟฟ้าบนสเกลของหน้าปัทม์ตามปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านขดลวด เคลื่อนที่
แอมป์มิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงซึ่งดัดแปลงจากขดลวดเคลื่อนที่แบบดาร์สันวัล จะพันขดลวดด้วย ลวดตัวนําขนาดเล็กจึงทําให้เกิดค่าความต้านทานน้อย ๆ ค่าหนึ่งขึ้นในขดลวดตัวนํา เรียกว่า ความต้านทาน ขดลวด (Moving Coil Resistance) ใช้สัญลักษณ์ว่า Rm ดังนั้นเมื่อนําไปใช้วัดกระแสไฟฟ้าจึงมีขีดจํากัดใน การวัดกระแสไฟฟ้าได้ปริมาณหนึ่งเท่านั้น ซึ่งค่ากระแสไฟฟ้าที่จํากัดนี้ เรียกว่า กระแสไฟฟ้าเต็มสเกล (Full Scale Current) หรือกระแสไฟฟ้าขดลวด (Moving Coil Current) ใช้สัญลักษณ์ว่า Im ซึ่งเป็นค่า กระแสไฟฟ้าที่ทําให้เข็มของมิเตอร์บ่ายเบนไปจนเต็มสเกล
แอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
โครงสร้างของแอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับจะประยุกต์ใช้ชุดขดลวดเคลื่อนที่แบบดาร์สันวัล เช่นเดียวกับแอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง ดังนั้นการใช้งานจึงต้องต่ออนุกรมกับวงจรที่ต้องการวัดหรือ อนุกรมกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จะวัดเหมือนแอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงทุกประการเพียงแต่การใช้งานไม่ต้อง คํานึงถึงขั้วของกระแสไฟฟ้าเหมือนกับแอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง ส่วนปริมาณกระแสไฟฟ้าที่วัดได้จะเป็น ค่าเฉลี่ยกําลังสอง หรือ ค่า อาร์เอ็มเอส (RMS : Root Mean Square) ของค่าไฟฟ้ากระแสสลับ ภาพที่ 6 แสดงสัญลักษณ์ของแอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ ซึ่งจะต่างจากแอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงคือไม่มี เครื่องหมายแสดงขั้วไฟฟ้าหรือมี ∼ อยู่ใต้ตัว A
โครงสร้างของแอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
เนื่องจากชุดขดลวดเคลื่อนที่แบบดาร์สันวัลนั้นใช้วัดปริมาณไฟฟ้ากระแสตรง ดังนั้นการดัดแปลง เป็นแอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับจึงต้องผ่านกระบวนการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง ก่อนด้วยวงจรเรียงกระแส (Regtifier) ดังภาพที่ 7 ไฟฟ้ากระแสตรง (IDC ) ที่ผ่านกระบวนการเรียงกระแส นั้นจะมีค่าไม่เท่ากับค่าของไฟฟูากระแสสลับ (IAC ) ดังนั้นจึงต้องมีกระบวนการปรับแต่งสเกลของ แอมมิเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับเพื่อให้แสดงปริมาณกระแสไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง
สรุปสาระสําคัญ
แอมมิเตอร์ เป็นเครื่องมือวัดที่ดัดแปลงจากชุดขดลวดเคลื่อนที่แบบดาร์สันวัล ใช้สําหรับวัดปริมาณ กระแสไฟฟ้ากระแสตรงและกระแสสลับ เนื่องจากภายในพันลวดตัวนําขนาดเล็กจึงเกิดค่าความต้านทาน ขึ้น เรียกว่า ความต้านทานขดลวด (Moving Coil Resistance) และค่ากระแสไฟฟ้าที่ทําให้เข็มของมิเตอร์ บ่ายเบนไปจนเต็มสเกล เรียกว่า กระแสไฟฟ้าเต็มสเกล (Full Scale Current) ซึ่งค่ากระแสไฟฟ้านี้จะมี ปริมาณน้อยมากจึงไม่สามารถวัดกระแสไฟฟ้าปริมาณสูงได้จึงต้องทําการดัดแปลงเครื่องมือวัดนี้ เรียกว่า การขยายย่านวัด
หลักการขยายย่านวัดใช้หลักการของวงจรขนาน (Parallel Circuit) โดยการนําตัวต้านทานชั้นท์ (Shunt Resistor : Rs) มาต่อขนานกับขดลวดเคลื่อนที่ เพื่อแบ่งปริมาณกระแสไฟฟ้าออกเป็นสองส่วน คือ กระแสไฟฟูาเต็มสเกลของขดลวดเคลื่อนที่ (Im) และกระแสไฟฟ้าซึ่งไหลผ่านตัวต้านทานชั้นท์ ซึ่งจะแบ่ง กระแสไฟฟ้าส่วนที่เกินจากกระแสไฟฟ้าเต็มสเกลของขดลวดเคลื่อนที่ออกไป ซึ่งทําให้กระแสไฟฟ้าทั้งสอง เป็นสัดส่วนกันอย่างพอดี ดังนั้นการบ่ายเบนไปของขดลวดเคลื่อนที่เนื่องจากกระแสไฟฟ้าปริมาณสูงจึงเป็น สัดส่วนกับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ถูกแบ่งให้ไหลผ่านขดลวดเคลื่อนที่ จึงทําให้สามารถเขียนสเกลใหม่บน สเกลเดิมได้ รวมทั้งยังสามารถใช้เทคนิคเดียวกันนี้ประยุกต์ใช้สร้างแอมมิเตอร์แบบหลายย่านวัดได้