แผนการจัดการเรียนรู้
โครงสร้างหน่วยการเรียนรู้วิชากฎหมายที่ประชาชนควรรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ความหมาย ลักษณะสำคัญของกฎหมาย ที่มาของกฎหมายและระบบกฎหมาย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 กระบวนการจัดทำกฎหมายลายลักษณ์อักษร
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การบังคับใช้กฎหมายและการสิ้นผลการบังคับใช้กฎหมาย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 รัฐธรรมนูญระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 หลักกฎหมายแพ่ง
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 หลักกฎหมายอาญา
หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 กฎหมายเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัวประชาชน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 9 กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็กและสตรี
หน่วยการเรียนรู้ที่ 10 กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
หน่วยการเรียนรู้ที่ 11 กฎหมายเกี่ยวกับการรับราชการทหาร
หน่วยการเรียนรู้ที่ 12 กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 13 กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
หน่วยการเรียนรู้ที่ 14 ปัญหาการใช้กฎหมายในสังคมไทยและแนวทางป้องกันแก้ไข
ผังมโนทัศน์
วิชากฎหมายที่ประชาชนควรรู้ รหัส ส 31222 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4(คลิกดูภาพ)
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปที่ Twitterแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
สังคม คือ กลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณหนึ่งโดยมีความสัมพันธ์ภายใต้ ระเบียบแบบแผนที่สังคมกำหนด มีการกระทำระหว่างกันทางสังคม มีประเพณีและวัฒนธรรม ที่เหมือนกันเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของคนในสังคม หน้าที่ของสังคม. เมื่อผู้คนได้มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม มีการสัมพันธ์ติดต่อกันแล้ว ย่อมจะมีปัญหาเกิดขึ้น เนื่องจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งจะก่อความไม่สงบขึ้นในสังคม ดังนั้น สังคมในฐานะเป็นวิธีการแห่งความสัมพันธ์กันของมนุษย์ในสังคมจึงต้องมีภาระหนักดังต่อไปนี้
1. กำหนดระเบียบแบบแผน เพื่อให้ผู้คนในสังคมได้ใช้เป็นวิถีในการดำเนินชีวิตร่วมกัน เช่น กำหนดว่าใครมีตำแหน่งหน้าที่อะไร มีกฎหมายขนบธรรมเนียมประเพณีที่จะต้องปฏิบัติหรือห้ามมิให้ปฏิบัติ
2. จัดให้มีการอบรมเรียนรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อให้ผู้คนในสังคมปฏิบัติตนให้ถูกต้องเป็นไป
ตามบรรทัดฐานของสังคม
3. สร้างวัฒนธรรมและพัฒนาวัฒนธรรมของสังคม ทั้งในด้านที่เป็นวัตถุและวัฒนธรรมมิใช่วัตถุ
4. ผลิตสมาชิกใหม่ ทดแทนสมาชิกเดิมที่ล้มตายไปเพื่อให้สังคมดำรงอยู่ต่อไป
5. ผลิตแจกแจงสินค้าและบริการ เพื่อสนองความต้องการของคนในสังคม
6. ให้บริการและสวัสดิการแก่สมาชิกในสังคม เช่น บริการทางด้านสุขภาพอนามัย บริการเกี่ยวกับ
สาธารณูปโภค สวัสดิการในการเลี้ยงดูผู้ที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้ รวมทั้งการรักษาความปลอดภัย
รักษาความสงบภายในและการป้องกันภัยจาก ภายนอกสังคม
7. การควบคุมสังคม เพื่อให้ผู้คนดำเนินไปตามบรรทัดฐานของสังคมจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
8. การธำรงไว้ซึ่งความหมายและมูลเหตุจูงใจ คือ การเสริมสร้างให้สมาชิกของสังคมตระหนักถึงคุณค่า
แห่งความหมายของการเป็นสมาชิกของสังคม อันเป็น มูลเหตุจูงใจ กระตุ้นให้มวลสมาชิกมีความรับ
ผิดชอบต่อสังคม กล่าวคือ ปลูกฝังให้เขาเหล่านั้นปฏิบัติตนในสิ่งที่เป็นประโยชน์สุขของสังคมโดย
ส่วนรวม มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานและต่อครอบครัว
1.1 ความหมายของ "กฎหมาย"
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งเป็นพระบิดาแห่งกฎหมายไทย ได้ทรงกล่าวถึงคำว่ากฎหมายไว้ว่า "กฎหมาย คือ คำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองว่าการแผ่นดินที่มีต่อราษฎรทั้งมวล เมื่อไม่ทำตามแล้ว ตามธรรมดาย่อมต้องได้รับโทษ"
ศาสตราจารย์หยุด แสงอุทัย นักกฎหมายที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งได้กล่าวว่า
"กฎหมาย คือ ข้อบังคับของรัฐ ซึ่งกำหนดความประพฤติของมนุษย์ ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายหรือถูกลงโทษ"
จากหลักของผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย ที่ให้ความหมายของกฎหมายไว้เอาไว้อย่างมีเหตุผล ดังกล่าวข้างต้น จึงพอที่จะนำมาวินิจฉัยและสรุปความหมายของกฎหมายในปัจจุบันได้ว่า
"กฎหมาย เป็นคำสั่งหรือข้อบังคับของรัฐ ั ซึ่งอยู่ในรัฐหรือในประเทศของตน หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ยอมประพฤติปฏิบัติตามก็จะมีความผิดและต้องถูกลงโทษด้วย"
ลักษณะสำคัญของกฎหมาย
จากความหมายของคำว่า "กฎหมาย" ข้างต้น จึงพอที่จะแยกลักษณะโดยทั่วไปของกฎหมายได้ดังนี้
1. กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดขึ้นจากรัฎฐาธิปัตย์
2. กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไปกับคนทุกคนที่อยู่ในเขตรัฐหรือในประเทศนั้น ๆ
3. กฎหมายเป็นข้อบังคับที่ใช้ได้เสมอไป
4. กฎหมายเป็นข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม
5. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ
ลักษณะของกฎหมายแบ่งออกได้เป็น 5 ประการ คือ
1.กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับ ซึ่งจะแตกต่างกับการเชื้อเชิญหรือขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตามคำสั่งหรือข้อบังคับนั้นมีลักษณะให้เราต้องปฏิบัติตาม แต่ถ้าเป็นการเชื้อเชิญหรือขอความร่วมมือ เราจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้ เช่นนี้เราก็จะไม่ถือเป็นกฎหมาย เช่น การรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ หรือช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ
นอกจากดังกล่าวมาข้างต้น อาจมีบางกรณีที่กฎหมายให้อำนาจเฉพาะแก่บุคคลในการออกกฎหมายไว้เช่น พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงที่ออกโดยฝ่ายบริหาร(คณะรัฐมนตรี) ฯลฯ
2.กฎหมายต้องมาจากรัฐาธิปัตย์หรือผู้ที่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ รัฐาธิปัตย์คือผู้มีอำนาจสูงสุด
ของประเทศ ในระบอบเผด็จการหรือระบอบการปกครองที่อำนาจการปกครองประเทศอยู่ในมือของ
บุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด มีอำนาจออกกฎหมายได้ เช่น ระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด พระบรมราชโองการหรือคำสั่งของ
พระมหากษัตริย์ก็ถือเป็นกฎหมาย ส่วนในระบอบประชาธิปไตยของเรา ถือว่าอำนาจสูงสุดเป็นของ
ประชาชน กฎหมายจึงต้องออกโดยประชาชน คำถามมีอยู่ว่าประชาชนออกกฎหมายได้อย่างไร ก็ออก
โดยที่ประชาชนเลือกตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย ซึ่งก็คือสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)และ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)นั่นเอง ดังนั้นการเลือก ส.ส. ในการเลือกทั่วไปนั้นนอกจากจะเป็นการ
เลือกคนเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ยังเป็นการเลือกตัวแทนของประชาชนเพื่อทำการออกกฎหมายด้วย
3.กฎหมายต้องใช้บังคับได้โดยทั่วไป คือเมื่อมีการประกาศใช้แล้ว บุคคลทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
โดยเสมอภาค จะมีใครอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ หรือทำให้เสียประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลใด
โดยเฉพาะเจาะจงไม่ได้ แต่อาจมีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่น กรณีของฑูตต่างประเทศซึ่งเข้ามาประจำ
ในประเทศไทยอาจได้รับการยกเว้นไม่ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายภาษีอากร หรือหากได้กระทำความผิด
อาญา ก็อาจได้รับเอกสิทธิ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศไม่ต้องถูกดำเนินคดีในประเทศไทย โดยต้องให้
ประเทศซึ่งส่งฑูตนั้นมาประจำการดำเนินคดีแทน ฯลฯ
4.กฎหมายต้องใช้บังคับได้จนกว่าจะมีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการประกาศใช้แล้วแม้กฎหมายนั้นจะไม่ได้ใช้มานาน ก็ถือว่ากฎหมายนั้นยังมีผลใช้บังคับได้อยู่ตลอด กฎหมายจะสิ้นผลก็ต่อเมื่อมีการยกเลิกกฎหมายนั้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงเป็น อย่างอื่นเท่านั้น
5.กฎหมายจะต้องมีสภาพบังคับ ถามว่าอะไรคือสภาพบังคับ นั่นก็คือการดำเนินการลงโทษหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อผู้ที่ฝ่าฝืน กฎหมายเพื่อให้เกิดความเข็ดหลาบหรือหลาบจำ ไม่กล้ากระทำการฝ่าฝืนกฎหมายอีก และรวมไปถึงการเยียวยาต่อความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมายนั้นด้วย
ตามกฎหมายอาญา สภาพบังคับก็คือการลงโทษตามกฎหมาย เช่น การจำคุกหรือการประหารชีวิต ซึ่งมุ่งหมายเพื่อจะลงโทษผู้กระทำความผิดให้เข็ดหลาบ แต่ตามกฎหมายแพ่งฯนั้น สภาพบังคับจะมุ่งหมายไปที่การเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายเพื่อให้เกิดความเสีย หายน้อยที่สุด เช่น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือการบังคับให้กระทำการตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ฯลฯ ซึ่งบางกรณีผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายก็อาจต้องต้องถูกบังคับทั้งทางอาญาและทาง แพ่งฯในคราวเดียวกันก็ได้ แต่กฎหมายบางอย่างก็อาจไม่มีสภาพบังคับก็ได้ เนื่องจากไม่ได้มุ่งหมายให้ผู้คนต้องปฏิบัติตาม แต่อาจบัญญัติขึ้นเพื่อรับรองสิทธิให้แก่บุคคล หรือทำให้เสียสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสามารถทำนิติกรรมได้เองโดยไม่ต้องได้ รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม หรือบุคคลที่มีอายุ 15 ปีแล้วสามารถทำพินัยกรรมได้ ฯลฯ หรือออกมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ ซึ่งกฎหมายประเภทนี้จะไม่มีโทษทางอาญาหรือทางแพ่งแต่อย่างใด
เมื่อ ทุกคนรู้และปฎิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องแล้วย่อมไม่เกิดปัญหา และข้อพิพาทระหว่างกันสังคมยอมเป็นระเบียบและมีความสุขอันจะเป็นผลดีต่อประเทศสืบต่อไป
2. การบริหารราชการแผ่นดินและการปกครองบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ประเทศ ใดประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจและปฎิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดก็จะทำให้การ บริหารประเทศเป็นไปด้วยดี และมีส่วนทำให้มีการพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ดังตัวอย่างเช่น เมื่อประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของตนที่มีต่อประเทศชาติก็จะสา มารถปฎิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างครบถ้วน เช่นหน้าที่ในการป้องกันประเทศ หน้าที่ในการเสียภาษี หน้าที่ในการเป็นทหารรับใช้ชาติ เป็นต้น
3. สังคมจะสงบสุขเมื่อทุกคนปฎิบัติตามกฎหมาย
และ รู้ว่าตนมีสิทธิของตนอยู่เพียงไร ไม่ไปล่วงล้ำสิทธิของผู้อื่น ถ้าทุกคนปฎิบัติตามขอบเขตของกฎหมาย ก็จะไม่การทะเลาะวิวาทกัน เช่นทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการพูด การเขียน แต่ต้องปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขต ไม่ดูหมินเหยียดหยามผู้อื่นเพราะอาจทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันได้
4. กฎหมายสร้างความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์
เพราะ กฎหมายจะมีข้อบังคับแก่ทุกคน ดังนั้นไม่ว่า ใครก็ตามที่ประพฤติผิดกฎหมาย หรือถูกผู้อื่นเอาเปรียบ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีฐานะร่ำรวย ฐานะยากจน หรือเป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูงเพียงใดก็ตามไม่สามารถที่จะ หลีกเลี่ยงกฎหมายได้ ต้องรับโทษตามความผิด
5. กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่สำคัญ เพื่อก่อให้เกิดความยุติธรรม
ใน กรณีที่เกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้น มีการฟ้องร้องคดีกัน เพื่อขอความยุติธรรมจากศาล ศาลก็ต้องตัดสินโดยยึดตัวบทกฎหมายเป็นหลักในการพิจารณาคดี เพื่อให้ทุกคนได้รับความยุติธรรมเท่าเทียมกัน (ความสำคัญของกฎหมายข้อมูลจาก //www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=2137 )
ที่มาและประเภทของกฎหมาย
ที่มาของระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร
1.กฎหมายลายลักษณ์อักษร ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร เป็นระบบที่สืบทอดมาจากกฎหมายโรมัน ซึ่งให้ความสำคัญกับตัวบทกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใช้โดยถูกต้องตามกระบวนการ บัญญัติกฎหมาย ดังนั้นที่มาประการสำคัญของระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ก็คือกฎหมายที่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งอาจมีหลายลักษณะด้วยกัน เช่น รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง เป็นต้น
2.จารีตประเพณี ในบางครั้งการบัญญัติกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร จะให้ครอบคลุมทุกเรื่องเป็นไปได้ยาก จึงต้องมีการนำเอาจารีตประเพณีมาบัญญัติใช้เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรด้วย เช่น การชกมวยบนเวที ถ้าเป็นไปอย่างถูกต้องตามกติกา ถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้จะบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็ไม่มีความผิด หรือแพทย์ที่ตัดแขนตัดขาคนไข้โดยที่คนไข้ยินยอมก็ไม่มีความผิด เป็นต้น เท่าที่ผ่านมายังไม่มีการฟ้องร้องคดีเรื่องเหล่านี้เลย ซึ่งคงจะเป็นเพราะจารีตประเพณีที่รู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นเสมือนกฎหมาย
3.หลักกฎหมายทั่วไป ในบางครั้งถึงแม้จะมีกฎหมายลายลักษณ์อักษร และกฎหมายจารีตประเพณี มาใช้พิจารณาตัดสินความแล้วก็ตาม แต่ก็อาจไม่เพียงพอครอบคลุมได้ทุกเรื่อง จึงต้องมีการนำเอาหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งประเทศอื่น ๆ ที่มีความก้าวหน้าทางกฎหมายได้ยอมรับกฎหมายนั้นแล้วมาปรับใช้ในการพิจารณาตัดสินคดีความด้วย เช่น หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิ์ดีกว่าผู้รับโอน โจทย์พิสูจน์ไม่ได้ต้องปล่อยตัวจำเลย คดีอย่างเดียวกันต้องพิพากษาตัดสินเหมือนกัน ฯลฯ เป็นต้น
ที่มาของกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.จารีตประเพณีถือ ว่าเป็นที่มาประการสำคัญของระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเนื่องจากกฎหมายระบบนี้เกิดจากการนำเอาจารีตประเพณี ซึ่งคนในสังคมยอมรับและปฏิบัติสืบต่อกันมานาน มาใช้เป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความ
2.คำพิพากษาของศาลจารีต ประเพณีใดที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความแล้วก็จะกลายเป็นคำพิพากษาของศาล ซึ่งคำพิพากษาบางเรื่องอาจถูกนำไปใช้เป็นหลักหรือเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาตัดสินคดีความต่อ ๆไปคำพิพากษาของศาลจึงเป็นที่มาอีกประการหนึ่งของระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
3.กฎหมายลายลักษณ์อักษร ในสมัยต่อ ๆมาบ้านเมืองเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่จะรอให้จารีตประเพณีเกิดขึ้นย่อมไม่ทันกาลบางครั้งจึงจำเป็นต้องสร้างกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมาใช้ด้วย
4.ความเห็นของนักนิติศาสตร์ ระบบ กฎหายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ยังยอมรับความเห็นของนักนิติศาสตร์มาใช้เป็นหลักในการตัดสินคดีความด้วย เพราะนักนิติศาสตร์เป็นผู้ที่ศึกษากฎหมายอยู่เสมอเป็นผู้ที่มีความรู้ ความคิด มีเหตุผล ความเห็นของนักนิติศาสตร์ที่มีชื่อเสสียงและเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ย่อมมีน้ำหนักพอที่จะนำไปใช้อ้างอิงในการพิจารณาตัดสินความได้
5.หลักความยุติธรรมหรือมโนธรรมของผู้พิพากษา ในระยะหลังที่บ้านเมืองเจริญขึ้นสภาพสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป การใช้จารีตประเพณีและคำพิพากษาก่อน ๆ มาเป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความอาจไม่ยุติธรรม จึงเกิดศาลระบบใหม่ขึ้น ซึ่งศาลระบบนี้จะไม่ผูกมัดกับจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาของศาลเดิม แต่จะยึดหลักความยุติธรรมและให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณีซึ่งเรียกว่ามโนธรรม ของผู้พิพากษา(Squity)ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมาย ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
กฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก ยังอาจแบ่งย่อยได้อีกหลายลักษณะ ตามหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
กฎหมายภายใน แบ่งได้หลายลักษณะตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
1.ใช้เนื้อหาของกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์การแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.1กฎหมายลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ที่บัญญัติขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร โดยองค์กรที่มีอำนาจตามกระบวนการนิติบัญญัติ เช่น รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติต่าง ๆ ฯลฯ เป็นต้น
1.2กฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ จารีตประเพณีต่าง ๆ ที่นำมาเป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่องที่มาของกฎหมาย ซึ่งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยก็มีบทบัญญัติไว้ในมาตรา 4 วรรค 2 ว่า “เมื่อไม่มีบทกฎหมายใดที่จะยกมาปรับแก้คดีได้ท่านให้วินิจฉัยคดีนั้นตามคลอง จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น”
2.ใช้สภาพบังคับกฎหมายเป็นหลักในการแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
2.1กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา ได้แก่ กฎหมายต่าง ๆ ที่มีโทษตามบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา เช่น ประมวลกฎหมายอาญาพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พระราชบัญญัติรับราชการทหาร ฯลฯ เป็นต้น
2.2กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง สภาพบังคับทางแพ่งมิได้มีบัญญัติไว้ชัดเจนเหมือนสภาพบังคับทางอาญาแต่ก็อาจสังเกตได้จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น การบังคับชำระหนี้ การชดใช้ค่าเสียหาย หรืออาจสังเกตได้อย่างง่าย ๆ คือ กฎหมายใดที่ไม่มีบทบัญญัติกำหนดโทษทางอาญา ก็ย่อมเป็นกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
3.ใช้บทบาทของกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
3.1กฎหมายสารบัญญัติ ได้แก่ กฎหมายที่กล่าวถึงการกระทำต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบของความผิดโดยทั่วไปแล้วกฎหมายส่วนใหญ่ จะเป็นกฎหมายสารบัญญัติ
3.2กฎหมายวิธีสบัญญัติ ได้แก่ กฎหมายที่กล่าวถึงวิธีการที่จะนำกฎหมายสารบัญญัติไปใช้ว่าเมื่อมีการทำผิดบท บัญญัติกฎหมาย จะฟ้องร้องอย่างไร จะพิจารณาตัดสินอย่างไร พูดให้เข้าใจง่าย ๆ กฎหมายวิธีสบัญญัติก็คือ กฎหมายที่กล่าวถึงวิธีการเอาตัวผู้กระทำผิดไปรับสภาพบังคับนั่นเองเช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกฎหมายวิธีพิจารณาความในศาลแขวงกฎหมายวิธีพิจารณา คดีเยาวชนและครอบครัว เป็นต้น
4.ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่ง แบ่งกฎหมายออกเป็น 2 ประเภท คือ
4.1กฎหมายเอกชน ได้แก่กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนด้วยกัน โดยที่รัฐไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด เป็นต้น
4.2กฎหมายมหาชนได้แก่ กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนในฐานะที่รัฐเป็นผู้ ปกครองจงต้องมีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสงบสุข เช่น รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความต่าง ๆ เป็นต้น
กฎหมายภายนอก กฎหมายภายนอก หรือกฎหมายระหว่างประเทศ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง ได้แก่ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐที่จะปฏิบัติต่อกันเมื่อมี ความขัดแย้งหรือเกิดข้อพิพาทขึ้น เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ หรือได้แก่ สนธิสัญญา หรือเกิดจากข้อตกลงทั่วไป ระหว่างรัฐหนึ่งกับรัฐหนึ่งหรือหลายรัฐที่เป็นคู่ประเทศภาคีซึ่งให้สัตยาบัน ร่วมกันแล้วก็ใช้บังคับได้เช่น สนธิสัญญาไปรษณีย์สากล เป็นต้น
2.กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ได้แก่ บทบัญญัติที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลรัฐหนึ่งกับอีกรัฐหนึ่งเมื่อ เกิดความขัดแย้งข้อพิพาทขึ้นจะมีหลักเกณฑ์วิธีการพิจารณาตัดสินคดีความอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกัน เช่น ประเทศไทยเรามีพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกับแห่งกฎหมาย ซึ่งใช้บังคับกับบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยกับบุคคลที่อยู่ในประเทศอื่น ๆ
3.กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา ได้แก่ สนธิสัญญา หรือข้อตกลงเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางอาญาซึ่งประเทศหนึ่งยินยอมหรือ รับรองให้ศาลของอีกประเทศหนึ่งมีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีและลงโทษบุคคลประเทศ ของตนที่ไปกระทำความผิดในประเทศนั้นได้ เช่นคนไทยไปเที่ยวสหรัฐอเมริกาแล้วกระทำความผิด ศาลสหรัฐอเมริกาก็พิจารณาตัดสินลงโทษได้หรือบุคคลประเทศหนึ่งกระทำความผิด แล้วหนีไปอีกประเทศหนึ่ง เป็นการยากลำบากที่จะนำตัวมาลงโทษได้ จึงมีการทำสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อให้ประเทศที่ผู้กระทำความผิดหนีเข้าไปจับตัวส่งกลับมาลงโทษ ซึ่งถือว่าเป็นการร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรม ปัจจุบันนี้ประเทศไทยทำสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เบลเยี่ยม และอิตาลี ฯลฯ เป็นต้น
1.2 วิวัฒนาการกฎหมายไทย คลิกที่นี่
ลำดับศักดิ์ของกฎหมายในระบบกฎหมายไทย แบ่งอย่างละเอียดเป็น 7 ชั้น ได้แก่
- รัฐธรรมนูญ
- พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
- พระราชบัญญัติ
- พระราชกำหนด
- พระราชกฤษฎีกา
- กฎกระทรวง
- กฎหมายที่ตราโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
หมายถึงค่าบังคับที่ไม่เท่ากันของกฎหมายในแต่ละรูปแบบ เช่น รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดเพราะอำนาจในการก่อตั้งองค์กรทางกฎหมายทั้งหลาย กฎหมายที่ออกโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญจึงเป็นกฎหมายที่อยู่ในลำดับชั้นที่ต่ำ กว่า ฉะนั้นกฎหมายที่มีลำดับชั้นต่ำ ว่าจะบัญญัติให้มีเนื้อหาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
การศึกษาลำดับชั้นของกฎหมายก็เนื่องจากลำดับชั้นของกฎหมายมีความสำคัญ ในเรื่องการใช้การตีความกฎหมายและการยกเลิกกฎหมาย ซึ่งเกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดลำดับชั้นของกฎหมายลายลักษณ์อักษรมักจะพิจารณาว่า กฎหมายแต่ละประเภทนั้นออกโดยอาศัยอำนาจจากที่ใด ดังนี้
1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ
เป็นกฎหมายสูงสุด จึงเป็นแม่บทของกฎหมายทุกฉบับ ดังนั้นกฎหมายทุกประเภทจะออกมาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
2. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
หมายถึงกฎหมายที่อธิบายขยายความเพื่อประกอบเนื้อความในรัฐธรรมนูญให้สมบูรณ์ ละเอียดชัดเจน ตามที่รัฐธรรมนูญมอบหมายและกำหนด พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมีกระบวนการตราไม่แตกต่างจากพระราชบัญญัติ จะแตกต่างกันบ้างในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการควบคุมตรวจสอบว่า ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่เท่านั้น ในระบบกฎหมายไทยต้องถือว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมิได้มีสถานะสูง กว่ากฎหมายธรรมดา
3. พระราชบัญญัติ
เป็นกฎหมายที่มีชั้นลำดับรองจากรัฐธรรมนูญและเทียบเท่าพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายออกมาโดยอาศัยอำนาจของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้รัฐสภามีอำนาจในการ พิจารณาออกพระราชบัญญัติ เช่น เดียวกับพระราชกำหนดที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารคือคณะรัฐมนตรี พิจารณาออก พระราชกำหนดขึ้นใช้บังคับแทนพระราชบัญญัติเป็นการชั่วคราว ฉะนั้น พระราชบัญญัติก็ดี พระราชกำหนดก็ดีจึงขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
4. พระราชกำหนด
คือ กฎหมายที่บัญญัติโดยฝ่ายบริหาร(คณะรัฐมนตรี)
พระราชกำหนดมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. พระราชกำหนดทั่วไป เป็นกรณีที่ตราพระราชกำหนดเพื่อประโยชย์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และ
2. พระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีและเงินตรา เป็นกรณีที่ตราพระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดินใน ระหว่างสมัยประชุมสภา
5. พระราชกฤษฎีกา
เป็นกฎหมายที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และอาศัยอำนาจตามกฎหมายอื่น (ได้แก่พระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด) ได้ 2 กรณี ฉยั้นพระราชกฤษฎีกาที่อาศัยโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญจะมีเนื้อหาที่ขัดหรือ แย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ เช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยกฎหมายแม่บท ก็จะมีเนื้อหาที่เกินขอบเขตของกฎหมายแม่บทที่ให้อำนาจไว้ไม่ได้เหมือนกัน
6. กฎกระทรวง
เป็นกฎหมายที่ออกมาโดยอาศัยกฎหมายแม่บท (ได้แก่พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนด) เพื่อกำหนดรายละเอียดต่างๆ ของกฎหมายแม่บท ฉะนั้นกฎกระทรวงก็จะขัดต่อกฎหมายแม่บทไม่ได้
7. กฎหมายที่องค์กรส่วนท้องถิ่นบัญญัติ เป็นกฎหมายที่องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นออกโดยอาศัยอำนาจในการออกข้อบัญญัติ ท้องถิ่นได้ต้วยตนเอง ตามพระราชบัญญัติจัดจั้งองค์กรส่วนท้องถิ่นต่างๆ เช่นข้อบังคับตำบล เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติจังหวัด ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ข้อบัญญัติเมืองพัทยา ฉะนั้นข้อบัญญัติท้องถิ่นต่างๆ จึงขัดหรือแย้งกับกฎหมายแม่บทไม่ได้
แผนผังแสดงลำดับชั้นของกฎหมายลายลักษณ์อักษร
กรณีที่มีปัญหากฎหมายที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในรัฐธรรมนูญ มีข้อความที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายเหล่านี้ก็ย่อมจะไม่มีผลใช้บังคับ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญ (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 6 ซึ่งบัญญัติว่า "รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นเป็นใช้บังคับมิได้") โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมมิให้กฎหมายขัดกับรัฐ ธรรมนูญ
แหล่งข้อมูล //e-book.ram.edu
ที่มาจาก : thethailaw.com/06:04:2012/03.02
ข้อมูลจาก //e-book.ram.edu/e-book/inside/html/dlbook.asp?code=LW104 06:04:2012/03.36
ความรู้ตามรัฐธรรมนูญใหม่ (2550)
ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติ
1. การเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 139 ได้บัญญัติว่า การเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะเสนอได้ก็แต่โดย
1) คณะรัฐมนตรี
2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม้น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือ
3) ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา หรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งประธานศาลและประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น
2. การเสนอร่างพระราชบัญญัติ
ส่วนการเสนอร่างพระราชบัญญัติ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 142 ได้บัญญัติว่า การเสนอร่างพระราชบัญญัติจะเสนอได้ก็แต่โดย
1) คณะรัฐมนตรี
2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน
3) ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดองค์กรและ กฎหมายที่ประธานศาล และประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการ หรือ
4) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน โดยจะเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้เฉพาะหมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย และหมวดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐเท่านั้น
สำหรับร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินที่จะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาจะต้องได้รับคำรับรองจากนายกรัฐมนตรี