ผู้หญิงส่วนใหญ่ต่างเคยมีอาการปวดประจำเดือนและมักคิดว่าอาการปวดประจำเดือนเป็นเรื่องธรรมชาติโดยเฉพาะหากมีอาการปวดเพียงเล็กน้อยและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม อาการปวดประจำเดือนเล็กน้อยแต่ปวดมาเป็นระยะเวลานาน อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกของโรคร้ายได้เช่นเดียวกับอาการปวดประจำเดือนที่รุนแรงจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้นจึงควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดประจำเดือนนั้น
- อาการปวดประจำเดือนคืออะไร
- สาเหตุของการปวดประจำเดือน
- ประเภทของอาการปวดประจำเดือน
- การป้องกันและบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
- เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
อาการปวดประจำเดือนคืออะไร
ผู้หญิงจำนวนมากมีอาการปวดท้องก่อนมีประจำเดือน 1-2 วัน และระหว่างมีประจำเดือนในช่วงวันแรกๆ อาการปวดประจำเดือน (dysmenorrhea) มีตั้งแต่อาการปวดหน่วงหรือปวดเกร็งเล็กน้อย ไปจนถึงอาการปวดขั้นรุนแรงบริเวณท้องน้อยและอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดหลังด้านล่าง คลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออก ท้องเสียหรือท้องผูก ท้องอืด เวียนศีรษะและปวดศีรษะ เป็นต้น
สาเหตุของการปวดประจำเดือน
โดยเฉลี่ยทุกๆ 28 วัน หากไข่ไม่มีอสุจิมาผสม เยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน อาการปวดประจำเดือนเกิดจากสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน ชื่อว่า โพรสตาแกลนดิน (prostaglandin) ซึ่งก่อตัวขึ้นที่เยื่อบุโพรงมดลูกระหว่างมีประจำเดือน โพรสตาแกลนดินทำให้กล้ามเนื้อบีบตัวและหดเกร็งคล้ายกับอาการเจ็บปวดขณะคลอดบุตร นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย หากร่างกายหลั่งสารนี้ในปริมาณมากจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงของอาการบีบรัด ทำให้รู้สึกปวดประจำเดือนยิ่งขึ้น
ประเภทของอาการปวดประจำเดือน
อาการปวดประจำเดือนแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน
- ปวดประจำเดือนประเภทปฐมภูมิ (Primary Dysmenorrhea) เป็นอาการปวดประจำเดือนที่พบบ่อยที่สุด สาเหตุมักเกิดจากการที่เยื่อบุโพรงมดลูกผลิตสารโพรสตาแกลนดินมากเกินไป
- ปวดประจำเดือนประเภททุติยภูมิ (Secondary Dysmenorrhea) เกิดจากภาวะผิดปกติของมดลูกหรืออวัยวะสืบพันธุ์อื่นๆ เช่น
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญนอกมดลูก ซึ่งเมื่อเจริญผิดที่แต่ยังทำหน้าที่สร้างประจำเดือนเหมือนเดิม ทำให้อาจมีเลือดประจำเดือนในอุ้งเชิงกรานบริเวณที่มีเยื่อบุโพรวมดลูกไปเกาะในแต่ละรอบเดือน ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงและอาจเป็นสาเหตุของการมีบุตรยาก
- เยื่อบุมดลูกเจริญภายในกล้ามเนื้อมดลูก (Adenomyosis) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดประจำเดือนอย่างมาก และ/หรือ เลือดประจำเดือนมากและยาวนานกว่าปกติ
- เนื้องอกมดลูก (uterine fibroids) มักไม่ใช่เนื้อร้าย ขนาดมีตั้งแต่เล็กมากไปจนถึงขนาดใหญ่ หากมีขนาดใหญ่ มักทำให้มีเลือดประจำเดือนออกมามากหรือประจำเดือนกระปริบกระปรอยนานเป็นสัปดาห์ พร้อมกับอาการปวดประจำเดือนหรือปวดหลังส่วนล่างแบบเรื้อรัง
- ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease) เป็นการติดเชื้อบริเวณระบบสืบพันธุ์ในเพศหญิง ส่วนใหญ่เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากไม่รักษาให้หายขาด ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและปวดท้องระหว่างมีประจำเดือน และอาจเป็นสาเหตุของการมีบุตรยาก
- ภาวะปากมดลูกตีบ (Cervical stenosis) เกิดจากปากมดลูกแคบเกินไป ทำให้เลือดประจำเดือนไหลได้ช้าแต่หากรูปิดสนิท จะทำให้ของเหลวคั่งค้างภายในโพรงมดลูก ทำให้เกิดอาการปวดท้องมากและเรื้อรัง
การป้องกันและบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
หากมีอาการปวดประจำเดือน ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาตัวเองได้โดย
- ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบท้องน้อยและหลัง
- อาบน้ำอุ่น
- ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น โยคะหรือนั่งสมาธิ
- รับประทานยาต้านการอักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ (NSAIDs) ควรรับประทานเมื่อเริ่มมีอาการปวดหรือก่อนมีอาการปวด การรับประทานยาแก้ปวดอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรใช้เมื่อมีอาการปวดอย่างรุนแรงเท่านั้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานผักและผลไม้ ลดปริมาณอาหารที่มีไขมัน เกลือ เครื่องดื่มผสมคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และขนมหวาน
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
สำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่อาการปวดประจำเดือนเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคภัยที่ร้ายแรงกว่าอาการปวดประจำเดือนทั่วไป
- รับประทานยาแล้วแต่ยังไม่หายปวด
- อาการปวดประจำเดือนเป็นมากขึ้น
- มีอายุมากกว่า 25 ปีและรู้สึกปวดประจำเดือนอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก
- มีไข้พร้อมปวดประจำเดือน
- เลือดประจำเดือนไหลออกมามากว่าปกติ โดยต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมง
- รู้สึกปวดท้องน้อยถึงแม้ไม่มีประจำเดือนก็ตาม
- มีอาการติดเชื้อ เช่น ตกขาวมีกลิ่น อาการคันบริเวณปากช่องคลอด เลือดประจำเดือนมีสีแปลกไปจากปกติ
- มีบุตรยาก
เรียบเรียงโดย นพ. วิสิทธิ์ สุภัครพงษ์กุล ศูนย์สูติ-นรีเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:- ศูนย์สูติ-นรีเวช
8.00-20.00 (BKK Time)
Hot line tel. +66 63 189 340620.00-8.00 (BKK Time)
เบอร์ Contact center +662 066 8888 และ 1378
รู้ไหมว่าบางครั้งประจำเดือนก็สามารถบอกถึงความผิดปกติในร่างกายของเราได้เหมือนกัน โดยการแสดงออกมากับอาการผิดปกติเมื่อมีรอบเดือนนั่นเอง ซึ่งก็ถือเป็นความผิดปกติที่ผู้หญิงไม่ควรมองข้ามเป็นอันขาด ว่าแต่จะมีอาการอะไรบ้าง และสังเกตได้อย่างไร ลองมาดูกัน
1.ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
หากประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มาๆ ขาดๆ แต่ไม่ใช่สาเหตุจากการตั้งครรภ์ ก็สงสัยได้แล้วล่ะว่านั่นอาจเกิดจากความผิดปกติบางอย่างในร่างกายของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับฮอร์โมนหรือมดลูกก็ตาม และวิธีที่ดีที่สุดก็คือการไปพบแพทย์และตรวจให้ชัดเจนไปเลย เพื่อจะได้ทำการรักษาอย่างถูกวิธีด้วย
2.เวียนหัวและอ่อนเพลียมาก
รู้สึกเวียนหัวและอ่อนเพลียอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งบางคนก็อาจจะมีอาการหน้ามืดจนถึงขั้นเป็นลมได้เลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอาการแบบนี้จะเกิดจากการที่เลือดประจำเดือนมามาก แม้ว่าจะเป็นเลือดเสียที่ถูกขับออกมา แต่ก็มีผลให้ร่างกายอ่อนเพลียอย่างกะทันหันได้เหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจมีสาเหตุมาจากภาวะเลือดจางได้ จึงไม่ควรนิ่งนอนใจและไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการให้แน่ชัด
3.ปวดท้องประจำเดือนมากกว่าปกติ
อาการปวดท้องประจำเดือนถือเป็นเรื่องปกติของผู้หญิง แต่บางครั้งหากปวดมากเกินไป นั่นก็คงไม่ปกติแล้วล่ะ เพราะอาจมีสาเหตุมาจากอาการของโรคช็อกโกแลตชีสต์ มะเร็งมดลูก มะเร็งรังไข่ หรือโรคร้ายอื่นๆ ได้ ซึ่งหากลองกินยาแก้ปวดดูแล้วแต่อาการก็ไม่ทุเลาลง แถมยังปวดหนักขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที อย่าปล่อยไว้นานจนเป็นอันตรายเลยเชียว
4.ประจำเดือนมามากเกินไป
จะรู้ได้อย่างไรว่าประจำเดือนมามากเกินไป นั่นก็คือ มามากกว่าทุกครั้ง แม้จะผ่านไป 2-3 วันแล้ว แต่ประจำเดือนก็ยังไม่ลดลงสักที แถมยังมาแบบว่าต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยเกือบชั่วโมงละแผ่นเลยทีเดียว อย่างนี้ก็คงไม่ไหวแล้วล่ะ ต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาด่วนเลย
5.เลือดประจำเดือนออกมาเป็นลิ่ม
โดยปกติแล้วประจำเดือนไม่ควรจะออกมาเป็นลิ่ม แต่ถ้ามีก็ควรเป็นเพียงลิ่มเล็กๆ เท่านั้น ซึ่งหากประจำเดือนของคุณดันมีเลือดออกมาแบบเป็นลิ่มก้อนใหญ่ๆ ล่ะก็ ขอบอกเลยว่านั่นคงไม่ใช่ปกติแล้ว และคุณก็ควรไปพบแพทย์ที่ตรวจเช็คให้มั่นใจด้วย
และนี่ก็คือ อาการประจำเดือนผิดปกติ ที่ผู้หญิงอย่างเราๆ ไม่ควรมองข้ามเป็นอันขาด เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเราเองได้ในอนาคต ซึ่งวิธีที่ดีที่สุด ก็คือการไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจให้มั่นใจและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ นั่นเอง