ในช่วงวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ถือเป็นวิกฤตที่เทคโนโลยีมีอิทธิพลมากขึ้นในการดำรงชีวิตและการหางาน แรงงานยุคใหม่จึงเร่งพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ เพื่อให้อยู่รอดในวิกฤตครั้งนี้
ถึงแม้ว่าโซเชียลมีเดียหรือเทคโนโลยีต่าง ๆ มีบทบาทมากขึ้น หรือคนมีความสามารถมากขึ้นแค่ไหน แต่ยังเกิดคำถามที่ว่า ทำไมรัฐบาลถึงไม่สามารถสร้างเศรษฐกิจแห่งอนาคตเพื่อรองรับแรงงานผู้ที่มีทักษะความสามารถหลากหลายที่ไม่ใช่แค่ทักษะทางดิจิทัล และเมื่อแรงงานเหล่านั้นได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากวิกฤตครั้งนี้ และไม่สามารถมองเห็นความเป็นอยู่ในอนาคตข้างหน้าได้เลย มันจึงเกิดความคิดที่เรียกว่า “การย้ายประเทศ”
การย้ายประเทศ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ มันเป็นเรื่องปกติสามัญ แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ เศรษฐกิจแบบนี้ ทำให้การย้ายประเทศกลายเป็นเรื่อง Talk of the town เห็นได้จากการตั้งกลุ่มเฟสบุ๊กชื่อ “โยกย้าย มาส่ายสะโพกโยกย้าย” ปัจจุบัน มีจำนวนสมาชิกในกลุ่มทะลุหนึ่งล้านคนเป็นที่เรียบร้อย
ไม่ว่าอย่างไร ก่อนตัดสินใจย้ายประเทศ เราจำเป็นต้องปรับแนวคิด ทัศนคติ หลาย ๆ อย่างเพื่อให้เข้าใจถึงบรรทัดฐานสังคมที่ประเทศนั้น ๆ ยึดถือ และที่ได้กล่าวไปว่า เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ความเข้าใจถึงความเป็น “พลเมืองดิจิทัล” (Digital Citizenship) จึงเป็นสิ่งสำคัญในการเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อการใช้เทคโนโลยีอย่างไร้พรมแดน
ในบทความนี้ Adaptivity ได้รวบรวมแนวคิดต่าง ๆ ของ การปรับตัวเป็นพลเมืองดิจิทัล ที่สามารถใช้ได้ทั่วโลก มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
1. ทักษะความเข้าใจในเทคโนโลยีและสารสนเทศ
การที่เราต้องการจะย้ายถิ่นไปอยู่ประเทศปลายทางเป็นเวลาชั่วคราวหรือถาวร การใช้เทคนิคดิจิทัลไปในทางสร้างสรรค์ และเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ควรคำนึงถึงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทักษะดิจิทัลในการคิดวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร การใช้ภาษา การลงคะแนน การยื่นคำร้องต่าง ๆ หรือการให้ความปลอดภัยพลเมือง
2. ทักษะการใช้อินเตอร์เน็ตและความปลอดภัยในเนื้อหาส่วนตัว
การที่เราต้องการจะย้ายถิ่นไปอยู่ประเทศปลายทางเป็นเวลาชั่วคราวหรือถาวร การใช้เทคนิคดิจิทัลไปในทางสร้างสรรค์ และเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ควรคำนึงถึงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทักษะดิจิทัลในการคิดวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร การใช้ภาษา การลงคะแนน การยื่นคำร้องต่าง ๆ หรือการให้ความปลอดภัยพลเมือง
3. คำนึงถึงความรุนแรงในโลกออนไลน์
ความรุนแรงจากสื่อออนไลน์มีหลายประเภท เช่น การคุกคามทางเพศ การข่มขู่จากบุคคลนิรนาม การแอบอ้างตัวตน หรือการวิจารณ์รูปร่างหน้าตาที่รุนแรง ความรุนแรงเหล่านั้นเกิดขึ้นได้เสมอกับคนทุกชาติ ทุกเพศ ทุกวัย โดยอาจเกิดขึ้นจากคนอื่น หรือตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว วิธีที่จะหลีกเลี่ยงเพื่อเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีคุณค่าในประเทศนั้น ๆ ได้คือ คิดไตร่ตรองก่อนการโพสต์หรือคอมเม้นท์คำต่าง ๆ ลงบนโซเชียล เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องร้ายแรงภายหลังที่ส่งผลกระทบทั้งตัวเองและคนอื่น
4. ร่องรอยแห่งโลกดิจิทัล
เมื่อเราอยู่ในโลกดิจิทัล ผมมั่นใจว่าหลาย ๆ ธุรกิจ ล้วนมีแพลตฟอร์มในการนำเสนอข้อมูลเป็นของตัวเอง อย่าง Facebook LinkedIn Instagram หรือ Twitter ทุกถ้อยคำที่เราแชทกับผู้คน ทุก ๆ ข้อความที่ถูกโพสต์หรืออ้างอิงในบทความต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา ล้วนเป็นร่องรอยที่คนอื่น ๆ หรือลูกค้าของเราสามารถสืบค้นทัศนคติและภาพลักษณ์ที่เราไม่สามารถปกปิดได้ ฉะนั้น หากระมัดวังในการใช้ถ้อยคำในการสื่อสารลงบนแพลตฟอร์มดิจิทัล มันอาจเป็นผลดีสำหรับธุรกิจของเราในการที่จะสร้างชื่อเสียงที่ดีขึ้น เพราะเมื่อเราพลาดขึ้นมา คนก็จะสามารถสืบค้นข้อมูลของเราเพื่อ discredit ได้ไม่ยาก
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับ 4 แนวคิดที่ได้นำเสนอไปข้างต้น ไม่ว่าจะโยกย้าย ส่ายสะโพกโยกย้ายไปประเทศไหน การรู้จักปรับตัวเป็นพลเมืองโลกที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะพลเมืองยุคดิจิทัล สามารถทำให้เราคุ้นชินและอยู่ร่วมกับคนในหลาย ๆ ประเทศได้อย่างแน่นอน
คำนิยาม ‘ความเป็นพลเมืองดิจิทัล’ ที่ทุกประเทศทั่วโลกคาดหวังให้มีอยู่ในประชากรของตน คือ พลเมืองผู้ใช้งานสื่อดิจิทัลและสื่อสังคมออนไลน์อย่างเข้าใจบรรทัดฐานของการปฏิบัติตัวให้เหมาะสม และมีความรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารในยุคดิจิทัลเป็นการสื่อสารที่ไร้พรมแดนดังนั้น พลเมืองดิจิทัล หมายรวมถึง สมาชิกของโลกออนไลน์ ที่รวมคนทั่วโลกซึ่งใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ด้วยเหตุนี้จึงมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ อายุ ภาษา และวัฒนธรรม พลเมืองดิจิทัลทุกคนจึงต้องมี ‘ความเป็นพลเมืองดิจิทัล’ ที่ประกอบด้วย ความรับผิดชอบ มีจริยธรรม เห็นอกเห็นใจและเคารพผู้อื่น มีส่วนร่วม และมุ่งเน้นความเป็นธรรมในสังคม เพื่อรักษากฎเกณฑ์ สมดุล ของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
และต่อไปนี้ คือ ทักษะที่สำคัญ 8 ประการ ที่สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน Child and Youth Media Institute แนะนำว่าควรบ่มเพาะให้เกิดขึ้นในอนาคตพลเมืองดิจิทัลทุกคน
8 ทักษะการเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ ‘คนของศตวรรษที่ 21’ ต้องมี
- ทักษะในการรักษาอัตลักษณ์ที่ดีของตนเอง (Digital Citizen Identity)
ต้องมีความสามารถในการสร้างสมดุล บริหารจัดการ รักษาอัตลักษณ์ที่ดีของตนเองไว้ให้ได้ ทั้งในส่วนของโลกออนไลน์และโลกความจริง โดยตอนนี้ประเด็นเรื่องการสร้างอัตลักษณ์ออนไลน์ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่ทำให้บุคคลสามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวตนต่อสังคมภายนอก โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารผ่านเว็บไซต์เครือข่ายสังคมในการอธิบายรูปแบบใหม่ของการสื่อสารแบบมีปฏิสัมพันธ์ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการแสดงออกเกี่ยวกับตัวตนผ่านเว็บไซต์เครือข่ายสังคมต่างๆ
- ทักษะในการรักษาข้อมูลส่วนตัว (Privacy Management)
ดุลพินิจในการบริหารจัดการข้อมูลส่วนตัว โดยเฉพาะการแชร์ข้อมูลออนไลน์เพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวทั้งของตนเองและผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องประกอบอยู่ในพลเมืองดิจิทัลทุกคน และพวกเขาจะต้องมีความตระหนักในความเท่าเทียมกันทางดิจิทัล เคารพในสิทธิของคนทุกคน รวมถึงต้องมีวิจารณญาณในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลตนเองในสังคมดิจิทัล รู้ว่าข้อมูลใดควรเผยแพร่ ข้อมูลใดไม่ควรเผยแพร่ และต้องจัดการความเสี่ยงของข้อมูลของตนในสื่อสังคมดิจิทัลได้ด้วย
- ทักษะในการคิดวิเคราะห์มีวิจารณญาณที่ดี (Critical Thinking)
ความสามารถในการวิเคราะห์แยกแยะระหว่างข้อมูลที่ถูกต้องและข้อมูลที่ผิด ข้อมูลที่มีเนื้อหาดีและข้อมูลที่เข้าข่ายอันตราย รู้ว่าข้อมูลลักษณะใดที่ถูกส่งผ่านมาทางออนไลน์แล้วควรตั้งข้อสงสัย หาคำตอบให้ชัดเจนก่อนเชื่อและนำไปแชร์
ด้วยเหตุนี้ พลเมืองดิจิทัลจึงต้องมีความรู้ความสามารถในการเข้าถึง ใช้ สร้างสรรค์ ประเมิน สังเคราะห์ และสื่อสารข้อมูลข่าวสารผ่านเครื่องมือดิจิทัล ซึ่งจำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิคเพื่อใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต ได้อย่างเชี่ยวชาญ รวมถึงมีทักษะในการรู้คิดขั้นสูง เช่น ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ที่จำเป็นต่อการเลือก จัดประเภท วิเคราะห์ ตีความ และเข้าใจข้อมูลข่าวสาร มีความรู้และทักษะในสภาพแวดล้อมดิจิทัล การรู้ดิจิทัลโดยมุ่งให้เป็นผู้ใช้ที่ดี เป็นผู้เข้าใจบริบทที่ดี และเป็นผู้สร้างเนื้อหาทางดิจิทัลที่ดี ในสภาพแวดล้อมสังคมดิจิทัล
- ทักษะในการจัดสรรเวลาหน้าจอ (Screen Time Management)
ทักษะในการบริหารเวลากับการใช้อุปกรณ์ยุคดิจิทัล รวมไปถึงการควบคุมเพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างโลกออนไลน์และโลกภายนอก นับเป็นอีกหนึ่งความสามารถที่บ่งบอกถึง ความเป็นพลเมืองดิจิทัล ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ขาดความเหมาะสมย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม ทั้งความเครียดต่อสุขภาพจิตและเป็นสาเหตุก่อให้เกิดความเจ็บป่วยทางกาย ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สินเพื่อใช้รักษา และเสียสุขภาพในระยะยาวโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
- ทักษะในการรับมือกับการคุกคามทางโลกออนไลน์ (Cyberbullying Management)
จากข้อมูลทางสถิติล่าสุด สถานการณ์ในเรื่อง Cyber bullying ในไทย มีค่าเฉลี่ยการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอยู่ที่ 47% และเกิดในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ การด่าทอกันด้วยข้อความหยาบคาย การตัดต่อภาพ สร้างข้อมูลเท็จ รวมไปถึงการตั้งกลุ่มออนไลน์กีดกันเพื่อนออกจากกลุ่ม ฯลฯ ดังนั้น ว่าที่พลเมืองดิจิทัลทุกคน จึงควรมีความสามารถในการรับรู้และรับมือการคุกคามข่มขู่บนโลกออนไลน์ได้อย่างชาญฉลาด เพื่อป้องกันตนเองและคนรอบข้างจากการคุกคามทางโลกออนไลน์ให้ได้
- ทักษะในการบริหารจัดการข้อมูลที่ผู้ใช้งานทิ้งไว้บนโลกออนไลน์ (Digital Footprints)
มีรายงานการศึกษาวิจัยยืนยันว่า คนรุ่น Baby Boomer คือ กลุ่ม Aging ที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2487 – 2505 มักจะใช้งานอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้อื่น และเปิดใช้งาน WiFi สาธารณะ เสร็จแล้วมักจะละเลย ไม่ลบรหัสผ่านหรือประวัติการใช้งานถึง 47% ซึ่งเสี่ยงมากที่จะถูกผู้อื่นสวมสิทธิ ขโมยตัวตนบนโลกออนไลน์ และเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น ความเป็นพลเมืองดิจิทัล จึงต้องมีทักษะความสามารถที่จะเข้าใจธรรมชาติของการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัล ว่าจะหลงเหลือร่องรอยข้อมูลทิ้งไว้เสมอ รวมไปถึงต้องเข้าใจผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อการดูแลสิ่งเหล่านี้อย่างมีความรับผิดชอบ
- ทักษะในการรักษาความปลอดภัยของตนเองในโลกออนไลน์ (Cybersecurity Management)
ความสามารถในการป้องกันข้อมูลด้วยการสร้างระบบความปลอดภัยที่เข้มแข็งและป้องกันการโจรกรรมข้อมูลไม่ให้เกิดขึ้นได้ ถ้าต้องทำธุรกรรมกับธนาคารหรือซื้อสินค้าออนไลน์ เช่น ซื้อเสื้อผ้า ชุดเดรส เป็นต้น ควรเปลี่ยนรหัสบ่อยๆ และควรหลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์สาธารณะ และหากสงสัยว่าข้อมูลถูกนำไปใช้หรือสูญหาย ควรรีบแจ้งความและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที
- ทักษะในการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม (Digital Empathy)
ความสามารถในการเห็นอกเห็นใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นบนโลกออนไลน์ พลเมืองดิจิทัลที่ดีจะต้องรู้ถึงคุณค่าและจริยธรรมจากการใช้เทคโนโลยี ต้องตระหนักถึงผลพวงทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ที่เกิดจากการใช้อินเทอร์เน็ต การกดไลก์ กดแชร์ ข้อมูล ข่าวสาร ออนไลน์ รวมถึงรู้จักสิทธิและความรับผิดชอบออนไลน์ อาทิ เสรีภาพในการพูด การเคารพทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น และการปกป้องตนเองและชุมชนจากความเสี่ยงออนไลน์ เช่น การกลั่นแกล้งออนไลน์ ภาพลามกอนาจารเด็ก สแปม เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป การจะเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ดีนั้น ต้องมีชุดทักษะและความรู้ทั้งในเชิงเทคโนโลยีและการคิดขั้นสูง หรือที่เรียกว่า “ความรู้ดิจิทัล” (Digital Literacy) เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารในโลกไซเบอร์ รู้จักป้องกันตนเองจากความเสี่ยงต่างๆ ในโลกออนไลน์ เข้าใจถึงสิทธิ ความรับผิดชอบ และจริยธรรมที่สำคัญในยุคดิจิทัล และใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตในการมีส่วนร่วมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม-วัฒนธรรม ที่เกี่ยวกับตนเอง ชุมชน ประเทศ และโลก ได้อย่างสร้างสรรค์
ที่มา :
- บทความเรื่อง “พลเมืองดิจิทัล (Digital Citizenship)” โดย Phichitra Phetparee| เผยแพร่บนเว็บไซต์ สสส. (วันที่ 27 มีนาคม 2562)
- เอกสารวิชาการออนไลน์เรื่อง “คู่มือพลเมืองดิจิทัล” โดย วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง เผยแพร่ครั้งแรก: มิถุนายน 2561
ไม่ตกเทรนด์ การพัฒนาบุคลากรยุุคดิจิทัล คลิกอ่านต่อ
จับสังเกต…เทรนด์องค์กรใหญ่หันมาเปิดคอร์สออนไลน์บนแพลตฟอร์ม SkillLane
‘Chinese Parents’ เกมที่ผู้เล่นรับบทเป็น ‘พ่อแม่เสมือน’ ฮิตมากในกลุ่มวัยรุ่นจีน
เจาะลึก 3 ประเด็น ‘AI ปัญญาประดิษฐ์’ เปลี่ยนโฉมวงการ HR สู่ยุค Digital HR
Post Views: 9,402
- TAGS
- Digital Citizenship
- Digital Literacy
- ความฉลาดทางดิจิทัล
- ความรู้ดิจิทัล
- พลเมืองดิจิทัล
Previous articleสาลิกาคาบข่าว Vol.92/62
Next articleอุตสาหกรรม สายน้ำ และ การเกษตร KAF ยก ‘อีอีซี’ มิตรสิ่งแวดล้อม
Praornpit Katchwattana
//www.salika.co
เริ่มต้นขีดเขียนในฐานะ สื่อมวลชน กับงานผู้สื่อข่าวประจำกองประชาสัมพันธ์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ในปี 2546 ก่อนไปหาประสบการณ์ชีวิตที่เมลเบิร์น ออสเตรเลียมา 1 ปี และกลับมายึดอาชีพ “นักเขียน” จริงจัง กับการเป็น กองบรรณาธิการนิตยสารชีวจิต 3 ปี หลังจากนั้นคิดว่าน่าจะเปลี่ยนสายไปทำงานในบริษัท PR agancy ได้ 6 เดือน เมื่อรู้ว่าไม่ถูกจริต เลยออกมาเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ประจำกองบรรณาธิการนิตยสารฟีลกู้ดอย่าง Happy+ อยู่ 1 ปี สัมภาษณ์ทั้งดาราและคนบันดาลใจ ก่อนเข้าสู่ระบบงานประจำอีกครั้งกับนิตยสาร MBA กับการเป็นนักเขียนที่รับผิดชอบในเซคชั่นหลักสูตร MBA ของสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ สั่งสมประสบการณ์อยู่ 3 ปี ก็ได้เวลา Upskill สู่งาน Online content writer ที่ใช้ความชอบและความหลงใหลในการถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ความรู้ใหม่ๆ ในยุค Education 4.0 อุตสาหกรรมทางการแพทย์ ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์