หมอสูติ แนะตรวจการตั้งครรภ์เอาให้ชัวร์ต้องอัลตราซาวด์จนพบตัวอ่อนฝังตัวในมดลูก ย้ำ ใช้แค่น้ำปัสสาวะยืนยันผลไม่ได้ อาจะให้ผลบวก-ลบ ลวงได้ จันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561 เวลา 15.56 น.
บอกต่อ : 20
4
7
9
เมื่อวันที่ 23 ก.ค. พญ.ชัญวลี ศรีสุโข สูติ-นรีแพทย์เชี่ยวชาญ รพ.พิจิตร กล่าวถึงวิธีการตรวจหาการตั้งครรภ์เพื่อให้ผลที่ชัดเจน ว่า การคิดว่าตั้งครรภ์สำหรับประชาชนกับแพทย์นั้นต่างกัน โดยส่วนใหญ่ประชาชนจะคิดว่าอาการขาดประจำเดือน หรือคลื่นไส้อาเจียน คือการตั้งครรภ์ แต่ที่จริงเป็นเพียงอาการสงสัยตั้งครรภ์เท่านั้น แต่แพทย์จะยืนยันการตั้งครรภ์ได้ต้องมีเด็กหรือตัวอ่อนอยู่ในโพรงมดลูก โดยจะต้องมีการซักประวัติประจำเดือนขาดหรือไม่ มีอาการนมคัดหรือไม่
ส่วนอาการคลื่นไส้อาเจียนจะเกิดหลังตั้งครรภ์ได้ประมาณ 2 เดือน จากนั้นต้องตรวจการตั้งครรภ์ ซึ่งมี 3 วิธีคือ 1.การตรวจน้ำปัสสาวะ ซึ่งหากตั้งครรภ์จะมีการฮอร์โมนของเด็กอยู่ในปัสสาวะ แต่การตรวจปัสสาวะอาจได้ผลบวกลวงหรือผลลบลวงได้ เช่น ปัสสาวะข้นเกินไป หรือมีโปรตีนบางอย่างมากเกินไป หรือบางคนเป็นโรคไทรอยด์ ก็อาจให้ผลบวกลวงออกมาได้ หรือกรณีผลลบลวงอาจเกิดจากดื่มน้ำมากเกินไป จนปัสสาวะไปเจือจางฮอร์โมนเด็ก หรือการตั้งครรภ์เกิน 3 เดือน ก็จะตรวจไม่พบ ดังนั้น จึงต้องมีการตรวจอย่างอื่นร่วมด้วย 2.การตรวจภายในร่วมด้วย โดยอาการตั้งครรภ์ บริเวณปากมดลูกบวม มดลูกโตขึ้น มดลูกนิ่มขึ้น และ 3.การอัลตราซาวนด์ เพื่อยืนยันว่ามีเด็กอยู่ในโพรงมดลูกจริง
พญ.ชัญวลี กล่าวว่า บางคนผลตรวจปัสสาวะเป็นบวก แต่ไม่ได้ตั้งครรภ์จริง เช่น เป็นท้องไข่ลม คือการท้องโดยไม่มีตัวเด็ก เหมือนไข่เป็ด ไข่ไก่ที่ฟักไม่เป็นตัว ธรรมชาติจะทำให้หลุดไปประมาณ 2 เดือน โดยจะหลุดไปเอง หรือท้องแล้วฝ่อไป หรือท้องนอกมดลูก ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์ไม่ปกติ ดังนั้น หากมีอาการขาดประจำเดือน หรือไม่ได้คุมกำเนิดแล้วประจำเดือนมาไม่ปกติ เบื้องต้นที่แนะนำให้ซื้อที่ตรวจครรภ์ในการตรวจเบื้องต้น แต่ไม่ว่าผลการตรวจจะเป็นอย่างไรก็ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ชัดว่าใช่การตั้งครรภ์จริงหรือไม่ เป็นการตั้งครรภ์ปกติหรือไม่ ท้องนอกมดลูกหรือไม่ เป็นการท้องลม ตั้งครรภ์ไข่ฝ่อหรือไม่ หรือหากผลเป็นลบ เป็นผลลบลวงหรือไม่ หรือเกิดจากปัญหาอื่นที่ทำให้ประจำเดือนขาดแล้วต้องรักษา
พญ.ชัญวลี กล่าวต่อว่า สำหรับวิธีในการตรวจว่าแท้งลูกหรือไม่ 1. สามารถตรวจได้จากน้ำปัสสาวะ ใน 3-5 วันหลังเกิดภาวะแท้ง โดยในช่วง 2-3 วันแรก จะยังพบฮอร์โมนเด็กอยู่ แต่ฮอร์โมนจะลดลงไปแบบครึ่งๆ หรือฮาล์ฟไลฟ์ 2.การตรวจภายในก็จะเห็นมีเลือดออก เนื่องจากหลังแท้ง มดลูกจะยังบวมโตอยู่ 3.การตรวจอัลตราซาวด์ ก็จะเห็นว่าเยื่อบุโพรงมดลูกหนา หรือตัวมดลูกยังโตจากการแท้ง แต่ถ้าเกิน 1 สัปดาห์จะดูยาก โดยเฉพาะการแท้งในช่วงอายุครรภ์ 3 เดือนแรก เพราะมดลูกจะเข้าที่ไว อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะตั้งครรภ์จริงหรือท้องลม หากมีเลือดออก ก็ไม่ใช่ว่าจะหลุดออกมาง่ายๆ ก็ต้องไป รพ.ในการตรวจเช่นกัน เพราะหลุดแล้วอาจออกมาไม่หมด.
ย้อนกลับ
ประจำเดือนไม่มา...ฉันจะท้องไหมนะ? เพื่อหาคำตอบนี้ ผู้หญิงหลายคนจึงเลือกใช้ “ที่ตรวจครรภ์” ซึ่งบางคนอาจถูกใจกับผลการตรวจที่อ่านค่าได้ ในขณะเดียวกัน ก็อาจมีบางคนที่รู้สึกไม่พอใจกับผลการตรวจเท่าไหร่นัก อ๊ะ! แต่ก่อนที่จะหวั่นวิตกกับผลบวกผลลบไปมากกว่านี้ มาทำความเข้าใจให้ดีว่า… ผลจากที่ตรวจครรภ์เชื่อมั่นได้ 100% หรือเปล่า?
อาการแบบไหน? มีโอกาสลุ้นว่า “ท้อง”
- ประจำเดือนขาด คือ การที่ประจำเดือนไม่มาติดต่อกัน 3 รอบเดือน
- คลื่นไส้ อาเจียน เนื่องจากมีความรู้สึกไวต่อกลิ่นต่างๆ โดยเฉพาะกลิ่นของอาหาร
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะการตั้งครรภ์ในช่วงแรกๆ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย คล้ายกับช่วงก่อนมีประจำเดือน
- เจ็บหน้าอก ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ส่งผลให้ขนาดหน้าอกใหญ่ขึ้นคล้ายกับช่วงมีประจำเดือน
- ปัสสาวะบ่อย เพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงส่งผลให้เลือดไหลผ่านไปยังไตมากขึ้น กระเพาะปัสสาวะจึงรับน้ำมากขึ้นด้วย
- อารมณ์แปรปรวนง่าย เป็นลักษณะอาการที่พบบ่อยในคุณแม่ตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดีใจ เสียใจ หดหู่ หรือกังวล ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- เหนื่อยง่าย เพลีย อยากนอนมากขึ้น อาการเหล่านี้มักเกิดจากระดับฮอรโมนโพรเจสเทอโรนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนนี้มีส่วนช่วยให้หลับสบายนั่นเอง
ก่อนเช็คว่าท้องไหม? ต้องอ่านผลที่ตรวจครรภ์ให้เป็นนะ
สำหรับคำแนะนำในการอ่านผลของที่ตรวจครรภ์นั้น ควรอ่านหลังจากหยดปัสสาวะทิ้งไว้แล้วประมาณ 5 นาที โดยขีดในแถบวัดจะมีอยู่ 2 ขีด คือ ขีดแรก หรือ C (Control Line) และขีดที่สอง หรือ T (Test Line) ซึ่งผลของการตรวจด้วยที่ตรวจครรภ์นั้น จะสามารถแสดงผลออกมา 2 แบบ คือ...- แบบที่ 1 คือ มีขีดขึ้นมา 1 ขีดตรงที่ C แปลว่า...น่าจะไม่ท้อง
- แบบที่ 2 คือ มีขีดขึ้นมา 2 ขีดตรงทั้ง C และ T แปลว่า...ตั้งท้อง
มีโอกาสแค่ไหน? ที่ผลตรวจจะคลาดเคลื่อนจากความจริง
ไม่ว่าผลที่อ่านได้จากที่ตรวจครรภ์จะบอกว่าท้องหรือไม่ ความเป็นจริงแล้ว...ผลก็อาจคลาดเคลื่อนได้! เช่น กำลังตั้งท้อง...แต่ผลตรวจขึ้นเพียง 1 ขีด ซึ่งอาจเกิดจากปัสสาวะมีความเจือจางหรือตรวจในช่วงเวลาที่เร็วเกินไป ในขณะเดียวกัน ค่าผลตรวจขึ้น 2 ขีด แต่ความเป็นจริงแล้วกลับไม่ท้อง… กรณีนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากปัจจัยเหล่านี้* ช่วงเวลาในการตรวจเร็วเกินไป