ระบบเกียร์ โดยเฉพาะเกียร์ออโต้นั้น บางทีผู้ใช้งานขับขี่อยู่อาจจะไม่รู้ว่าในการขับรถ เหยียบคันเร่งหรือผ่อนเกียร์นั้น ระบบเกียร์ก็จะปรับเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วที่ต้องการโดยอัตโนมัติ ซึ่งการปรับเปลี่ยนเกียร์อยู่ตลอดเวลานั้นอาจมีแรงเสียดทานเกิดขึ้นอยู่ภายใน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีน้ำมันหล่อลื่นเพื่อลดแรงเสียดทานในการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งก็คือน้ำมันเกียร์นั่นเอง และถ้าหากอยากรู้ว่า ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เมื่อไหร่ หรืออาการแบบไหนที่ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ได้แล้ว เรามาดูกัน
อาการเหล่านี้บ่งบอกว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ได้แล้ว
ลองสังเกตความผิดปกติในระหว่างการขับขี่รถยนต์ ว่ามีอาการต่อไปนี้หรือไม่ ซึ่งถ้าหากมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้สันนิษฐานว่าอาจเกิดความผิดปกติในระบบเกียร์ หรือน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ หรือหากเปลี่ยนแล้วยังไม่หายก็ควรให้ช่างตรวจเช็ค
- เข้าเกียร์ในตำแหน่ง D หรือ R แล้วรถออกตัวยาก
- มีอาการกระตุกเมื่อเข้าเกียร์ D หรือ R
- จังหวะการเปลี่ยนเกียร์สะดุด บางครั้งก็มีอาการวืด
- เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ยากขึ้น
- มีกลิ่นไหม้
- มีเสียงดังในจังหวะขับขี่หรือเมื่อต้องเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์
เช็ครอบเปลี่ยนถ่ายเอาไว้ว่า ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เมื่อไหร่
สำหรับรถที่มีอาการปกติดีอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ก็ได้ แต่ทางที่ดีควรเปลี่ยนตามระยะที่กำหนด ซึ่งจริงๆ แล้วระยะการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ไม่ได้กำหนดเป็นตัวเลขที่แน่นอนตายตัว แต่ระยะเปลี่ยนที่ส่วนใหญ่มักใช้กันก็คือ เปลี่ยนทุกๆ 40,000 กม. หรือทุก 2 ปี ลองดูว่าแบบไหนถึงก่อนกันก็เปลี่ยนก่อน เช่น รถวิ่งบ่อยวิ่งตลอดเวลา แป๊บๆ ก็ถึง 40,000 กม. ก็ควรเปลี่ยนได้แล้ว แต่ถ้ารถที่นานๆ เอาออกมาขับที สองปีแล้วยังไม่ถึงสี่หมื่นกิโล ก็ควรได้เวลาเปลี่ยนน้ำมันเกียร์แล้วเช่นกัน
ซึ่งถ้าหากเรากลัวว่าจะจำไม่ได้ ก็ให้จดบันทึกเลขไมล์และวันที่เอาไว้สำหรับเปลี่ยนในครั้งต่อไป หรือจะบันทึกไว้ในแอพเพื่อเตือนความจำก็ได้เช่นกัน เพื่อที่จะไม่ลืมเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ เพราะถ้าหากปล่อยให้นานเข้าน้ำมันเกียร์อาจไม่สะอาดและเสื่อมสภาพ แล้วจะส่งผลให้ระบบเกียร์มีปัญหาได้ ดังนั้นนอกจากเรื่องระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ ก็ควรหมั่นสังเกตอาการรถว่าเข้าข่ายมีปัญหาที่ระบบเกียร์หรือเปล่า จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที และมีรถใช้คู่กับเราไปนานๆ
ไม่ว่าจะเป็นเกียร์ขับเคลื่อนล้อหน้าที่เล็กกะทัดรัด หรือเกียร์ขับหลังรวมถึงเกียร์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่มักจะมีขนาดใหญ่กว่าเกียร์ออโต้ขับหน้า สำหรับการใช้งานโดยเฉพาะการบำรุงรักษาดูแลเพื่อยืดอายุการทำงานของเกียร์ออโต้ ค่าซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติไม่มีคำว่าถูกโดยเฉพาะรถยุโรปขับเคลื่อนล้อหลังหรือขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์บางรุ่นมีราคาถึง 30% จากราคารถทั้งคัน นอกเหนือไปจากวิธีขับขี่ใช้งานเกียร์อัตโนมัติที่ถูกต้องซึ่งระบุไว้ในคู่มือแต่เจ้าของรถจำนวนไม่น้อยไม่เคยแม้แต่จะเปิดอ่านแล้วการดูแลรักษาเปลี่ยนถ่ายของเหลวหล่อลื่นตามระยะจึงถือเป็นเรื่องที่คุณควรจะใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ
การอ่านคู่มือประจำรถและปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการบำรุงดูแลรักษาเกียร์ออโต้จะช่วยทำให้คุณไม่ต้องควักเงินเพื่อซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์ซึ่งถือเป็นเงินจำนวนไม่ใช่น้อยๆ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์รวมถึงชนิดของน้ำมันเกียร์ที่ใช้เติมตามช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการใช้งานที่ถูกต้องไม่ขับแบบกระชากลากถูจะช่วยยืดอายุการทำงานของเกียร์ ส่วนวิธีตรวจเช็กระดับของน้ำมันหล่อลื่นเกียร์ในรถยนต์บางรุ่นจะมีก้านวัดมาให้แต่บางรุ่นก็ไม่มีและคงต้องพึ่งพาศูนย์บริการหรืออู่ที่มีความรู้ความชำนาญในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์
ระยะทางที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนถ่ายของเหลวที่ใช้หล่อลื่นเกียร์ออโต้ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่างระยะ 30,000 ถึง 40,000 กิโลเมตร น้ำมันเกียร์ออโต้มีสีแดงเมื่อเทออกจากกระป๋องใหม่ๆ และจะยังคงมีสีแดงต่อไปอีกระยะขณะที่ขับใช้งาน หลังจากผ่านการใช้งานมาจนถึงเวลาที่จะต้องลงมือเปลี่ยนถ่ายสีของน้ำมันเกียร์ออโต้จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล บางคันขับอย่างเดียวไม่เคยเปลี่ยนถ่ายจนเกียร์พังถอดออกมาเละเทะดำเหนียวเป็นช็อกโกแลต ควรหมั่นสังเกตรอยหยดของน้ำมันที่รั่วออกมาจากเครื่องยนต์หรือเกียร์ออโต้ หากเป็นน้ำมันเครื่องรั่วและหยดลงมาบนพื้นมักมีสีดำคล้ำแตกต่างจากน้ำมันเกียร์อัตโนมัติที่มีสีแดงเข้มและใสมากกว่าน้ำมันที่ใช้หล่อลื่นเครื่องยนต์ ลักษณะของการวางเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนที่แตกต่างกันทำให้คุณสังเกตคราบน้ำมันรั่วและหยดลงพื้นโดยสามารถแยกแยะได้ดังนี้
รถยนต์ญี่ปุ่นยุคใหม่ทั่วไปมักจะใช้ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หน้า ค่าย Lexus ซึ่งมักผลิตแต่รถขับเคลื่อนล้อหลังหรือขับเคลื่อนสี่ล้อแต่ก็มีรถขับหน้าของ Lexus อย่างรุ่น ES และ CT200h ลักษณะการวางเครื่องยนต์แบบตามขวางในรถญี่ปุ่น เครื่องยนต์และเกียร์จะอยู่ติดกันและวางตามขวางในห้องเครื่อง สำหรับรถยุโรปพวก BMW และ Mercedes Benz ยกเว้น BMW ขับเคลื่อนล้อหน้าบางรุ่น หรือ Mercedes Benz A180/ A250 รวมถึง Volvo V40 V60 S60 S80 ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า เกียร์ของรถยุโรปขับเคลื่อนล้อหลังยุคใหม่จะวางตามยาวต่อกับเครื่องยนต์โดยมีเพลากลางต่อเชื่อมกับเกียร์ไปยังเฟืองท้าย การสังเกตคราบน้ำมันเกียร์ที่รั่วหยดลงมาที่พื้นจะอยู่ตรงกึ่งกลางเลยจากตำแหน่งของห้องเครื่องยนต์ถัดไปบริเวณกลางรถใต้ตำแหน่งของซุ้มเกียร์ คราบการรั่วหยดของน้ำมันเกียร์บ่งบอกถึงอายุการใช้งานรวมถึงยังเกิดขึ้นจากการสึกหรอเสียหายของซีล ยางหรือปะเก็นแคร็งน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ
การสังเกตจุดและสีของน้ำมันที่รั่วหยดลงพื้นสำหรับท่านที่ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องช่างคงสังเกตได้ยากว่าน้ำมันอะไรรั่วมาจากตรงไหนเนื่องจากในเครื่องยนต์นั้นมีทั้งน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ออโต้ น้ำมันหล่อลื่นระบบพวงมาลัยในปั๊มเพาเวอร์ น้ำมันคอมเพรซเซอร์แอร์ น้ำมันเบรก ลองสังเกตประเภทและสีของน้ำมันหรือทางที่ดีก็พึ่งพาศูนย์บริการอู่หรือช่างซ่อมระบบเกียร์ที่มีความเชี่ยวชาญจะดีกว่ามานั่งเดาเองเองว่าน้ำมันอะไรกันแน่ที่รั่วหยดลงพื้น ในความเป็นจริงของการขับใช้งานรถยนต์ที่ติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัตินั้น ต่อให้เกียร์รุ่นใหม่มีการออกแบบและใช้วัสดุที่แข็งแรงทนทานขนาดไหน เมื่อมาเจอกับสภาพการขับเคลื่อนทั้งรถติดสาหัสเดี๋ยววิ่งเดี๋ยวหยุด ทั้งสภาพอุณหภูมิที่ร้อนระอุบนถนน จอดๆ วิ่งๆ เดี๋ยวก็เจอน้ำท่วมขังต้องวิ่งลุยฝ่ากลับบ้าน ทำให้เกียร์ออโต้เกิดอาการสึกหรอจากการใช้งานซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา ของเหลวหรือน้ำมันเกียร์ที่ใช้หล่อลื่นเมื่อขับใช้งาน น้ำมันเกียร์จะมีอุณหภูมิสูงมากในระบบ แต่เจ้าของก็ไม่เคยใส่ใจดูแลเปลี่ยนถ่ายตามระยะ ขับลูกเดียวไม่เคยเหลียวแล ไม่นานสารหล่อลื่นอะไรต่อมิอะไรที่ใส่เข้ามาในน้ำมันเกียร์เพื่อคอยปกป้องหล่อลื่นชิ้นส่วนของเกียร์ก็เสื่อมสภาพจากตัวแปรด้านความร้อนขณะทำงาน สุดท้ายเกียร์ก็พัง แทนที่จะเสียน้อยแค่ค่าเปลี่ยนน้ำมันเกียร์กลับเสียมากถึงขั้นเปลี่ยนเกียร์ใหม่ทั้งลูก ชอบแบบไหนเลือกได้นะครับ.